บทที่ 145 แกจะรับผิดชอบไหวไหม?

เมื่อเหล่านักเรียนมองเห็นชายชราคนหนึ่งที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา เตะไอโฟนในมือเซี่ยหมินแล้วเหยียบซ้ำจนแหลกละเอียด พวกเขาก็พากันอ้าปากค้างไปตามๆกันพร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ ‘ชายชราคนนี้เป็นใคร?’

เครื่องแต่งกายสีเทาที่ดูหนักแน่น คิ้วเอียงตรงเหมือนดังกระบี่ ประกายตาเฉียบคมที่ดูดุร้ายเหมือนกับของเหยี่ยว สิ่งเหล่านี้ทำให้ชายชราคล้ายดั่งพยัคฆ์ร้ายในร่างมนุษย์!

“คุณปู่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

เมื่อเห็นดังนั้น ซูเหมิงหานก็จับแขนเย่เฟิงไว้แน่นขณะจ้องมองไปยังเย่เวิ่นเทียนที่อยู่ตรงหน้า

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เย่เฟิงมึนงงไปชั่วครู่กับการปรากฏตัวขึ้นมาของชายชรา เขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธ เย่เวิ่นเทียนมักผลุบๆโผล่ๆเหมือนภูติผีอยู่เสมอ ถึงแม้เมื่อคืน หัวขโมยจะบอกว่าชายชราไม่อยู่ในเมืองเหยียนจิงก็ตาม แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆแล้วเมื่อคืน เย่เวิ่นเทียนอยู่ที่ไหนกันแน่

“หึ”

เย่เวิ่นเทียนถอนเท้ากลับมาช้าๆ ชายชราเอามือไขว้หลังขณะเดินเข้ามาหาเย่เฟิงโดยไม่สนใจเซี่ยหมินอีก ท่าทีของเขาดูสุขุมเยือกเย็นจนน่าเกรงกลัว
เมื่อเดินมาถึง ชายชราจ้องมองเซี่ยเฉิงเย่และเหล่าลูกน้อง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “การที่เหล่าทหารมีความสามัคคีกันถือเป็นเรื่องดี แต่การใช้ความสามัคคีมาทำสิ่งชั่วร้ายแบบนี้ถือเป็นเรื่องทุเรศสิ้นดี กลับไปคิดทบทวนกับตัวเองให้ดี”

เย่เวิ่นเทียนเป็นผู้มากด้วยประสบการณ์ชีวิต ฉะนั้น เขาจึงรู้ว่าเหล่าทหารพวกนี้กำลังหน้ามืดตามัวหลงเชื่อคนผิด และช่วยเหลือเซี่ยเฉิงเย่รังแกผู้อื่นไปทั่วโดยเข้าใจว่าสิ่งที่ทำคือความถูกต้อง

เมื่อจบการเทศนา เย่เวิ่นเทียนหันมาหาเย่เฟิงและซูเหมิงหาน ชายชราพูดบางสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ “เจ้าหนู ตั้งแต่วันนี้ไป ชายแก่คนนี้จะคอยคุ้มกันแกเอง……”

เย่เฟิงและซูเหมิงหานพลันมึนงงไปชั่วครู่เมื่อได้ยินดังนั้น คุ้มกันงั้นหรอ?

“ในตอนนี้ เจ้าแก่หลินไม่จำเป็นต้องให้ฉันคอยคุ้มครองมันอีกแล้ว ช่วงนี้ฉันเลยว่างเป็นพิเศษ เพราะงั้นการคอยจับตาดูเจ้าเด็กหัวดื้อแบบแกไม่ให้วิ่งไปนู้นมานี่ถือเป็นเรื่องฆ่าเวลาไม่เลว”

จากนั้นชายชราจึงหันมามองซูเหมิงหานอย่างอ่อนโยนแล้วจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แค่เขาไม่อยู่ที่เมืองเหยียนจิงเพียงคืนเดียว เจ้าหนูก็จัดการกับแม่สาวน้อยคนนี้เสียแล้ว ถือว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ

ถ้าเป็นเด็กสาวคนนี้ต้องเป็นภรรยาที่ดีให้เย่เฟิงได้แน่

เมื่อใจของเย่เวิ่นเทียนจินตนาการไปถึงสิ่งต่างๆนาๆ ก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น
“คุ้มกันผู้เฒ่าหลินงั้นหรอ?”

