บทที่ 146: ดินแดนแห่งนักล่า (2)

 

 

 

วูบบบบ

ร่างของฮันซูถูกดูดเข้าไปภายในประตูมิติ

บุ๋ง บุ๋ง

ร่างของฮันซูที่ไหลตามกระแสแห่งมิติกาลเวลาพลันเข้าไปสู่ที่ที่เต็มไปด้วยของเหลวเหนียวหนืด

ที่ที่เต็มไปด้วยของเหลวเหนียวหนืดนั้นมืดสนิทเพราะแสงไม่อาจทะลวงผ่านมาสู่ที่แห่งนี้ได้

ฮันซูจัดท่าทางของเขาภายในของเหลวเหนียวหนืดนั้น

ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว เขาก็ต้องออกไป

‘มันก็สักพักแล้วนะ หนอนคังริ’

หนอนคังริ

หนอนยักษ์ที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของป่าใหญ่และกินดินเป็นอาหาร

ในเวลาเดียวกัน มันก็คือประตูมิติที่มนุษย์จะข้ามผ่านมา

ในอดีต เขาได้กินของเหลวนี่เข้าไปจำนวนมากโดยบังเอิญ ทว่าฮันซูในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเขาในอดีตแล้ว

ฮันซูใช้ร่างกายของเขาที่ถูกเสริมความแข็งแกร่งไปอีกขั้นด้วยดาบแก่นแท้มังกรนำหอกสายฟ้าฟาดออกไป

ฉัวะ

ถุงของเหลวที่อยู่รอบกายของฮันซูถูกกรีดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวน

กี้ดดดดด!

ถุงของเหลวถูกแหวกออกแล้ว ทว่ามันไม่มีแสงสว่างปรากฏขึ้นแม้แต่น้อย

มีเพียงแค่เสียงกรีดร้องน่าสะเทือนใจที่ดังขึ้นจากถุงของเหลวนั้น

อืม มันก็แน่นอนอยู่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนก็ต้องกรีดร้องออกมาแบบนั้นเมื่อท้องของพวกมันถูกกรีดออกในขณะที่มันกำลังหลับอย่างเป็นสุขอยู่ใต้ดิน

‘เดี๋ยวมันก็ฟื้นตัวในไม่นานอยู่ดี’

ฟึ่บ

ฮันซูยกตัวเองขึ้นมา ทว่าไม่ได้ออกจากร่างของหนอนคังริในทันที

ฮันซูเริ่มนำของเหลวของหนอนคังริที่ตัวใหญ่กว่า 6 เมตรใส่เข้าไปในถุงข้างๆ เอว

‘มันมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน’

กี้ดดดด

เมื่อของเหลวในร่างของมันเริ่มไหลออกไปในปริมาณที่ผิดปกติ หนอนคังริก็กรีดร้องออกมาอย่างกระวนกระวาย

ในตอนนั้นเองฮันซูจึงปิดบาดแผลของมันที่เต็มไปด้วยของเหลวกลับไปในที่สุดและค่อยๆ ออกจากร่างของหนอนคังริอย่างระมัดระวังและขุดดินขึ้นไปอย่างช้าๆ

ครี่ก ครึ่ก

เมื่อเขาปัดเศษดินออกไป ภาพที่คุ้นเคยทว่าแปลกประหลาดก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

ต้นไม้ใหญ่โตจำนวนมหาศาลที่เขาไม่ได้เห็นมานับสิบๆ ปี

ต้นไม้ที่สูงมากกว่าสิบเมตรได้ล้อมรอบบริเวณที่ฮันซูออกมาอยู่

ป่าใหญ่ <อูซาส>

พันกิโลเมตรก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับขนาดที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้

ป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่มีผู้ใดสำรวจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ในเวลาเดียวกัน มันก็คือสถานที่ที่มนุษย์ต้องดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตรอด

ฮันซูต้องเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นดินแดนที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับมนุษย์

‘ก่อนอื่นต้องหาเขตพักรบ’

