บทที่ 147 การสอบเข้ามหาลัยเสร็จสิ้น

ครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็มาถึง

เย่เฟิงเดินเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจโดยไม่สนใจสายตาของเหล่านักเรียนคนอื่นที่มองเขาด้วยความดูถูก

ในตอนนี้ ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาต้องทำคะแนนสอบได้สูงเหมือนกับซูเหมิงหานแน่นอน และสิ่งสำคัญคือ เด็กสาวได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่ในห้องแต่เป็นทั้งชั้น การที่ซูเหมิงหานกลายเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ในตอนนี้ทำให้ความสามารถในการจดจำของเธอเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ฉะนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธอจะสอบได้คะแนนสูงสุดของชั้นอีกครั้ง

ยิ่งกว่านั้น ช่องว่างระหว่างเย่เฟิงและซูเหมิงหานก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่

ความจริงแล้ว ด้วยความสามารถในการจดจำย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มพัฒนาความรู้ได้มากพอในเวลาครึ่งเดือน ฉะนั้น ซูเหมิงหานจึงใช้เวลาทั้งหมดในการช่วยติวบทเรียนให้ ซึ่งถ้าผลคะแนนยังออกมาแย่อีก เขาก็ควรไปกระโดดน้ำตายได้แล้ว

การสอบยังคงดำเนินไปต่อเนื่องอีกสองวัน เย่เฟิงเดินผ่านนักเรียนด้วยแววตาที่หยิ่งทะนง สายตาของเหล่านักเรียนที่มองมา ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะสามารถสอบผ่านได้

ทุกๆคนต่างรู้ว่าเย่เฟิงได้คะแนนสอบเป็นที่โหล่ของชั้นในการจำลองสอบครั้งล่าสุด ฉะนั้น พวกเขาคิดว่าคนที่ได้คะแนนต่ำสุดของชั้นคงยอมแพ้เรื่องการสอบเข้ามหาลัยไปแล้ว แต่ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเย่เฟิงปรากฏตัวขึ้นในวันสอบ

ไม่ว่าใครก็คิดว่าเย่เฟิงนั้นไม่มีทางสอบติดแน่ ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกอิจฉาชายหนุ่มอยู่ดีที่ได้อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันกับดาวโรงเรียนซูเหมิงหาน นอกจากนี้ยังมีคู่หมั้นเป็นคุณหนูตระกูลหลินอีก นี่มันน่าอิจฉาเกินไปแล้ว! ถ้าเย่เฟิงได้ศูนย์คะแนนในการสอบขึ้นมา พวกเขาคงรู้สึกดีใจจนถึงขั้นต้องปิดถนนเลี้ยงฉลอง

แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่ได้สนใจสายตาดูแคล้นของนักเรียนพวกนั้น

ในช่วงบ่าย หลังเสร็จสิ้นการสอบ เย่เฟิงออกจากห้องสอบและเดินเข้าไปหาซูเหมิงหานที่ออกมาจากห้องสอบอีกห้องหนึ่ง ชุดเดรสชีชมพูทำให้เด็กสาวดูสดใสและมีเสน่ห์ จนกลายเป็นความสวยงามของสนามสอบแห่งนี้

“เย่เฟิง!”

ซูเหมิงหานโบกมือทักทายด้วยรอยยิ้มหวาน “สอบเป็นไงบ้าง?”

“เธอคิดว่าไงล่ะ?”

เย่เฟิงยิ้มตอบ

ในวันนี้ นักเรียนมัธยมปลายปีสามเกือบทั่วประเทศได้ข้ามพ้นหุบเหวแห่งความทุกข์ยากไปแล้ว ความทรมาณทั้งหมดจะจบลงในวันนี้ แต่ผลการสอบออกมาไม่ดี พวกเขาก็คงได้แต่ร้องไห้น้ำตาแตก

วันแล้ววันเล่าที่เหมือนตกอยู่ในขุมนรก ในที่สุดพวกเขาก็ได้อยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่รอผลประกาศจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น

“ไปกันเถอะ กลับบ้านกัน”

เย่เฟิงก้าวมาจูงมือที่เล็กและนิ่มของเด็กสาว พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ดูซุกซนให้ ตอนนี้ตัวเขารู้สึกร่าเริงเป็นพิเศษเพราะความทุกข์ทรมาณในการเตรียมสอบได้จบลงในวันนี้แล้ว ในที่สุดเขากับซูเหมิงหานก็จะได้…….