เย่เฟิงถามย้ำ แสดงว่าคนที่คอยคุ้มกันหลินหงชวนอยู่ลับๆก็คือปู่ของเขางั้นหรอ? มิน่าเล่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

“ถูกต้อง ตอนนี้มันย้ายไปอยู่ในทีปลอดภัยตาเฒ่าถัง อยู่ดีกินดีไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีก เพราะงั้น ต่อจากนี้ไป ฉันจะคอยจับตาดูเพื่อรับประกันความปลอดภัยของแกเอง”

เย่เวิ่นเทียนยังคงกล่าวต่อไป ขณะเดียวกัน คิ้วของเขาก็เริ่มขมวด การที่เหล่านักเรียนมากมายจ้องมองมา ทำให้ชายชรารู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่

เย่เวิ่นเทียนได้พูดคุยรายละเอียดมากมายกับหลินหงชวนและถังเสวี่ยเฟิงเมื่อคืน ในที่สุดพวกเขาจึงตัดสินใจจะให้หลินหงชวนพักอยู่ที่เขตชวีหยางกับถังเสวี่ยเฟิง แล้วให้เย่เวิ่นเทียนคอยจับตาดูเย่เฟิงไว้

สำหรับหลินหงชวนแล้ว ถึงแม้ชายชราคนนั้นจะมีอิทธิพลมากมายในประเทศจีน แต่ก็ไม่มีเรื่องสำคัญอันใดที่เขาจำเป็นต้องลงไปจัดการด้วยตัวเองอีก ฉะนั้น ชายชราจึงสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขที่ใดก็ได้บนโลกใบนี้

“ปู่ เกี่ยวกับตระกูลถังน่ะ”

สีหน้าของเย่เฟิงพลันเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินดังนั้น “แม่ผมยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม? เธออยู่ที่ไหนตอนนี้?”

เมื่อเห็นการตอบสนองของเย่เฟิง เย่เวิ่นเทียนจึงกล่าวเบาๆ “แม่ของแกกลายเป็นคนความจำเสื่อม แต่เธอมีชีวิตที่ดีมากในตอนนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”

คำพูดของชายชราทำให้เย่เฟิงและซูเหมิงหานหันมามองหน้ากัน

ถังชิงหลิงความจำเสื่อมงั้นหรอ?”

ซูเหมิงหานประสานนิ้วมือของเย่เฟิงไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจชายหนุ่ม

“เอาละ พวกเธอเข้าห้องเรียนไปได้แล้ว ส่วนคนพวกนี้ ฉันจะจัดการเอง”

เย่เวิ่นเทียนโบกมือ จากนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่

“ไปกันเถอะ”

เย่เฟิงข่มความตื่นเต้นในใจ ก่อนจะจูงมือซูเหมิงหานเดินเข้าไปในห้อง แต่เมื่อเห็นกลุ่มนักเรียนยังคงจ้องมองมายังพวกเขา ชายหนุ่มจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง “มองอะไรอยู่ได้? พวกนายไม่เรียนหนังสือกันรึไง?”

เมื่อได้ยินเย่เฟิงตะโกนขึ้นมาแบบนั้น ทุกๆคนต่างพากันรูดซิบปากจนในห้องเรียนพลันกลายเป็นเงียบกริบไปในทันใด เงียบถึงขนาดได้ยินเสียงเข็มหล่น

คนที่สามารถกระทืบชายร่างกำยำมากมายอย่างง่ายดายแบบเย่เฟิง จะมีใครกล้ามีเรื่องกับเขากัน?

อีกอย่าง ดูเหมือนว่าชายชราที่ดูน่าเกรงขามคนนั้นจะเป็นปู่ของเย่เฟิงด้วย อีกไม่นานก็จะถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หากไปมีเรื่องกับหลานปู่คู่นี้เข้าล่ะก็ พวกเขาคงได้นอนเป็นผักอยู่โรงพยาบาลและพลาดการสอบเข้ามหาลัยครั้งนี้แน่ๆ

ในเวลานี้ เย่เวิ่นเทียนยังคงยืนเอามีไขว้หลังอย่างสุขุมอยู่หน้าประตูห้องเรียน

ในที่สุดเซี่ยหมินก็หายจากอาการตกใจและพบว่ามือถือไอโฟนของเธอถูกชายชราคนนั้นเหยียบจนแหลกละเอียด! นี่ทำให้เซี่ยหมินโมโหมาก แต่เมื่อเห็นเซี่ยเฉิงเย่ที่ยังคงทอดร่างอยู่บนพื้น มันทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ

“แกมันไร้ประโยชน์จริงๆ แค่นักเรียนม.ปลายคนหนึ่งก็ยังไม่มีปัญญาจัดการได้!”

เซี่ยหมินตวาดว่าขณะจ้องมองน้องชายของเธอ แต่ทันใดนั้น ใบหน้าของเซี่ยหมินก็พลันยิ้มแย้มขึ้นมาเมื่อเห็นบางสิ่งที่บันได กำลังเสริมของเธอมาถึงแล้ว!

“เกิดอะไรขึ้น?”

เซี่ยหมินเห็นกลุ่มตำรวจในชุดเครื่องแบบหลายคนวิ่งเข้ามา ซึ่งกลุ่มตำรวจเหล่านี้นำโดยโหมวจิ้นเฉียง! แต่เมื่อมาถึง โหมวจิ้นเฉียงก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ที่พวกตระกูลเซี่ยถูกทุบตีอย่างสาหัสขนาดนี้

ชัดเจนว่าตำรวจเหล่านี้ไม่ได้มีใครโทรเรียกมา แต่พวกเขาร่วมมือกับเซี่ยหมินเพื่อเตรียมตัวจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น จะเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่โหมวจิ้นเฉียงจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง

“นักเรียนที่ชื่อเย่เฟิงเป็นคนทำร้ายคนพวกนี้ และอีกอย่าง ไอ้แก่คนนี้ยังเหยียบมือถือฉันจนพังด้วย พวกมันต้องถูกจับดำเนินคดีอย่างรุนแรง!”