ที่นี่คือสถานที่ที่มีเผ่าพันธุ์นักล่าจำนวนนับไม่ถ้วนเดินไปมา

แต่มันก็ยังคงมีสถานที่ที่แบ่งแยกเจ้าพวกนั้นออกอย่างชัดเจน

เขาต้องหาหมู่บ้านมนุษย์ที่หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางดินแดนเหล่านั้นให้เจอ

มันคงต้องใช้เวลานานในการให้ฮันซูค้นหาไปทั่วทั้งป่าด้วยตนเองและรวบรวมวัสดุ แต่สิ่งที่เขาต้องการจะอยู่ในหมู่บ้าน

‘ค่อยๆ ทำไปแล้วกันในเมื่อฉันไม่ได้รีบ’

กระบวนการในการฝ่าป่าใหญ่นี้ อูซาส จำเป็นต้องดำเนินการอย่างค่อนข้างระมัดระวัง

เหล่านักล่าไม่ชอบกลิ่นของหนอนคังริ ดังนั้นพวกมันจึงไม่ปรากฏตัวอยู่ในบริเวณนี้ ทว่าเมื่อฮันซูออกจากดินแดนของหนอนคังริ ตอนนั้นเขาก็จะพบและต่อสู้กับนักล่าในทันที

เวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญในเขตนี้

เขาต้องจัดการกับนักล่าอย่างระมัดระวัง ทว่าต้องยังคงได้รับผลสำเร็จอย่างชัดเจน

เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนในดินแดนอันกว้างใหญ่ของหนอนคังริ แต่เมื่อเขาหาทิศทางที่ถูกต้องพบ เขาก็จะตั้งตัวได้

ในตอนนั้นเอง

เสียงเสียงหนึ่งได้เรียกฮันซูขึ้น

“เฮ้! ตรงนั้นน่ะ! เจ้าคนมาใหม่! เกิดอะไรขึ้น! ข้างล่างนั่นเป็นยังไงบ้าง?”

ฮันซูมองไปยังตำแหน่งที่เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านบนต้นไม้

กลุ่มคนราวๆ 10 คนกำลังมองมายังฮันซู

 

 

อัลแตร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะที่เธอมองไปยังผู้ที่กำลังยืนอยู่ด้านล่างต้นไม้

‘ขอบคุณพระเจ้า มันยังมีคนที่มีชีวิตรอด’

อัลแตร์คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามสัปดาห์ก่อน

สามสัปดาห์ที่แล้ว

ตอนที่เธอกำลังเดินทางอยู่ภายในอุโมงค์มดของวัว

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นทั่วทั้งกรากอซ

โชคดีที่เธอและเพื่อนๆ ของเธออยู่ด้านหน้าประตูมิติ ดังนั้นพวกเธอจึงหนีผ่านประตูมิติมาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด

แต่อัลแตร์ตื่นตระหนกเมื่อขึ้นมาบนนี้

ในเมื่อมันไม่มีใครมาคอยต้อนรับพวกเธอเลย

‘มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’

อัลแตร์พึมพำด้วยสีหน้าเลวร้าย

ในเขตสีแดง กิลด์ช่วยเหลือปรากฏตัวในพื้นที่เริ่มต้น

ในเขตสีส้ม หน่วยจู่โจมปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังพบเจอมนุษย์ในทันทีที่พวกเขาออกมา

ไม่สิ จริงๆ แล้วมันมีมนุษย์อยู่ทุกที่

แต่น่าแปลกที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของมนุษย์ในสถานที่แห่งนี้

หากไม่นับพวกเธอขึ้นมาพร้อมกัน ชายที่เธอกำลังมองอยู่ด้านล่างนั้นคือมนุษย์คนแรกที่พวกเธอพบในรอบสามสัปดาห์

‘…แน่นอนว่าพวกนี้ก็ไม่ได้น่าอยู่ด้วยนักหรอก’

ในขณะที่อัลแตร์กำลังมองไปรอบๆ ตัวเธอและขมวดคิ้วนั้น

ฮันแต ผู้นำของกลุ่มนี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ อัลแตร์ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด

อัลแตร์นั้นราวกับกำลังหวาดกลัวบางอย่างและเดินทางไปในป่ารอบๆ โดยที่ไม่กล้าออกไปด้านนอกตลอดทั้งสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

“บ้าเอ้ย เราไม่ใช่พวกหน่วยช่วยเหลือหรืออะไรแบบนั้นสักหน่อย! รีบๆ ไปเถอะน่า! อย่าเอาใครก็ไม่รู้ที่บังเอิญเจอเข้ามามั่วๆ ได้ไหม!”

