บทที่ 138 ถังชิงหลิงแห่งตระกูลถัง

เมื่อเย่เฟิงก้าวลงบันไดมายังชั้นล่างของบ้าน เขาล้วงเอาไหวิญญาณออกมาก่อนจะใช้ทักษะชุมนุมวิญญาณ ทักษะนี้สามารถใช้เรียกวิญญาณคนตายออกมาได้ โดยไม่นานนัก ดวงวิญญาณของไห่ถังและขวานวายุก็ปรากฏออกมา

ชายหนุ่มต้องการสอบถามอะไรบ้างอย่างจากพวกมัน หลังจากนั้นเขาจะได้กลับไปนอนอย่างสงบสุขบนเตียงเสียที

ในไม่ช้า ดวงวิญญาณสองดวงค่อยๆปรากฏขึ้นมาในห้องโถงของบ้านหลังนี้

“ฉันมีเรื่องสงสัยหลายอย่าง เพราะงั้นพวกแกจงตอบมาตามตรง”

ขณะมองจ้องมองดวงวิญญาณโปร่งใสสองดวงที่ลอยอยู่บนอากาศ เย่เฟิงเอ่ยขึ้นเบาๆ “พวกแกรู้เรื่องตระกูลหลงมากแค่ไหน?”

เมื่อได้ยินดังนั้น ไห่ถังเอ่ยขึ้นทันที “ฉันบอก ฉันจะบอก ตามที่ฉันรู้ ตระกูลหลงถือว่าเป็น 1 ใน 3 กองกำลังใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่ใช่ครอบครองแค่‘ถ้ำหวังวู’ พวกนั้นยังครอบครอง ‘ถ้ำหลัวฝู’ ด้วยเหมือนกัน……”

เมื่อพูดออกไปดังนั้น ใบหน้าของไห่ถังก็พลันเปลี่ยนเป็นตื่นกลัว เธอรู้ดีว่าถ้ำหลัวฝูเดิมทีเป็นอาณาเขตของตระกูลเย่ แต่ตอนนี้ถูกยึดครองโดยตระกูลหลง เธอจึงหวาดกลัวว่าเย่เฟิงจะโมโหเมื่อได้ยินดังนั้น

“ว่าต่อไป”

เย่เฟิงพยักหน้าและให้หญิงสาวพูดต่อไป เรื่องราวในอดีตนั้น ชายหนุ่มไม่รู้อะไรมากเท่าไหร่และไม่สนใจทีจะรู้ด้วย

“อ…อืม”

ไห่ถังไม่กล้ารอช้า แม้ว่าใบหน้าทรงเสน่ห์จะแสดงความตื่นกลัวออกมาอย่างปิดไม่มิด เธอก็พูดต่อไปอย่างหนักแน่น “ตามที่ฉันรู้มา บรรพบุรุษตระกูลหลงบรรลุระดับวรยุทธ์เกินกว่า 100 ปีแล้ว และเป็นที่รู้กันว่ามีมากกว่า 10 คนในตระกูลหลงที่ระดับวรยุทธ์สูงกว่า 50 ปี นอกจากนี้ หลงโม่หรันผู้นำตระกูลหลงคนปัจจุบันมีอายุเพียง 40 ปี แต่กลับมีระดับวรยุทธ์มากกว่า 50 ปีแล้ว เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ ซ้ำยังบรรลุถึงเพลงกระบี่พร่ำเพ้อขั้นที่สาม…..”

เพลงกระบี่ขั้นที่สาม?

เย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็นิ่วหน้า ถ้าเป็นตามนั้นจริง หลงโม่หรันคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ควรตอแยด้วย อีกอย่าง ถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ในอีก 20 ถึง 30 ปี ข้างหน้า ชายคนนั้นต้องกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกยุทธภพแน่

แม้แต่เย่เวิ่นเทียนที่มีฝีมือเก่งกาจ ยังบรรลุทักษะกรงเล็บมังกรถึงแค่ขั้นที่สองเท่านั้น

“แล้วอีกสองกองกำลังที่เหลือคือ?”

เย่เฟิงถามต่อไป

“พวกนั้นคือตระกูลถัง กับ วังไท่จี๋”

ไห่ถังตอบออกไปอย่างสุภาพ

“โอ้ วังกระบี่สวรรค์ของเธอไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นงั้นรึ?”

เย่เฟิงถามด้วยความสงสัย

“หึ”

ขวานวายุที่อยู่ใกล้อดไม่ได้ที่จะเค้นเสียงขึ้นมา “วังกระบี่สวรรค์ ถึงแม้จะครอบครองถ้ำ 1 ใน 10 แห่ง แต่หากต้องเทียบกับสามกองกำลังใหญ่ ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกมดปลวก”

คำพูดนี้ทำให้ไห่ถังรู้สึกโมโห หญิงสาวพูดถากถางกลับไป “แต่ก็ยังดีกว่าพวกเร่ร่อนแบบแกก็แล้วกัน!”

