บทที่ 145: ดินแดนแห่งนักล่า (1)

 

 

 

“อึกก…”

ฮันซูมองไปยังร่างของเอลคาเดียนที่ยับเยินไปทั้งตัว

ร่างกายที่กลายเป็นสีดำสนิทจากพิษของอคารอน

ฮันซูสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ ขณะที่มองร่างนั้นและขยับมือของเขาไปยังศีรษะของเอลคาเดียน

จากนั้นเขาจึงดึงมงกุฎแห่งหนามออกมา

ฉึบบ

เมื่อมงกุฎแห่งหนามถูกดึงออกมา ดวงวิญญาณของเอลคาเดียนเองก็ถูกดึงออกมาพร้อมกัน

พร้อมด้วยสิ่งมีชีวิตที่ปนเปื้อนเอลคาเดียนอยู่

“อึกกก…”

สติอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ของกัลคิม่ายังคงส่งเสียงครางออกมา

เขารู้โดยสัญชาตญาณ

ว่าดวงวิญญาณที่เขายึดครองได้ถูกดึงออกจากร่างแล้ว

‘เวรเอ้ย… ฉันควรจะกินไอ้คนข้างล่างนั่นแทนเจ้าเอลคาเดียนนี่’

เมื่อมงกุฎแห่งหนามถึงดึงออกจากศีรษะ ดวงวิญญาณของเขาที่ยึดครองดวงวิญญาณของเอลคาเดียนอยู่ก็จะหายไปเช่นกัน

ในเมื่อดวงวิญญาณของเขาจะสามารถคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อทั้งร่างกายและดวงวิญญาณมีอยู่

“เชี่ยเอ้ย ไอ้การมาตายแบบนี้ในสถานที่แบบนี้…”

สมาชิกของเผ่าพันธุ์เมฆทมิฬที่พ่นคำสบถออกมาด้วยพลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ถูกดึงออกมาจนหมดและหายไป

ครึ่กกก!!!!

เมื่อมงกุฎแห่งหนามถูกดึงออก ดาบแก่นแท้มังกรที่ฝังอยู่ในร่างของทารูโฮลก็ส่งเสียงออกมาและเริ่มออกมาจากร่าง

มันไม่อาจอยู่ภายในร่างได้ในเมื่อมันไม่มีสิ่งใดมาคอยควบคุมมันอีก

ฮันซูดึงที่จับของดาบแก่นแท้มังกรที่ทิ่มออกมาจากท้องของทารูโฮลออกมา

จะอย่างไร อาร์ติแฟคในระดับของดาบแก่นแท้มังกรจะทำเพียงสร้างความเสียหายให้กับทารูโฮลในสภาพนี้เท่านั้น

ในเมื่ออีกฝ่ายจะไม่อาจรับมือกับพลังที่ไหลเวียนไปทั่วได้

ไม่ช้า ดวงวิญญาณของเอลคาเดียน ดวงวิญญาณของกัลคิม่า และดาบแก่นแท้มังกรก็ถูกดึงออกมา

สิ่งที่เหลือมีเพียงแค่ร่างของทารูโฮลที่มีเศษเสี้ยววิญญาณของฮันซูอยู่

‘ก่อนอื่นก็แก้พิษ’

ฮันซูเทยารักษาเพื่อต้านพิษในร่างของทารูโฮลลงไปอย่างระมัดระวัง

พิษที่กำลังทำลายร่างของทารูโฮลอยู่ค่อยๆ ถูกกำจัด ไม่ช้าของเหลวสีดำที่กำลังลามไปทั่วของเหลวสีเงินก็หยุดการเคลื่อนไหว

ทว่าทารูโฮลจะตายถ้าถูกปล่อยทิ้งไว้แบบนี้

ในเมื่อของเหลวสีเงินส่วนมากที่จะใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของเขาได้ถูกทำลายไปโดยพิษแล้ว

มันเป็นสาเหตุให้ฮันซูต้องช่วยเหลือเขา

‘ฉันจะปล่อยให้เขาตายได้ยังไง… ในเมื่อเขาเชื่อมั่นใจตัวฉันและติดตามฉัน?’

