บทที่ 139 หัวขโมยยามค่ำคืน

เมื่อเย่เฟิงขึ้นบันไดไปยังชั้นสองและเปิดประตูห้องนอน เขาพบว่าซูเหมิงหานยังคงตื่นอยู่

“สาวน้อย มาดูดซับหินวิญญาณนี่ก่อนแล้วค่อยนอนนะ”

เย่เฟิงเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาในห้องโดยกำหินวิญญาณอยู่ไว้มือ เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขารู้แล้วว่าสาวน้อยคนนี้ยังไม่มีความสามารถพอจะปกป้องตัวเอง และด้วยเหตุนั้นเองจึงทำให้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลตลอดทั้งวัน เย่เฟิงอยากให้เด็กสาวเพิ่มระดับวรยุทธ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

หากซูเหมิงหานมีวรยุทธ์ระดับ 3 ปี เธอจะสามารถเรียนรู้ทักษะย่างก้าวไร้เงาได้ไม่ยาก เมื่อใดที่เด็กสาวต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เธอก็สามารถหลบนี้ไปจากสถานการณ์นั้นได้ด้วยทักษะชนิดนี้

“เอ๋?”

เมื่อซูเหมิงหานได้ยินเสียงก็รับรู้ทันทีว่าเย่เฟิงได้เดินเข้ามาในห้องแล้ว นี่ทำให้เธอรู้สึกร้อนใจมากขึ้น เด็กสาวห่อร่างไว้ในผ้าห่มโดยมีเพียงใบหน้าอันหมดจดโผล่ออกมา ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่เย่เฟิงด้วยความแปลกใจ

“เอ้า นี่”

เย่เฟิงโยนหินวิญญาณไปให้เด็กสาวและตั้งใจจะเดินออกจากห้องไป แต่เมื่อมาคิดดูอีกที สาวน้อยคนนี้จะสามารถดูดซับพลังวิญญาณด้วยตัวเองได้หรือ?

เป็นไปตามคาด ซูเหมิงหานยืนมือออกมากำหินวิญญาณไว้แน่นขณะที่สายตายังคงจ้องมองหินชิ้นเล็กในมือด้วยความงุงงง ถึงแม้เย่เฟิงจะบอกให้เธอดูดซับพลังวิญญาณจากหินก้อนนี้ก็เถอะ แล้วมันต้องทำยังไงล่ะ?

ให้กินเข้าไปเลยหรอ?

เมื่อเห็นเด็กสาวเอียงคอด้วยความงุนงงอย่างน่ารัก เย่เฟิงก็อดจะยิ้มไม่ได้ เขาเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “มานี่ ถือไว้นะ”

เย่เฟิงนั่งลงบนผ้าห่ม และจัดท่าทางของซูเหมิงหานให้เป็นไปตามขั้นตอน ชายหนุ่มเริ่มทำการกระตุ้นเส้นลมปราณในร่างเด็กสาวให้โคจรอย่างรวดเร็วตามแนวทางวิถีสุสารดารา

ทันใดนั้น ซูเหมิงหานก็ถูกเย่เฟิงรวบตัวเข้ามากอดไว้ในอก เด็กสาวรู้สึกขวยเขินจนใบหน้าขึ้นสี จิตใจของเธอยังเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

“ขั้นแรก รีบดูดซับแล้วโคจรเจินชี่ในร่างตามแนวทางวิถีสุสารดารา”

เมื่อเย่เฟิงเห็นท่าทีขวยเขินของเด็กสาวก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย เขากระตุ้นเตือนเธออีกครั้งหนึ่ง

ซูเหมิงหานไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยาก เธอรีบทำตามที่เย่เฟิงบอกทันทีและพบว่า แกนวรยุทธ์ในร่างถูกกระตุ้นให้โคจรไปตามขั้นตอน เด็กสาวค่อยเริ่มดูดซับพลังวิญญาณในหินวิญญาณเข้าสู่ร่าง ขณะเดียวกันก็โคจรลมปราณตามที่เย่เฟิงได้สอนไว้ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดพลังในแกนวรยุทธ์ของเธอก็กลายเป็นเจินชี่ในที่สุด!