‘บ้าเอ้ย… ไอ้พลังในการรับรู้อันตรายหรืออะไรนั่นของยายนี่ มันน่ารำคาญจริงๆ’

ฮันแตเดาะลิ้น

ถ้าพวกเขาไม่ต้องการลักษณะพิเศษของอีกฝ่าย งั้นเขาก็คงไม่แม้แต่จะพูดกับอีกฝ่ายแบบนี้

อัลแตร์ขมวดคิ้วกับคำพูดของฮันแต

‘นี่แกดูจะกล้าขึ้นเรื่อยๆ นะ’

กระทั่งฮันแตก็ยังไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้ที่ข้างล่างนั่น

ในเมื่อกิลด์และกฎอันหย่อนยานพวกนั้นยังคงอยู่

แต่หลังจากที่คิดว่ามีเพียงแค่พวกเขาสิบคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และการที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ฮันแต ก็ดูจะโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ

เขากระทั่งมองเธอด้วยสายตากระหายอยากเมื่อสองสามวันก่อน

อัลแตร์ถอนหายใจยาวขณะที่เธอเอ่ยออกไป

“อย่าทำตัวแบบนั้น เขาอาจจะมีประโยชน์กับพวกเราเหมือนกัน ใครจะไปรู้ล่ะ เขาอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งก็ได้”

อัลแตร์รักษาสถานะของเธอเอาไว้ขณะที่ขบฟันแน่น

เธอ รองกัปตันหน่วยสอดแนม และฮันแต รองกัปตันหน่วยจู่โจมสายฟ้าแล่บอยู่ในระดับเดียวกันในด้านของอำนาจ แต่เธอไม่อาจทำอะไรได้โดยไม่มีกิลด์ของเธอเนื่องด้วยความแตกต่างอย่างมากในด้านของความแข็งแกร่ง

‘บ้าเอ้ย ฉันอาจจะถูกข่มขืนก็ได้ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าหมอนั่นตรงนั้นจำเป็นต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งจริงๆ’

แต่อัลแตร์ไม่ได้มีความหวังมากนัก

แม้ว่าฮันแตจะเป็นไอ้สารเลว เขาก็แข็งแกร่งมาก

เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะอยู่ในระดับมาร์กอช ไม่มีใครเอาชนะเขาได้

แต่อัลแตรึกไม่ออกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ในระดับมาร์กอช

มันเป็นสาเหตุให้ฮันแตยังคงแสดงท่าทีผ่อนลายออกมาหลังจากที่เห็นหมอนั่นเช่นกัน

‘ไม่สิ ฉันคิดว่าเพิ่งจะมีคนใหม่เพิ่มเข้ามาในระดับมาร์กอช…’

แต่ไม่ช้าอัลแตร์ก็ส่ายศีรษะ

‘มันคงเป็นแค่ข่าวลือ’

โดยปกติแล้ว มันใช้เวลา 3-4 ปีในการไปถึงระดับมาร์กอช

มีหรือที่ข่าวลือเกี่ยวกับคนที่แข็งแกร่งระดับนั้นจะไม่แพร่กระจายออกไปในระหว่างนั้น?

เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ จนข่าวลือยังไม่ทันแพร่ออกไป

‘นั่นมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปอีก’

ฮันแตที่กำลังมองไปยังอัลแตร์เดาะลิ้นขณะที่เขาเดินออกไป

“เธอจัดการที่นี่ ฉันจะไปตรวจดูรอบๆ เธอก็มากับฉันด้วย”

จากนั้นฮันแตจึงเลือกผู้หญิงที่ค่อนข้างหน้าตาดีจากในกลุ่มไป

อัลแตร์กัดฟันกรอดเมื่อเห็นเช่นนั้น

‘ไอ้สารเลวนี่ นี่มันใช่เวลาสำหรับเรื่องแบบนั้นรึไง’

ผู้หญิงที่โดนอีกฝ่ายชี้ เอลิส ไม่กระทั่งเป็นคนจากหน่วยจู่โจมสายฟ้าแล่บที่ฮันแตเป็นผู้นำด้วยซ้ำ

เด็กคนนั้นเป็นคนที่อยู่ใต้การปกครองของเธอ

เอลิสคือคนที่เธอใส่ใจเพราะอีกฝ่ายไม่เคยหนีไปตอนที่อยู่ในอัตรายและตามเธอทันได้อย่างรวดเร็ว แต่การที่ฮันแตกำลังแสดงอาการก้าวก่ายมากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้

ราวกับว่าเขากำลังพยายามแสดงตัวอย่างที่ชัดเจนให้เห็นว่าใครคือหัวหน้าระหว่างเขากับอัลแตร์

ฮันแตกัดฟันกรอดและคำรามในลำคอเมื่อเขาเห็นอัลแตร์ขมวดคิ้ว

“อะไรล่ะ? เธอจะบอกว่าฉันทำไม่ได้รึไง? เธอคิดว่าฉันจะทำอะไร ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องปกติรึไงที่คนจากหน่วยจู่โจมกับหน่วยสอดแนมจะต้องไปด้วยกัน”

กระทั่งก่อนหน้าที่อัลแตร์จะพูดอะไรออกไปกับฮันแต เอลิสก็เสนอตัวก่อน

ในเมื่อมันชัดเจนว่าใครจะเป็นฝ่ายเสียหายถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป

และสัตว์อสูรที่นี่ก็แข็งแกร่งมากแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย ราวกับว่าพวกมันกำลังพยายามจะพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของพวกมันในฐานะของยอดฝีมือกลุ่มเล็กๆ

และเหตุผลที่ทำให้ทุกคนตั้งฮันแตเป็นหัวหน้าแบบเงียบๆ นั้นเป็นเพราะการลอบจู่โจมที่พวกเธอเผชิญมาก่อนหน้านี้

พวกเขาตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของฮันแตเป็นเรื่องจำเป็นในการมีชีวิตรอดในป่าใหญ่นี้

หากกลุ่มคนสิบคนนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน มันก็จะยิ่งยากในการมีชีวิตรอดในเขตสีเหลืองนี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับ

‘ฉันต้องจบมันลงที่นี่’

เอลิสเอ่ยขึ้นกับอัลแตร์

“เดี๋ยวฉันจะกลับมาค่ะรองกัปตัน อย่ากังวลเกินไปเลย เราก็แค่ไปตรวจดูรอบๆ เฉยๆ”

“… ระวังตัวด้วย”

อัลแตร์มองไปยังแผ่นหลังที่หายไปของเอลิสด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

และตัดสินใจอย่างเด็ดขาดกับตนเอง

‘ฉันต้องแข็งแกร่งขึ้นและหาคนเข้ามาให้มากขึ้น’

เจ้าหมอนั่นทำตัวแบบนี้เพราะพวกเธอมีจำนวนน้อยและอ่อนแอกว่า แต่เมื่อจำนวนของพวกเธอมากขึ้นและพวกที่แข็งแกร่งกว่าปรากฏตัวขึ้น ตำแหน่งของเธอก็จะสูงขึ้นเพราะความสามารถพิเศษของเธอ

ถ้าไอ้สารเลวอย่างฮันแตได้เป็นคนบังคับเรือ พวกเธอก็จะจมกันหมด

อัลแตร์หยุดคิดและเข้าไปใกล้ชายที่ออกมาจากพื้นด้านล่าง

“ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ มาที่เขตสีเหลืองครั้งแรกใช่ไหม?”