ฮันซูเริ่มเคลื่อนไหวเศษเสี้ยววิญญาณที่อยู่ในร่างของทารูโฮล

และจากนั้นร่างของทารูโฮลก็เริ่มขยับตามความต้องการของฮันซู

สกิลของฮันซูที่ติดไปกับเศษเสี้ยววิญญาณเริ่มทำงาน

<มานามังกรปีศาจ>

มานาอันเป็นตัวแทนของฮันซูปรากฎขึ้นบนร่างของทารูโฮลและเริ่มฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็ว

ครึ่กกก

มานามังกรปีศาจช่วยฟื้นฟูของเหลวสีเงิน และของเหลวสีเงินนั่นก็ช่วยในกระบวนการรักษาร่างกายต่อ

ทั้งสองร่วมมือกันทำงานพร้อมกับที่ร่างกายที่กลายเป็นสีดำของทารูโฮลเริ่มกลับมามีสีสัน

‘ดี แบบนี้น่าจะพอ…’

ฮันซูมองไปยังมงกุฎแห่งหนามที่เขากำลังถืออยู่ในมือ

มงกุฎแห่งหนามที่ยังคงมีดวงวิญญาณของเอลคาเดียนอยู่ด้านใน

‘ฉันไม่รู้ว่าฉันจะรักษาเธอได้ไหม’

ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน เธอก็อาจจะยังมีชีวิตรอดได้

แต่โอกาสมีเพียงแค่ครึ่งต่อครึ่ง

‘ในเมื่อนายเชื่อมั่นในฉันและช่วยเหลือฉัน… ฉันก็ควรจะพยายามช่วยเหลือนายให้ดีที่สุดเหมือนกัน’

ฮันซูรีบมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่กวานแจล้มลง สถานที่ที่เครื่องมือคานอำนาจถูกสร้างขึ้น

 

 

 

“อึกกก…”

กวานแจเปิดเปลือกตาของเขาขึ้นอย่างเชื่องช้า

และจากนั้นจึงมองไปยังร่างกายของเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

‘ฉันยังไม่ตาย?’

มันเห็นกันชัดๆ ว่าเขาเอาชนะอคาดัสสีทองนั่นแล้วล้มลง

รับรู้ได้ถึงของเหลวสีเงินที่กำลังเผาไหม้ร่างกายของเขาทั้งร่าง

แต่เขายังมีชีวิตอยู่

ของเหลวสีเงินที่ราวกับว่ามันจะระเบิดและเผาไหม้ร่างกายของเขาได้กำลังถูกควบคุมโดยบางอย่างและสงบลง

ร่างกายของเขาเสียหายยับเยิน แต่มันกำลังถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยพลังของของเหลวสีเงิน

‘ใครกันที่สามารถควบคุมของเหลวสีเงินได้ถึงขนาดนี้?’

กวานแกสงสัย

ทันใดนั้น เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในศีรษะของเขา

<เจ้าเป็นอะไรไหม?>

“หือ?”

กวานแจขมวดคิ้วกับเสียงที่ดังขึ้นในศีรษะของเขาอย่างกะทันหัน

ในเมื่อมันไม่ใช่ใครที่เขาจะรู้สึกเป็นมิตรด้วย

‘ทำไมเจ้าเอลคาเดียนนี่ถึงมาอยู่ในร่างของฉัน…’

กวานแจพยายามขยับมือเผื่อไว้ว่าร่างกายของเขาจะถูกยึดครองเช่นกัน

ในขณะที่เขากำลังเคลื่อนไหวร่างกาย เขาก็ยกมือขึ้นไปยังศีรษะของเขาหลังจากที่มีความรู้สึกแปลกประหลาดบนนั้น

มงกุฎแห่งหนามสวมอยู่บนศีรษะของเขา

กวานแจมองไปยังฮันซูที่อยู่หน้าเขาและขมวดคิ้ว

“นายใส่มันให้ฉันเหรอ?”

ฮันซูผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“วิญญาณของเอลคาเดียนจะควบคุมไม่ให้ของเหลวสีเงินเผาไหม้ นายอาจจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอด”

มันคงจะเป็นไปไม่ได้ในการให้กวานแจควบคุมของเหลวสีเงินด้วยตนเอง

แต่ดวงวิญญาณของเอลคาเดียนที่เป็นผู้คิดค้นการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายจะสามารถทำได้อย่างง่ายดาย

ฮันซูผงกศีรษะขณะที่มองไปยังกวานแจที่ตื่นขึ้นมาแล้ว

‘มันสำเร็จสินะ’

โอกาสมีแค่ครึ่งต่อครึ่ง

ในเมื่อเขาไม่รู้ว่ากวานแจจะสามารถรองรับมงกุฎแห่งหนามได้หรือไม่ รวมทั้งไม่รู้ว่าเอลคาเดียนสามารถทำได้แค่ไหน

แต่ในเมื่อกวานแจได้ตื่นขึ้นมาและเป็นคนควบคุมร่าง มันก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

กวานแจที่ขมวดคิ้วจากการที่เอลคาเดียนอยู่ในหัวของเขาถอนหายใจออกมาแทน

ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะสามารถด่าเอลคาเดียนได้

และการที่เขายังมีชีวิตอยู่ตอนที่เขาคิดว่าเขาจะตายไปแล้วนั้นก็นับว่าน่าซาบซึ้งเช่นกัน

“ฟิ้ว… ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง นายจัดการไอ้สัตว์ประหลาดนั่นแล้วเหรอ?”

ฮันซูผงกศีรษะจากนั้นจึงยื่นบางอย่างไปยังกวานแจที่ตื่นขึ้นมา

กวานแจขมวดคิ้วขณะที่เขามองไปยังมัน

“มันคืออะไร?”

“มันถูกเรียกว่าเศษเสี้ยววิญญาณ”

ฮันซูเริ่มอธิบายว่ามันคืออะไร

กวานแจที่คอยควบคุมกิลด์ใหญ่โตอยู่แล้วพลันเข้าใจในคำอธิบายของฮันซู

กวานแจที่แสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมาเอ่ยถามขึ้นเผื่อเอาไว้

“มันมีทางไหนให้ฉันไม่ต้องรับมันได้ไหม? นายจะเชื่อใจฉันหน่อยไม่ได้เหรอ?”

แน่นอนว่าการที่ใครบางคนจะสามารถควบคุมเขาและอ่านความทรงจำของเขาได้มันไม่ได้ให้ความรู้สึกดีๆ เลยแม้แต่น้อย

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดที่ดูจะติดตลกอยู่บ้าง

“ไม่ ทำไม่ได้”

เขาไม่อาจเว้นช่องว่างให้กับความผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว ไม่แม้แต่จะเป็นความเป็นไปได้ของความล้มเหลว

แม้ว่าเขาจะยอมรับในความสามารถของกวานแจ อีกฝ่ายก็ยังคงมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่

ภรรยาของเขา

และเพราะแบบนี้ เขาจึงจำเป็นต้องใส่เศษเสี้ยววิญญาณไปที่อีกฝ่าย

ในเมื่อเขาต้องหยุดกวานแจไม่ให้เสียสติและอาละวาด

กวานแจครุ่นคิดไปชั่วครู่กับท่าทีเด็ดขาดของฮันซูก่อนจะทำเพียงผงกศีรษะ

ในเมื่อมันไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ

“งั้นฉันจะรับมันไว้แล้วกัน”