เมื่อเห็นรอยยิ้มแสนซนที่ดูมีลับลมคมนัย เด็กสาวก็เข้าใจในสิ่งที่เย่เฟิงกำลังคิดอยู่ทันที มันทำให้เธอเขินอายจนหน้าแดงไปหมด

ภาพนี้เป็นที่ดึงดูดสายตาของนักเรียนชายโดยรอบ จนทำให้แต่ละคนต้องถอนหายใจไปตามๆกัน เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นการเสียของอย่างแท้จริง เด็กสาวที่น่ารักและบริสุทธิ์คนนี้กลับตกอยู่ในมือเย่เฟิง สวรรค์ช่างไร้ซึ่งความยุติธรรม!

แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่ได้สนใจสายตาคนอื่น เขาแค่เดินคู่กับซูเหมิงหานไปเรื่อยๆเพื่อออกจากสนามสอบ และจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนเสียที

ชายหนุ่มมองไปรอบๆเพื่อหาตัวเย่เวิ่นเทียน แต่ก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอย เขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้า เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนคดีของเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ เขาจะหาทางจัดการกับชายชรา และมุ่งหน้าไปยังแถบทะเลจีนตะวันออก

ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ เย่เฟิงพบว่าหลินเหรินเทียนเผยแพร่คดีฟ้องร้องของซูเหมิงหานไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียนของเขา ผู้มีอิทธิพลมากมายต่างพากันพูดคุยกันในเรื่องนี้ พวกเขาคิดว่าในเมื่อคู่พี่น้องตระกูลเซี่ยมีหลินเหรินเทียนคอยหนุนหลัง คนที่ยื่นฟ้องของคดีนี้คงมีจุดจบไม่สวยแน่นอน

แต่เย่เฟิงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไรอยู่แล้ว

ในเมื่อพวกเขามีซูซินฉางคอยเป็นพยานปากเอกให้ หรือต่อให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด อย่างเช่นมีใครเอาเงินฟาดหัวชายคนนี้ เย่เฟิงก็ยังมีทักษะสะกดจิตให้พวกมันยอมเปิดปากเผยความจริงออกมาด้วยตัวเอง!

เมื่อชายหนุ่มเดินคู่กับซูเหมิงหานมาถึงหน้าประตูโรงเรียน พวกเขาก็พบรถยนค์คันหนึ่งที่ดูคุ้นเคยจอดอยู่ และคนที่รอพวกเขาอยู่ไม่ใช่ใครที่ไหน หลินชื่อฉิงนั้นเอง วันนี้หญิงสาวสวมเสื้อเชิตลายดอกไม้แขนยาวที่ทำให้เธอดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ

ก็เหมือนกับคราวที่แล้ว หลินชื่อฉิงกลายเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบทันที เมื่อเธอเห็นเย่เฟิงและซูเหมิงหาน เดินจับมือคู่กันออกมา หญิงสาวก็พลันรีบเดินเข้าไปหา

“น้องเย่ การสอบเป็นไงบ้าง?”

หลินชื่อฉิงยิ้มอย่างสดใส แปรเปลี่ยนพื้นที่โดยรอบให้เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิ

“ก็ดีครับ”

เย่เฟิงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ความจริงแล้วในระหว่างครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หลินชื่อฉิงชวนเขาออกไปกินข้าวอยู่หลายครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธไปเสียทุกครั้งโดยอ้างว่ากำลังเตรียมสอบอยู่

“วันนี้เราว่างใช่ไหม? งั้นไปกินข้าวเย็นกับพี่สาวคนนี้หน่อยได้รึเปล่า?”

หญิงสาวไม่อยากยอมแพ้ เธอพูดต่อไปขณะมองมาที่ซูเหมิงหาน

“ขอโทษนะครับ พวกเรารู้สึกเหนื่อยมากวันนี้ ก็เลยอยากจะกลับบ้านก่อน”

เย่เฟิงส่ายหน้าและจูงมือซูเหมิงหานเดินผ่านสาวสวยอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิงไปยังรถ BMW สีเงินของชายหน้าบากที่จอดอยู่ทันที

ชายหนุ่มไม่รู้เหตุผลเช่นกันว่าทำไมหลินชื่อฉิงถึงต้องการชวนเขาไปกินข้าว พูดกันตามจริง เธอไม่มีความจำเป็นต้องตามตื้อเขาขนาดนี้ เพราะยังไงคดีของไซ่เชาหงก็ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว หรือว่าสาวสวยคนนี้กำลังสนใจในตัวเขากัน?