อัลแตร์สังเกตชายเบื้องหน้าเธออยู่ตลอดเวลา

‘แค่มองเฉยๆ ยังบอกอะไรไม่ได้’

แต่พลังรับรู้อันตรายของเธอไม่ได้เตือนเธอเกี่ยวกับคนตรงหน้านี้แม้แต่น้อย

ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยในสมองของหมอนี่ก็ยังไม่บิดเบี้ยวไปทั้งหมด

อัลแตเอ่ยขึ้นกับฮันซูอย่างผ่อนคลาย

“เขตนี้อันตรายกว่าด้านล่างมากนายก็รู้ ดังนั้นแล้วเราจึงกำลังมองหาคนใหม่ๆ ในระหว่างเดินทางไปรอบๆ ในเมื่อมันจะมีแค่เสียถ้าเด็กใหม่ถูกฆ่าไปเฉยๆ เหมือนกัน นายรู้จักกิลด์ช่วยเหลือใช่ไหม? ที่นี่ก็มีอะไรที่คล้ายๆ แบบนั้นเหมือนกัน นั่นก็คือพวกเรา จะยังไงก็เถอะ สถานการณ์ด้านล่างนั่นเป็นยังไงบ้าง? ไม่มีคนอื่นๆ ขึ้นมาเลยเหรอ?”

มันไม่มีความจำเป็นในการแสดงความผิดหวังออกไปแม้ว่าพวกเธอจะปล่อยให้เขาเข้าร่วม

ในเมื่อมันชัดเจนว่าใครแข็งแกร่งกว่า

แล้วคนมาใหม่จะไปรู้อะไร?

‘เข้าร่วมกับเราก็ไม่ได้ทำให้นายเสียหายอะไร’

อัลแตร์พึมพำอยู่ภายในใจ

เหตุผลที่เธอโกหกนั้นไม่ใช่เพราะว่าเธอต้องการจะชี้นิ้วสั่งอีกฝ่าย

‘มันก็แค่มีคนที่จองหองมากเกินไป’

ถ้าพวกเธอไม่ขีดเส้นอย่างชัดเจนเอาไว้ก่อนว่าใครคือผู้นำ งั้นคนเหล่านั้นก็จะทรยศ

และมันจะง่ายกว่าสำหรับพวกเขาที่มาที่นี่แล้วสามอาทิตย์ในการสร้างบรรยากาศในการชี้นำคนมาใหม่

ฮันซูมองไปยังอัลแตร์อย่างเงียบๆ

‘เป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างน่าขำ’

อืม มันไม่มีความจำเป็นในการหักหน้าคนพวกนั้นด้วยการบอกให้หยุดโกหก

ฮันซูเอ่ยขึ้นขณะที่มองไปยังอัลแตร์

“ไม่มีใครให้เธอช่วยเหลือ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ จะยังไงก็จะไม่มีใครขึ้นมาในช่วงนี้อยู่แล้ว”

“อะไรนะ? ทำไม?”

“เขตด้านล่างรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว ภายใต้การควบคุมของหัวหน้ากิลด์คนใหม่ กวานแจ จะไม่มีใครขึ้นมาสักพักใหญ่ๆ”

อัลแตร์แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

‘หือ เจ้านั่นสร้างความวุ่นวายขึ้นจริงๆ งั้นเหรอ’

เธอรู้ว่าหัวหน้ากิลด์ของพวกเอ กิล์รีโรรีโรเร มีความสามารถอยู่บ้าง แต่การที่เขาสามารถรวบรวมเขตด้านล่างนั่นให้เป็นหนึ่งได้นี่

ในระหว่างที่อัลแตร์กำลังประหลาดใจอยู่นั้นเอง

ฮันซุหมุนตัวกลับและมุ่งหน้าไปในส่วนลึกของป่าอย่างรวดเร็ว

‘เขาจะไปทั้งๆ แบบนี้เหรอ?’