‘ถ้าฮันซูคิดจะทำอะไรแปลกๆ… งั้นเขาก็คงใส่มงกุฎแห่งหนามด้วยตัวเองไปแล้ว’

กวานแจยังคงมีเรื่องที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับฮันซูอีกมาก

และฮันซูก็ไม่ใช่คนที่จะอธิบายถึงทุกเรื่องอย่างใจดี

แต่มันไม่มีความจำเป็นในการอธิบายอีกต่อไปแล้ว

‘ฉันจะเดินตามทางที่นายเดินนับแต่นี้ไป’

และความจริงแล้วมงกุฎแห่งหนามก็ดีสำหรับเขามากๆ เช่นกัน

ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นให้เขาต้องหวาดกลัวอคารอนและสร้างเครื่องมือคานอำนาจขึ้นอีกต่อไป

กวานแจพลันติดถึงเอลคาเดียนหลังจากที่คิดถึงตอนนี้

‘แบบนี้เธอโอเคไหม? ที่ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้?’

เอลคาเดียนเอ่ยตอบ

ด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง

<จะยังไงข้าก็ไม่ควรได้มาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว บาปที่ข้าสร้างขึ้นมากเพียงพอที่จะทำให้ข้าต้องตายไปแล้วด้วยซ้ำ การคงอยู่ของข้าจะทำเพียงไปขวางทางการรวมกันเป็นหนึ่งของมนุษย์และอคารอน>

แต่ความรู้ที่เธอยังไม่ได้ส่งมอบต่อไปนั้นล้ำค่าเกินไปกว่าการที่เธอจะจากไปทั้งๆ แบบนี้

ฮันซูและกวานแจจะควบคุมเธอได้ดี

และตอนนี้เธอยินดีที่จะอยู่ในความมืดและช่วยเหลือให้มนุษย์พัฒนาขึ้น

ฮันซูมองไปยังราชาคนใหม่ของเขตสีส้ม เอลคาเดียนและกวานแจ ก่อนจะผงกศีรษะ

‘ถึงมันจะต่างออกไปจากแผนเดิมของฉัน… ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปตามแผน’

เขาดึงเศษเสี้ยววิญญาณออกมาจากร่างของทารูโฮลและใส่มันไปที่กวานแจ

งานที่นี่เองก็เสร็จสิ้นแล้ว

ตอนนี้เหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้าย

“ออกมา ฉันจะรับรางวัลแล้ว”

เมื่อฮันซูเอ่ยขึ้น อากาศก็แยกออกพร้อมกับที่บางอย่างออกมา

“คุณทำได้ดีเลยนะ ฮี่ฮี่ ฉันเฝ้ามองอยู่สักพักแล้ว และ… ฉันได้ยินมาว่าเอลคาเดียนเอ่ยคำพูดที่ค่อนข้างตราตรึงใจเลย”

‘อย่างที่คิด พวกมันมองอยู่’

ขณะที่ฮันซูและกวานแจมองไปยังแฟรี่ มันก็เอ่ยขึ้น

“หอกหมื่นเล่มหรือดาบล้ำค่าเพียงเล่มเดียว คุณจะเลือกรับรางวัลด้วยกันเพราะพวกคุณร่วมมือกัน? หรือว่าคุณจะกินทั้งหมดนั่นด้วยตัวคนเดียวล่ะ?”