(ก่อนหน้านี้ที่ผมใช้คำว่าเมล็ดพันธุ์ ขอเปลี่ยนเป็นแกนวรยุทธ์นะครับ)

แต่ในระหว่างขั้นตอนการดูดซับนั้นเอง แก้มของเด็กสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงและรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ การเพิ่มระดับวรยุทธ์อันรวดเร็วนั้นทำให้ซูเหมิงหานร้อนรุ่มไปทั้งตัว

“ตั้งใจอีกนิดนะ”

เย่เฟิงเอ่ยขึ้นมา แต่ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

ชายหนุ่มก้มหน้าลงมอง และสิ่งที่เขามองเห็นก็คือขอบเสื้อในที่โผล่ออกมาจากชุดนอนตัวหลวม นอกจากนี้ยังมีภูเขาสูงชั้นอันขาวเนียนสองลูกจนเห็นเป็นร่องลึกอันน่าดึงดูดอยู่ตรงกลาง ภาพนี้ช่างเย้ายวนจิตใจของชายหนุ่มเหลือเกิน

กลิ่นหอมอ่อนๆของเด็กสาวยังปลุกเร้าความเอาแต่ใจในตัวเขาจนแทบจะควบคุมตัวเองต่อไปไม่ไหว

“ดูเหมือนว่า มันจะหมดพลังแล้วนะ”

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ซูเหมิงหานก็ส่งเสียงกระซิบเบาๆ เด็กสาวพบว่าหินวิญญาณสีเขียวเข้มในมือ สูญเสียความมันวาวไปจนหมดสิ้น กลายเป็นเพียงก้อนหินธรรมดา

อย่างไรก็ตามตอนนี้ ซูเหมิงหานรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างอย่างชัดเจน ในเมื่อมีเจินชี่อยู่ในเส้นลมปราณแล้ว นั่นหมายความว่าหากต้องตกอยู่ในอันตราย เธอก็สามารถจะหนีไปได้อย่างรวดเร็วแล้วสินะ?

“มันหมดพลังแล้ว โยนทิ้งไปเถอะ”

เย่เฟิงเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แยแส ชายหนุ่มหันมาผลักตัวเด็กสาวลงบนเตียงนอน ก่อนจะปืนป่ายขึ้นไปกดทับร่างของเธอเอาไว้

“อ้า! นายจะทำอะไร?”

เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเย่เฟิง ซูเหมิงหานก็รู้สึกตกใจ เธอร้องอุทานออกมาเมื่อถูกมือทั้งสองข้างของโจรร้ายพยายามจะล้วงเข้าไปในเสื้อ

“ฉันกลัวว่าคืนนี้เธอจะเป็นอันตราย เพราะงั้นมานอนด้วยกันเถอะ”

เย่เฟิงเอ่ยออกมาอย่างขึงขัง

“อันตรายอะไรล่ะยะ อันตรายที่สุดก็คือนายนั้นแหละ คนบ้า คนลามก…..”
เสียงของเด็กสาวแผ่วเบาเหมือนยุงตัวน้อย เรือนผมสีดำยาวอันเงางามที่เคยพาดอยู่บนหัวไหล่ก่อนหน้านี้ กระจายไปทั่วหมอนหนุนสีชมพู ใบหน้าสีแดงระเรือทำให้เด็กสาวดูหวานใสและบริสุทธิ์

ก่อนหน้านี้ที่เย่เฟิงกำลังอาบน้ำ ในตอนนั้นซูเหมิงหานรู้สึกกระวนกระวายในใจอย่างมากขณะคิดอยู่นานว่าเย่เฟิงจะทำอย่างไรกับเธอที่ทำตัวไม่เชื่อฟังเขาในวันนี้จนต้องตกอยู่ในอันตราย แล้วเธอควรทำอย่างไรดี? เธอควรจะขัดขืนดีไหม?

ซูเหมิงหานครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน จนในที่สุดก็เลิกคิดและสรุปว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เด็กสาวให้เหตุผลกับตัวเองสองข้อคือหนึ่ง ต่อให้เธอต้องการขัดขืน เธอจะทำได้งั้นหรอ? ข้อสอง เย่เฟิงได้เปิดเผยความลับสำคัญที่สุดของเขาแก่เธอ คือเรื่องการฝึกวรยุทธ์วิถีเซียน นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อมั่นในตัวเธอสุดหัวใจ

ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว ถ้ามันต้องใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกนิด ก็คงไม่เป็นไร…….