อัลแตร์ขมวดคิ้วขณะที่เธอมองภาพนั้นและเอ่ยขึ้น

“นายกำลังจะไปไหน? ฉันบอกว่ามันอันตรายนะ นี่นายค่อนข้างจะมั่นใจหรืออะไรแบบนั้นรึไง?”

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“คนที่ตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่ฉัน แต่เป็นพวกเธอ”

“อะไรนะ?”

“มันกำลังมา นั่น”

วินาทีที่ฮันซูชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

อัลแตร์ก็ตื่นตระหนก

ในเมื่อมันคือทิศทางที่ฮันแตและเอลิสหายไป

อัลแตร์เพ่งสมาธิไปที่ใบหูและเพ่งประสาทสัมผัสตรงไปยังทิศทางนั้น

ตูม! ตูมมม!

เสียงระเบิดดังสนั่นปรากฏขึ้นจากต้นไม้ยักษ์กลางป่าที่ระเบิดออก

และเธอก็สามารถบอกได้ว่าเสียงนั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

อัลแตร์ขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นเช่นนั้น

ในเมื่อสิ่งนั้นคือสิ่งที่พวกเธอคุ้นเคย

“บ้าเอ้ย… รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะเจ้าเด็กใหม่”

อัลแตร์ตะโกนไปยังฮันซู

ในเมื่อหมอนี่จะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ ถ้าเขาไปสู้กับเสือดาวนั่น

แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ทำตามใจตนเอง เธอก็ยังคงไม่อาจปล่อยให้ใครบางคนถูกฆ่าต่อหน้าเธอได้

เสือดาวที่มีขนาดสามเมตร

มันไม่กระทั่งดูเหมือนสัตว์ประหลาด แต่อาวุธและสกิลแทบจะใช้ไม่ได้กับมัน

และความสามารถในการลบร่องรอยของมันก็น่าตื่นตาเช่นกัน

‘เวรเอ้ย… มันมาถึงที่นี่ก่อนที่จะแสดงตัวออกมา’

พวกเธอหนีจากมันมาได้อย่างยากลำบากหลังจากที่เสียพวกพ้องไปคนหนึ่งตอนที่ถูกโจมตี

ฮันซูหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ไม่ใช่ว่าพวกเธอดูจะอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นหน่วยช่วยเหลือเกินไปหน่อยเหรอ?”

“อะไรนะ?”

ฮันซูจ้องไปยังเสือดาวสีดำที่วิ่งตรงมายังพวกเขาจากห่างออกไป

‘นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี กับการที่เจอสิ่งนี้ก่อนพวกเผ่าพันธุ๋นักล่า’

เสือดาวดำ คาลิคราวน์

นักล่าที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

มนุษย์อยู่ที่ล่างสุดของห่วงโซ่นี้

และหนึ่งในสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์

มันไม่มีอะไรให้เสียเมื่อเป็นสิ่งนั้น

‘ฉันควรจะลองหน่อยไหม?’

ร่างของฮันซูเริ่มถูกครอบคลุมไปด้วยเมฆดำที่เขาได้รับเป็นรางวัลมาจากด้านล่าง

 

 

 

เอลิสที่ออกมาตรวจสอบพื้นที่ตะโกนออกไปเสียงดัง

“เราต้องรีบกลับไปช่วย!”

แน่นอนว่าพวกเธอสามารถได้ยินว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในเมื่อพวกเธอยังคงอยู่ค่อนข้างใกล้

แต่ฮันแตขมวดคิ้วและมองไปยังเอลิส

“เงียบสักพักสิ”

ฮันแตปิดปากของเอลิสและมองไปยังมุมหนึ่งของป่า

อืม จริงๆ แล้วคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ราวกับรูปภาพ

‘ผู้หญิงอะไรกัน… ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?’

และเธอก็ยังเป็นสาวงามเสียด้วย

ฮันแตเข้าใกล้ผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่ในมุมหนึ่งของป่าอย่างระมัดระวัง

 

 


TL: สงสารหนอนคังริอยู่หน่อยๆ ล่ะ โดนปู่แกล้งเฉย