ฮันซูขมวดคิ้วขณะที่เขามองไปยังแฟรี่

‘ไอ้การใช้วิธีแบบนี้’

มันอาจจะไม่ได้บอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับรางวัลและบอกเขาแค่เพียงคนเดียว

ในเมื่อเขาจะไม่อาจเลือกตัวเลือกที่จะยึดทุกอย่างไว้คนเดียวได้ถ้าคนอื่นๆ รู้เรื่องรางวัล

การได้รับบางอย่างทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้รับกับการที่ไม่ได้รับมันทั้งๆ ที่คาดหวังเอาไว้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

และจะยังไงเขาก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว

‘ฉันไม่อาจปล่อยให้ทุกคนกลับไปมือเปล่าได้ในเมื่อพวกเขามาช่วย’

ฮันซูเอ่ยตอบออกไปแทบจะในทันที

 

 

 

“บ้าเอ้ย… ในที่สุดมันก็จบแล้วใช่ไหม? ฟิ้ว”

เอนบิ อารินถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะที่เธอมองไปยังอคาดัสที่พลันร่วงลงกลิ้งบนพื้น

ในเมื่อแม้ว่าเธอจะจัดการอคาดัสสีทองไปสองตัว ตัวเธอเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

และเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง มันก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ค่อยๆ คืบคลานมาใกล้พวกเขา

เอนบิ อารินเดาะลิ้นเมื่อเธอเห็นคนเหล่านั้น

‘ชิ’

ผู้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้สุดท้าย

แต่เอนบิ อารินไม่ตำหนิคนเหล่านี้ และเธอทำเพียงแค่นั่งอยู่บนพื้นและฟื้นฟูตัวเอง

ในเมื่อมันไม่มีอะไรให้คนพวกนี้กินอยู่ดี

ความจริงแล้ว การที่พวกนั้นไม่โจมตีเอนบิ อารินและคนอื่นๆ ที่กำลังพักผ่อนอยู่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว

‘บางอย่างที่คงจะไม่เกิดขึ้นในอดีต’

หากมันเป็นเขตสีส้มในตอนที่ฮันซูยังไม่ได้จัดระเบียบ งั้นสงครามครั้งที่สองก็คงจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

สงครามกับพวกไฮยีน่าที่มุ่งเป้ามาที่รูนที่จะตกโดยการฆ่าผู้คนที่กำลังเหนื่อยล้า

“ว้าว… มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ นะเนี่ย”

หนึ่งในนักผจญภัยที่ค้นไปทั่วร่างของอคาดัสสีทองแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วม แต่พวกเขาก็เห็นจากที่ไกลๆ

สำหรับการที่มันไม่มีรางวัลอะไรเลยทั้งๆ ที่การต่อสู้รุนแรงขนาดนั้น

ในตอนนั้นเองที่อากาศด้านบนแยกออกพร้อมกับที่บางอย่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

“หือ?”

สีหน้าของเหล่านักผจญภัยดูดีขึ้น

โดยปกติแล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่ชอบ แต่ตอนนี้มันต่างออกไป

ในเมื่อมันมีเพียงเหตุผลเดียวที่เจ้าสิ่งนั้นจะปรากฏตัวขึ้น

รางวัล

‘โว้ว ฉันจะได้บางอย่างแม้ว่าจะไม่แม้แต่จะยกนิ้วขึ้นรึเปล่า?’

และตามที่พวกเขาคาดหวัง แฟรี่เอ่ยคำพูดที่พวกเขาล้วนต้องการได้ยินออกมา

“สวัสดีทุกคน! ยินดีด้วยที่มีชีวิตรอดจนถึงสุดท้าย! พวกคุณน่าจะตายกันหมดแต่ดูเหมือนว่าพวกคุณจะค่อนข้างโชคดีนะ!”

“…”

“พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าฉันออกมาทำไม? ฉันมาเพื่อรางวัลของพวกคุณ”

สีหน้าของผู้คนแตกต่างกัน

ผู้ที่เข้าร่วมในการต่อสู้รู้สึกยินดี แต่ก็รู้สึกกระอักกระอวลเล็กๆ

และผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมก็ต้องการเพียงแค่หาผลประโยชน์อะไรบางอย่าง

และแน่นอนว่าแฟรี่พูดถึงเรื่องนี้ก่อน

“มาตรฐานในการได้รับรางวัลครั้งนี้กว้างมาก”

มาตรฐานสำหรับรางวัลกว้างมาก ในเมื่อมันไม่ได้ออกมาเป็นรูนที่ใครฆ่าคนนั้นก็จะได้

แต่แฟรี่แย้มรอยยิ้มเจิดจ้าออกมาขณะที่มันเอ่ยขึ้น

“แต่การได้ไปฟรีก็ค่อนข้างเป็นปัญหา ของขวัญที่ฉันจะมอบให้พวกคุณคือเมฆดำนี่”

“…เมฆดำ?”