“ไม่ต้องพร่ามมาก แกเรียกวังกระบี่สวรรค์ให้มาช่วยแกตอนนี้ได้มั้ยล่ะ?”

ขวานวายุพูดเย้ยยัน

“แก!”

ไห่ถังกำมือแน่นด้วยความเดือดดาลแล้วจึงต่อยเข้าใส่ขวานวายุ แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้พวกเขาเป็นเพียงแค่ดวงวิญญาณโปร่งแสงที่ไม่อาจสัมผัสกันได้

“หุบปากได้แล้ว!”

เย่เฟิงตะโกนเสียงดังก้อง ทำให้ทั้งคู่เงียบลงในทันที

ในตอนนี้ชายหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ในโลกยุทธภพชัดเจน เหตุผลที่เขาเก็บดวงวิญญาณสองคนนี้ไว้ก็เพื่อใช้ยืนยันว่าจะไม่มีฝ่ายใดที่พูดโกหก แต่ไม่ใช่ให้พวกมันมาทะเลาะกันเอง

“ไห่ถัง เธอพูดก่อน ถ้ามีตรงไหนไม่ถูกต้องก็ค่อยให้ขวานวายุพูดเสริม แต่ในตอนสุดท้าย ฉันจะเก็บดวงวิญญาณไว้แค่ดวงเดียว ส่วนจะเก็บดวงไหนไว้ นั่นก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของพวกแกเอง”

เย่เฟิงโบกมือให้ไห่ถังพูดต่อไป

เมื่อได้ยินดังนั้น ไห่ถังก็ตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว และรีบเล่าต่อไปเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลถัง วังไทจี๋ ตระกูลหลง และเรื่องอื่นๆในยุทธภพ

เย่เฟิงฟังสิ่งที่ไห่ถังเล่าอย่างตั้งใจ พร้อมกับจดจำข้อมูลสำคัญไว้ ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขามากในอนาคต

“บางที พี่เย่อาจมีบางอย่างที่คุณยังไม่รู้

“เมื่อไห่ถังพูดจบ ขวานวายุก็หันไปมองหญิงสาว ก่อนจะพูดขึ้นมาเสียงดัง “ตระกูลถังคือตระกูลของแม่คุณ แต่นังผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้ไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ออกมา”

“หืม?”

เย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็จ้องมองด้วยความฉงน

แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่งั้นหรอ? แล้วจริงหรอที่คนตระกูลถังถือว่าเป็นกองกำลังใหญ่ 1 ใน 3 ของโลกยุทธภพ?”

“ไร้สาระ ในวันนั้นที่ตระกูลถังไม่อาจทนต่อการเสื่อมเสียเกียรติได้ พวกเขาก็ขับไล่ถังชิงหลิงออกจากตระกูลไปนานแล้ว……”

ไห่ถังโต้แย้งออกมาทันทีด้วยอารมณ์โมโห แต่เมื่อพูดไปได้ครึ่งทาง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเย่เฟิงยังอยู่ที่นี่ หญิงสาวหวาดกลัวจนตัวสั่นและมองชายหนุ่มด้วยความตื่นตระหนก

“แม่ฉันถูกขับไล่ออกจากตระกูลถัง? ทำไมถึงไม่พูดออกมาก่อนหน้านี้?”

เย่เฟิงขมวดคิ้วด้วยความโมโห แต่อย่างน้อยตอนนี้ชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าแม่ของเขามีชื่อว่าถังชิงหลิง อย่างไรก็ตาม เธอได้แต่งงานกับเย่หยุนเฟย ชายหนุ่มเสเพลพ่อของเขา จนทำให้ตระกูลถังต้องได้รับความอับอายอย่างใหญ่หลวง

อย่างไรก็ตาม การที่ถังชิงหลิงถูกไล่ออกจากตระกูล ไม่ใช่หมายความว่าตระกูลถังเป็นตระกูลที่อ่อนแกงั้นหรือ? หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในตระกูลทรงอิทธิพลในโลกเทวะแล้วล่ะก็ แทนที่จากไล่แม่ของเขาออกจากตระกูล คนพวกนั้นสมควรเอาเรื่องกับตระกูลหลงเสียมากกว่า แต่แน่นอน มันมีความแตกต่างอันใหญ่หลวงระหว่างโลกเทวะกับโลกยุทธภพในโลกใบนี้ บางที มันอาจไม่ได้หมายความว่าตระกูลถังเกรงกลัวตระกูลหลงก็ได้……..

“ฉ…ฉันกลัวว่าพี่เย่จะโมโห”

ไห่ถังรีบยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความหวาดกลัว

“แม่ฉันอยู่ที่ไหนตอนนี้?”

เย่เฟิงถาม

“เรื่องนี้…….ฉันไม่รู้จริงๆ………”

หญิงสาวตอบออกมาอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าเย่เฟิงจะโมโหขึ้นมาอีก

“อีกหนึ่งคำถาม เมื่อ 10 ปีก่อน มือกระบี่ที่ปรากฏตัวขึ้นมาในเมืองเหยียนจิง แล้วทำการสังหารหมู่ผู้คนไปมากมายในคืนเดียว เธอรู้ไหมว่ามันเป็นใคร?”