เซี่ยหมินชี้นิ้วไปยังเย่เวิ่นเทียนด้วยความโมโห และความหยิ่งยโส

โหมวจิ้นเฉียงมองตามที่เซี่ยหมินชี้ไปยังประตูห้อง แม้เดิมทีเขาตั้งใจจ้องมองเย่เฟิง แต่เมื่อเย่เวิ่นเทียนเดินเข้ามาบดบังสายตา โหมวจิ้นเฉียงก็ถึงกับผงะ

เป็นเขาไปได้ยังไง?

แผนทั้งหมดที่วางไว้ต้องพังทลายเพราะชายชราคนนี้ไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้!

โหมวจิ้นเฉียงพลันรู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูกสั่นหลังเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เวิ่นเทียน

ทุกคนต่างรู้สึกมึนงง เมื่อเห็นโหมวจิ้นเฉียงเบิกตากว้างยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง โดยเฉพาะเหล่าตำรวจที่วิ่งตามหลังมา พวกเขาต่างไม่กล้าลงมือทำอะไร ซึ่งรวมทั้งเหล่าคณะครูใหญ่ที่เพิ่งมาถึงที่นี่เช่นกัน โหมวจิ้นเฉียงนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง หากคนระดับนี้ยังไม่กล้าลงมือทำอะไร แล้วพวกเขาจะกล้าลงมือได้อย่างไร?

“มองอะไร? หลานชายกับหลายสะใภ้ฉันกำลังเรียนอยู่ อย่ารบกวนพวกเขา”

เย่เวิ่นเทียนพูดต่อไป “แล้วถ้าการสอบเข้ามหาลัยของพวกเขาต้องเลื่อนออกไป แกจะรับผิดชอบไหวไหม?”

โหมวจิ้นเฉียงพลันเหงื่อแตกทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น

เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาเจอชายชราที่นี่ ไม่ใช่ว่าเย่เวิ่นเทียนคนนี้ทำหน้าที่คุ้มกันผู้เฒ่าหลินหรือไง? แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“ผู้กำกับโหมว มันก็แค่คนแก่คนหนึ่ง คุณจะกลัวอะไร? รีบจับกุมผู้ร้ายสิ!”

เซี่ยหมินไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แม้แต่น้อย จึงตะโกนออกไป ขณะที่แก้มของเธอยังบวมแดงอยู่ทั้งสองข้าง ซึ่งดูแล้วน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง

“คุณหุบปากไปเลย”

โหมวจิ้นเฉียงตวาดใส่เซี่ยหมินขณะคิดในใจว่าเหตุการณ์ตอนนี้เข้าขั้นเลวร้ายแล้ว ยัยผู้หญิงคนนี้ยังมีหน้ามาเติมเชื้อไฟให้แรงขึ้นอีก มันไม่มีสมองบ้างหรือไง?

“ผู้กำกับโหมว นี่มัน…..”

เมื่อครูใหญ่ของโรงเรียนรูปร่างลงพุงมาถึงที่นี่และเห็นชายชรากำลังยืนขว้างทางเข้าห้องเรียน เขาก็พลันเหงื่อแตกพร้อมกับคิดในใจ แม้แต่ผู้กำกับโหมวที่มีตำแหน่งสูงยังไม่กล้าแตะต้องคนๆนี้? ตัวตนของชายชราคนนี้เป็นใครกันแน่?

เหล่าตำรวจในตอนนี้ต่างมีสีหน้าอึดอัดใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

“ทุกคนหลีกทางด้วย”

ทันใดนั้น มีเสียงออกคำสั่งดังมาจากทางลงบันได ไม่นานนัก กลุ่มคนอาวุธครบมือนับสิบก็เดินเข้ามา ซึ่งนำโดยชายอายุราวๆ 35-36 ปี ท่าทางมั่นคงเด็ดเดี่ยว

“ตอนนี้ หน่วย NSA จะจัดการเรื่องนี้เอง คนที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปให้หมด”

ชายคนนั้นล้วงบัตรประจำตัวออกมา ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบต่างพากันจ้องมองตาไม่กระพริบ

หน่วย NSA มาถึงแล้ว!

และชายคนนั้นก็คือธันเดอร์ ซึ่งเป้าหมายของเขา ชัดเจนว่าคือเย่เฟิงรวมทั้งเย่เวิ่นเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้คนต่างเพ่งความสนใจไปยังเย่เวิ่นเทียนที่ยังคงยืนขวางประตูทางเข้าทันที พวกเขาต่างคิดในใจว่าชายชราคนนี้จะยังยืนขวางทางเข้าไปได้อีกนานแค่ไหน? หน่วย NSA ต้องไม่ยอมง่ายๆแน่!

……………………….

แปลโดย Solar Spark