วินาทีที่สิ้นเสียงแฟรี่ บางอย่างก็ได้ไหลออกมาจากร่างของเหล่านักผจญภัย

ฟึ่บบ

“หือ สวยดี”

เอนบิ อารินมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเป็นเมฆสีดำที่กำลังลอยอยู่รอบร่างของเธอหลังจากที่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

เมฆแบบเดียวกันกับที่พ่ายแพ้ให้กับแมงมุมสีฟ้าหลังจากที่สู้กับเธอและคนอื่นๆ อย่างบ้าคลั่ง

แต่มันไม่มีกลิ่นอายโหดเหี้ยมเหมือนที่เคยรู้สึกได้

ความจริงแล้ว มันทำตามความต้องการของเอนบิ อารินได้ค่อนข้างดี แทบจะเหมือนกับสัตว์เลี้ยง และกำลังลอยอยู่รอบตัวของเธอ

รอบร่างกายของผู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้สุดท้ายทุกคน

แต่มันไม่ได้ปรากฏขึ้นที่ร่างกายของทุกคน และขนาดของพวกมันก็ไม่เหมือนกันเช่นกัน

ในกรณีของเอนบิ อาริน มันใหญ่และสีเข้มกว่าคนอื่นๆ สองสามเท่าตัว

บางคนก็ไม่ได้รับเลยแม้แต่น้อย

นักผจญภัยคนหนึ่งบ่นออกมา

“นี่มันนับตามอะไรเนี่ย? ถึงฉันจะได้แค่นิดเดียวฉันก็ยังเข้าร่วมการต่อสู้สุดท้ายนะ”

แฟรี่หัวเราะคิกคัก

“มันยุติธรรมมากคุณก็เห็น ปริมาณที่มอบให้จะนับตามว่าคุณกำจัดเมฆดำไปมากแค่ไหน”

“…โอ้”

การต่อสู้สุดท้าย

ผู้คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ในการต่อต้านสมาชิกเผ่าเมฆทมิฬเป็นครั้งสุดท้าย

ผู้ที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญที่สุดในแนวหน้าและได้ทำลายร่างแยกของเผ่าเมฆดำไปจำนวนมากจะได้รับเมฆจำนวนมาก และผู้ที่อยู่ในแนวหลังและจุดปลอดภัยก็แทบจะไม่ได้รับอะไรเลย

และเมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้สุดท้ายก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างมากออกมา

‘บัดซบเอ้ย… ฉันรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้เพราะพวกนั้นบอกว่าจะไม่มีรางวัลอะไรเลย แต่ไอ้การที่มันดันมอบของแบบนั้นออกมา’

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดหนี้ชีวิตฮันซู มันก็ไม่ได้ตรงขนาดนั้น รวมทั้งชีวิตของพวกเขาก็ล้ำค่าเช่นกัน

และพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมเพราะคนเหล่านั้นบอกว่ามันไม่มีรางวัล แต่ไอ้การที่ของแบบนั้นถูกมอบให้กับพวกที่เข้าร่วมนี่

‘ชิ มันคงจะดีถ้าอย่างน้อยผลของมันก็ห่วยแตก’

ถ้าของที่คนเหล่านั้นได้ครอบครองยังยอดเยี่ยมอีก มันก็คงไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเขารู้สึกอิจฉาไปได้มากกว่านี้แล้ว

‘บ้าเอ้ย… ฉันน่าจะเลือกตัวเลือกที่ถูกต้อง จะยังไงก็เถอะ เจ้าคนที่ชื่อฮันซูนั่นไปไหนแล้ว?’