เวลานี้ ดวงตากลมโตของซูเหมิงหานปิดแน่น แม้ขนตาเรียวยาวยังคงสั่นไหว เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆเพื่อเปิดเผยต้นคออันขาวเนียนดั่งหิมะอันงดงาม เย้ายวนเย่เฟิงให้เข้ามาจุมพิตจุดนี้เป็นที่แรก

ในตอนนี้ หัวใจของเด็กสาวเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ดูจะมากขึ้นเรื่อยๆ เธอรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิปลายนิ้วชายหนุ่มที่ยื่นมาสัมผัสบนร่าง ความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่ส่งผ่านไปทั่วทุกส่วน ทำให้มือคู่เล็กของเด็กสาวกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น

เรือนร่างของทั้งคู่แนบชิดติดกันแน่นราวกับจะผสานกันเป็นหนึ่งเดียว พร้อมกับอุณหภูมิภายในผ้าห่มที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นซูเหมิงหานไร้ซึ่งการต่อต้านใดๆ เย่เฟิงก็เริ่มได้ใจและรุกล้ำเข้าไปเรื่อยๆ ในเมื่อไม่ช้าก็เร็ว สาวน้อยคนนี้ต้องกลายเป็นผู้หญิงของเขาอยู่แล้ว แบบนี้จะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?

หลังจากที่เขาเกิดใหม่ในมหานครแห่งนี้ คนๆแรกที่เขาได้พบก็คือซูเหมิงหาน และคนๆแรกที่เขาสอนวรยุทธ์วิถีเซียนแบบเดียวกันให้ก็คือเด็กสาวคนนี้เช่นกัน ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างทั้งสองจึงเหมือนถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว……

ไม่นานนัก ชุดนอนของชายหนุ่มและเด็กสาวก็ถูกโยนไว้ข้างโซฟา ขณะที่ร่างอันเปลือยเปล่าของทั้งคู่ ต่างโอบกอดซึ่งกันและกันอยู่บนเตียงนอน

เมื่อเย่เฟิงก้มหน้าลง เขามองเห็นใบหน้าอันแดงก่ำของเด็กสาว พร้อมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอียงอาย สิ่งเหล่านี้กระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าของชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเขาจับลงบนความมหัศจรรย์อันนุ่มนวลและยืดหยุ่นคู่หนึ่งที่ปราศจากสิ่งใดมาขวางกั้น ส่งผ่านความรู้สึกที่นุ่มละมุนจนเกินจะพรรณนา

“อ้า…..”

เด็กสาวส่งเสียงครวญครางอันแผ่วเบาออกมาอย่างเผลอตัว ต้นขาของเธอหนีบรัดแน่นราวกับไม่ยอมปล่อยให้ช่วงล่างของชายหนุ่มสามารถรุกล้ำเข้ามาได้ง่ายๆ

แต่แน่นอนว่าความพยายามเหล่านั่นสูญเปล่า

เย่เฟิงจ้องมองลงไปในดวงตาคู่งาม ก่อนจะมอบจุมพิตอันแสนวิเศษที่ทำให้เด็กสาว ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์

เพียงลองจินตนาการถึงบรรยาการในห้องนอนสีชมพูเมื่อสองดวงวิญญาณเริ่มบรรเลงเพลงรัก พร้อมกับความต้องที่ก่อตัวขึ้นมาจากเสียงครวญครางอย่างเป็นจังหวะ ดำดิ่งสู่ห้วงมหาสมุทรแห่งความปรารถนา ผสานดวงวิญญาณของชายหญิงให้กลายเป็นหนึ่งเดียว

ภายใต้ความเร้าร้อนของเย่เฟิง ซูเหมิงหานรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและยอมจำนนต่อความปรารถนาที่มีอยู่ในจิตใจ เด็กสาวเม้มริมฝีปากขณะที่มือข้างหนึ่งกำไหล่ของชายหนุ่มไว้แน่น และใช้อีกข้างหนึ่งกำผ้าปูเตียงไว้ ขาเรียวยาวทั้งสองข้างยังคงบีบเข้าหากันแน่นไปพร้อมๆกับการตอบรับความรู้สึกอันแสนวิเศษที่จู่โจมเข้ามาในส่วนล่างอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกนี้ส่งผ่านไปทั่วร่างและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด ความเจ็บปวดในตอนเริ่มต้นมีอยู่เพียงชั่วครู่ จากนั้นจึงถูกแทนที่ด้วยความสุขสมที่เข้ามาเติมเต็ม……..