เย่เฟิงถามออกไป เพราะเขาอยากรู้ว่าศัตรูของหน้าบากเป็นใครกันแน่

(มือกระบี่ที่ฝากรอยแผลไว้บนหน้าของชายหน้าบาก)

“คนๆนั้นคือ……น้องชายของอาจารย์ฉัน เขาชื่อว่า ‘ซื่อถูฉางเตา’ แต่เมื่อถูกออกหมายจับ เขาก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย……”

ถึงแม้ไห่ถังจะตอบออกมาอย่างลังเล แต่หญิงสาวก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ เย่เฟิงจะตามล่าตัว ซื่อถูฉางเตางั้นหรือ?

“เข้าใจล่ะ”

เย่เฟิงพยักหน้า ก่อนจะโบกมือเพื่อกำจัดวิญญาณของหญิงสาวอย่างไม่แยแส!

ทันทีที่ไห่ถังเห็นดังนั้น สีหน้าก็พลันตื่นตกใจ เธอไม่แม้แต่จะทันได้ร้องตะโกนออกมา ดวงวิญญาณโปร่งแสงก็กลายเป็นกลุ่มควันสีน้ำเงิน และจางหายไปอย่างสมบูรณ์!

หากเย่เฟิงไม่ได้ตำราวิถีอสุรามาก่อนหน้านี้ เขาก็คงเก็บดวงวิญญาณของหญิงสาวไปอีกพักหนึ่ง เพื่อไว้เค้นถามเรื่องแกนวรยุทธ์ของวังกระบี่สวรรค์ รวมทั้งทักษะวรยุทธ์ต่างๆ แต่มันไม่จำเป็นอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขาได้ตำราวิถีอสุราอันยอดเยี่ยมมาไว้ในมือ แกนวรยุทธ์ของวังกระบี่สวรรค์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

นอกจากนี้วังกระบี่สวรรค์ยังเป็นสำนักวิปลาส ที่หากใครได้รับแกนวรยุทธ์จากสำนักนี้ ชัดเจนว่าคนๆนั้นคงกลายเป็นพวกวิปริตไปตลอดกาล

หลังจากนั้น เย่เฟิงหันมาหาขวานวายุ แล้วทำการกำจัดดวงวิญญาณของมันเช่นกัน

ขวานวายุพลันเกรี้ยวกราด และร้องตะโกนออกมา “ไอ้บัดซบ! แกไม่รักษาสัญญา….”

โดยพูดออกมาไม่ทันจบ ดวงวิญญาณของขวานวายุก็แตกกระจายกลายเป็นกลุ่มควันและจางหายไป

เย่เฟิงเค้นเสียงเบาๆ รักษาสัญญางั้นหรอ? กับพวกคนชั่วร้ายอย่างไห่ถังและขวานวายุ เขาจำเป็นต้องรักษาสัญญาณด้วยงั้นหรือ? ชายหนุ่มตั้งใจกำจัดพวกมันไปก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต แต่ก่อนหน้านั้น เขาก็ควรล้วงข้อมูลจากทั้งคู่เสียก่อน…….

หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ เย่เฟิงหันความสนใจไปยังบาดแผลของเขา ชายหนุ่มปลดปล่อยทักษะแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา และไม่นาน แสงสีทองก็ปรากฏขึ้นมาในมือ

ผลของกระสุนผนึกวรยุทธ์ ในที่สุดก็จางหายไปหมดแล้ว!

ตามที่ตั้งใจเอาไว้ อย่างแรก เย่เฟิงใช้ไหวิญญาณเรียกดวงวิญญาณของทั้งสองออกมาล้วงถามข้อมูล หลังจากนั้น เขาจึงค่อยใช้แสงศักดิ์สิทธิ์รักษาบาดแผลที่หลัง และอย่างสุดท้าย ก็จะได้อาบน้ำด้วยความผ่อนคลายเสียที

หลังจากอาบน้ำเสร็จ เย่เฟิงล้วงหินวิญญาณออกมาจากที่ซ่อน ซึ่งหินก้อนนี้เขาได้มันมาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่เขาฉางไป่ ในตอนนี้ ถึงเวลาที่ซูเหมิงหานจะได้ดูดซับมันเสียที

ด้วยหินวิญญาณก้อนนี้ เด็กสาวน่าจะเพิ่มวรยุทธ์ได้ถึงระดับ 3 ปีในทีเดียว

เย่เฟิงได้ตรวจเส้นลมปราณของซูเหมิงหานก่อนหน้านี้แล้ว และพบว่ามันยังไม่ได้รับการขยายออก แต่นั่นก็ยังเพียงพอสำหรับรองรับวรยุทธ์ระดับ 3 ปี

ขณะกำหินวิญญาณไว้ในมือ เย่เฟิงรีบเดินขึ้นบันไดไปหาซูเหมิงหานที่รอเขาอยู่ทันที

……………………..

แปลโดย:Solar Spark