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง หลินชื่อฉิงจ้องคนทั้งคู่เดินจากไปด้วยสีหน้าเหมือนกินแห้วและได้แต่คิดในใจ ‘เด็กคนนี้มีความเป็นตัวเองสูงจริงๆ ขอโทษนะเสี่ยวฉี ฉันคงช่วยเธอได้เท่านี้แหละ เด็กคนนี้ไม่ยอมไปกินข้าวกับฉันเลย แล้วแบบนี้จะถามข้อมูลเกี่ยวกับโม่จิ่วเกอได้ยังไงกัน’

แต่ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในใจหญิงสาวจนทำให้มุมปากของเธอโค้งขึ้น ใช่แล้ว เธอแค่รออีกสองเดือน แล้วค่อยหาโอกาสถามในตอนที่เย่เฟิงเข้ามหาลัยแล้วก็ได้นี่ จริงไหม?

………………..

เช้าวันถัดมา เย่เฟิงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัวไปที่ศาลประชาชนของเมืองเหยียนจิงด้วยกันกับซูเหมิงหาน เมื่อคืนนี้พวกเขาต่างหลับเป็นตายอยู่บนเตียง ฉะนั้น วันนี้แรงใจแรงกายจึงกลับมาเต็มร้อยอีกครั้ง

เมื่อเย่เฟิงเปิดประตูรถ BMW สีเงิน ก็พบซูซินฉางที่ชายหน้าบากนำตัวมาด้วย ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณรู้สิ่งที่คุณต้องพูดวันนี้แล้วใช่ไหม?”

“ฉันรู้แล้ว”

ถึงแม้ใบหน้าของซูซินฉางจะดูมีความกังวล แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบ เมื่อเขามองไปยังซูเหมิงหานที่ดูสดใสและงดงามก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ การที่ลูกสาวคนนี้ต้องกลายเป็นคนติดยาก็มีต้นเหตุมาจากแผนร้ายของเขาเอง

อย่างไรก็ตาม ซูซินฉางยังจำเงื่อนไขที่ตระกูลหลินเสนอมาก่อนหน้านี้ได้ ตราบเทาที่เขาสามารถทำให้ซูเหมิงหานแพ้คดีนี้ ตระกูลหลินจะคืนส่วนแบ่งของซูเชิงกรุ๊ปให้….

ในตอนนี้ ซูซินฉางกำลังตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เมื่อทุกคนขึ้นรถแล้ว ชายหน้าบากก็ออกรถทันที ซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง

ตลอดทางที่นั่งรถมา เย่เฟิงไม่พบแม้แต่เงาของเย่เวิ่นเทียน แต่เมื่อมาถึงทางเข้าหน้าศาล เขาก็พบชายชรายืนตามสบายอยู่ด้านหนึ่งราวกับเย่เวิ่นเทียนติดตามเขามาตลอดเวลา

นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกมึนงงมาก ดูเหมือนว่าการหลบนีไปจากกำมือของตาแก่คนนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

หลังจากนั้น พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังห้องพิจารณาคดี ซึ่งเย่เวิ่นเทียนได้เดินตามมาด้วยเช่นกัน แต่เมื่อมาถึง ชายชรากลับหายตัวไปในพริบตา และแม้เย่เฟิงจะใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณ ก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของตาแก่คนนี้ ราวกับเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย แต่เย่เฟิงรู้ว่าชายชรายังคงจับตามองเขาอยู่อย่างแน่นอน

“แอ๊ด” เสียงเปิดประตูดังขึ้น

มีผู้คนมากมายอยู่ในห้องพิจารณาคดีนี้ และเมื่อเย่เฟิงเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องรู้สึกตกใจอย่างมาก

บ้าจริง แม้แต่ที่ของผู้มาชมการพิจารณาคดีก็ยังเกือบเต็ม!

นี่ก็แค่คดีจ้างวานฆ่าทั่วไปไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้มีคนมากันมากมายขนาดนี้?
เย่เฟิงกวาดสายตาไปรอบๆ และพบผู้คนที่คุ้นเคยมากมายอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แค่ลุงและป้าของซูเหมิงหานจากหลางฟาง แต่ยังมีกลุ่มคนจากตระกูลเซี่ย กลุ่มคนจากตระกูลหลิน รวมทั้งกลุ่มทหารที่เป็นลูกน้องของเซี่ยเฉิงเย่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน คาดเดาได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนอยู่ข้างเดียวกันกับหลินเหรินเทียนทั้งหมด

เกือบทุกคนในที่นี่ ต่างจ้องมองมายังกลุ่มของเย่เฟิงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา

ไม่มีใครที่นี่เชื่อว่าซูเหมิงหานจะสามารถชนะคดีนี้ได้!

…………………………….

แปลโดย Solar Spark