ในเมื่อเจ้านั่นเป็นคนจัดการผู้นำด้วยตนเอง เขาคงจะได้เมฆที่เยอะกว่าพวกเขาทุกคน

แต่ไม่ช้าเขาก็ส่ายศีรษะ

‘อืม เดี๋ยวเขาก็กลับมา’

เขาจะไปไหนได้ถึงแม้ว่าเขาจะอยาก?

เขาต้องย้อนกลับมาที่นี่ในเมื่อมันดูเหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือของพวกเขาในการขึ้นไปอยู่ดี

แต่ฮันซูกำลังกระทำสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับที่พวกเขาคาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

 

 

 

กวานแจมองสลับไปมาระหว่างประตูมิติตรงหน้าและฮันซูก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

“… นายจะขึ้นไปคนเดียวจริงๆ เหรอ?”

ฮันซูที่มีก้อนเมฆที่ใหญ่โตและหนาแน่นกว่าเอนบิ อารินลอยอยู่รอบๆ ผงกศีรษะ

“ใช่ ฉันจะปล่อยที่นี่ให้นายจัดการ และอย่าให้ใครขึ้นไปจนกว่าฉันจะอนุญาต ดูแลประตูมิตินี่ให้ดีๆ”

กวานแจเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง

“ไม่ใช่ว่าการที่พวกเราขึ้นไปด้วยกันจะมีประโยชน์มากกว่าเหรอ? มันอาจจะมีความขัดแย้งระหว่างนายและขั้วอำนาจที่มีอยู่ก่อนแล้วนะ”

จำนวนมักจะมีประโยชน์เสมอ

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ในเมื่อกวานแจได้รับเศษเสี้ยววิญญาณของเขา อีกฝ่ายจึงพอรู้ถึงตัวตนของฮันซูในระดับหนึ่ง

มันมีเหตุผลให้อธิบาย

“มันค่อนข้างจะเสียเปล่าที่ให้พวกนายไปตายเปล่าแบบนั้น พวกนายอ่อนประสบการณ์เกินไป”

“…หือ?”

“เพิ่มความแข็งแกร่งของพวกนายและพยายามจัดการทุกอย่างที่นี่ให้เรียบร้อยอย่างสุดความสามารถของนายจนกว่าฉันจะเรียกนาย โลกด้านบนนั่น… มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของอีกต่อไปแล้ว”

เขตสีแดง

มนุษย์ยึดครองมันแทนที่เผ่าพันธุ์ที่ล่มสลาย เอลวินไฮล์ม

เขตสีส้ม

มนุษย์ไล่ต้อนอคารอนที่อ่อนแอลงและควบคุมแผนหลังของกรากอซ

แม้ว่าภัยพิบัติทั้งห้าและกรากอซจะเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ พวกมันก็ไม่ได้สนใจในมนุษย์แม้แต่น้อย

แต่เขตสีเหลืองมันต่างออกไป

ดินแดนที่มนุษย์ถูกล่าและกิน รวมทั้งถูกทำราวกับเป็นทาส ดินแดนแห่งนักล่า

การมีคนมากด้านบนนั่นก็เหมือนกับการที่ทำให้พวกนั้นมีเป้าหมายเพิ่มมากขึ้น

‘ดังนั้น… ฉันจะขึ้นไปเตรียมพร้อมก่อน’

“ได้โปรด”

ฮันซูทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้กับกวานแจขณะที่เขาแทงดาบแก่นแท้มังกรในมือของเขาเข้าไปในร่างและกระโดดเข้าไปในประตูมิติ

 

 


TL: สำหรับเทียร์แล้ว ภาคต่อไปค่อนข้างจะสะเทือนใจสุดๆ เลยล่ะค่ะ