ด้วยความไร้เดียงสาของเด็กสาว ซูเหมิงหานพยายามยับยั้งตัณหาและความต้องการที่มีอยู่ภายจิตใจด้วยการเปล่งเสียงคราญครางอันแผ่วเบาออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ไม่อาจหยุดยั้งเปลวไฟแห่งความปรารถนาดวงนี้ได้เลย

หากหลงหวางเอ๋อเปรียบดังแม่เสือสาว ซูเหมิงหานก็เหมือนดังลูกแกะตัวน้อยอันแสนเชื่อง พวกเธอทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรตอนนี้ สาวน้อยคนนี้คือผู้หญิงของเขา และเย่เฟิงต้องการจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแก่เธอคนนี้

เสียงครวญครางและเสียงหายใจอย่างเป็นจังหวะของทั้งคู่ เปลี่ยนบรรยากาศในห้องให้เร้าร้อนไปทั่วทุกอณู

หลังจากบทบรรเลงรักของทั้งคู่จบลง เด็กสาวก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ผมของเธอที่สยายลงกับหมอน แลดูแล้วราวกับน้ำตกแห่งความงดงาม ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์

“นอนเถอะ”

เย่เฟิงโอบร่างบางเข้ามาใกล้ ก่อนจะจุมพิตเบาๆที่หน้าผากของเด็กสาวอย่างนุ่มนวล

“อื้อ”

ซูเหมิงหานถูร่างบางเข้ากับอกแกร่งเบาๆ แล้วจึงทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของชายหนุ่ม

ภายในห้องอันเงียบสงบ เหล่าแมลงส่งเสียงเข้ามาทางหน้าต่างเป็นครั้งคราว ชายหนุ่มและเด็กสาวต่างมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้อีกฝ่ายหมดทั้งตัวและหัวใจ

ในวันนี้ เย่เฟิงและซูเหมิงหานได้สร้างความสัมพันธ์ที่เป็นรากฐานของความรักระหว่างทั้งสอง

นอกจากนี้ ซูเหมิงหานยังเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์เช่นเดียวกันกับเย่เฟิง เธอไม่ใช่แค่สามารถฝึกทักษะแห่งเซียนได้ แต่ยังโคจรเจินชี่ในร่างได้ตามที่ใจปรารถนา ความสามารถของเด็กสาวยังสูงยิ่งกว่า หากเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน

และในเมื่อเธอคนนี้คือผู้หญิงของเขา เย่เฟิงจึงตั้งใจจะนำพาซูเหมิงหานไปสู่เส้นทางแห่งเซียนเช่นเดียวกัน

ที่ปลายทางของชีวิต ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซูเหมิงหานคือคนที่จะร่วมเดินทางกับเขาไปจนสุดปลายทาง เด็กสาวคือหนึ่งในคนกลุ่มนั้น กลุ่มที่มีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของเขา

แต่ทันใดนั้น เย่เฟิงก็พลันนึกถึงอาจารย์ของเขา ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่าอาจารย์จะอยู่ที่แห่งหนใดในเวลานี้

สำหรับอาจารย์ที่เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตที่แล้ว ซูเหมิงหานก็เป็นคนสำคัญในชีวิตนี้ของเขาเช่นเดียวกัน กับเย่เฟิงในตอนนี้ เด็กสาวเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะหาอะไรมาทดแทนได้ และไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในอนาคต ชายหนุ่มจะฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นไปพร้อมกับเธอคนนี้ให้ได้

ภายใต้แสงจันทร์อันเงียบสงบ นกคู่รักสองตัวโบยบินอยู่ในบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ขณะที่โอบกอดร่างบางเอาไว้ในอก เย่เฟิงกำลังจะผลอยหลับแต่ทันใดนั้น ทักษะสัมผัสวิญญาณก็ตรวจพบชายท่าทางลับๆล่อๆคนหนึ่ง กำลังพยายามจะปืนท่อน้ำข้ามกำแพงเข้ามาขโมยของ!

‘ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10 ปี? เจ้าโจรนี่ต้องการเข้ามาขโมยของงั้นรึ?’

ในยุคสมัยนี้ การลักขโมยเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอะไร แต่ในกรณีนี้ มันกลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับวรยุทธ์ถึง 10 ปี! ช่างเป็นอะไรที่หาได้ยากจริงๆ

…………………….

แปลโดย:Solar Spark, Eins(แปลหลังๆที่ไม่ได้เป็นตอน…)

Solar Spark: ตอนนี้ตั้งใจแปลเป็นพิเศษเลย ไม่รู้ทำไม

Tan Tan:โอ้ท่านหัวหน้าพรรคท่านไปหาUnsensorมาจากไหนลืดพุ่งเลย//โจรแน่รึพีเย่เอยเมิงไม่หน้าดูผิดเลยสุดม้ายก็ปิดหางไม่มิดสินะ!!

EINS : ข้านับถือในตัวท่านยิ่งนัก 55555 ถ้าสำนักเราไม่บินไปเพราะตอนนี้ซะก่อน /โอ้ปากเสียนักศิษย์พี่หัวหน้าพรรคจะโด่งดังถึงขั้นบินได้ซะอย่างงั้นรึ!!@Tan Tan