บทที่ 136: เอลคาเดียน (1)

 

 

 

เอนบิ อารินกอดอกหลังจากที่เห็นคนที่อยู่ห่างออกไป

ในเมื่อเธอรู้ว่าพวกอคาดัสมีพลังแบบไหน

และมันไม่ใช่ทารูโฮลในอดีต

‘… เขากลับมาแบบสัตว์ประหลาด เขาไปเก็บบ้าอะไรที่ข้างนอกนั่นมากัน?’

ในขณะที่เอนบิ อารินรู้สึกสงสัย อีกสี่เสาของอคารอนกลับแสดงสีหน้ากระวนกระวายใจออกมา

ในเมื่อเขารู้ถึงสาเหตุของพลังนั่น

‘ดาบแก่นแท้มังกร… ทารูโฮลมีดาบแก่นแท้มังกรได้ยังไง?’

ผู้คนทำได้เพียงรู้สึกเคร่งเครียด

ทว่าไม่เหมือนกับความเคร่งเครียดของผู้คนรอบๆ บทสนทนาของทั้งสองกลับเป้นไปอย่างค่อนข้างสงบสุข

 

 

 

ฮันซูและเอลคาเดียนจับมือกันในการสื่อสารกัน

ด้วยภาษาพิเศษของเผ่าพันธุ์อคารอนที่ใช้การส่งต่อข้อความผ่านกล้ามเนื้อของพวกเขา

<เธอทำอะไรกับมงกุฎแห่งหนาม?>

เอลคาเดียนหัวเราะขณะที่เอ่ยขึ้น

<หลักประกัน แค่เผื่อไว้สำหรับผู้ที่จากไป>

เครื่องเคลื่อนย้ายวิญญาณ

เอลคาเดียนที่สร้างมงกุฎแห่งหนามและอคาดัสด้วยข้อมูลจากภายในนั้นค้นพบถึงพลังพิเศษของมงกุฎแห่งหนาม

พลังในการเรียกดวงวิญญาณของผู้ที่ถูกเลือกกลับมา

จากนั้นฮันซูจึงแสดงสีหน้างุนงงออกมา

<งั้นแล้วทำไมเธอถึงใส่ไอ้ของแบบนั้นไว้ในผลึกความทรงจำ?>

อย่างน้อยข้อมูลนั่นก็ไม่ได้อยู่ในผลึกความทรงจำที่ฮันซูอ่าน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เอลคาเดียนจึงหัวเราะและเอ่ยขึ้น

<นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากถาม การที่ข้าอยู่ที่นี่คือสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ>

เอลคาเดียนเดินทางไปทั่วอบิสเป็นเวลาค่อนข้างนาน

ดินแดนที่โหดร้ายและอันตรายเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถจินตนาการได้

และเอลคาเดียนได้สร้างผลึกความทรงจำขึ้นและทิ้งความทรงจำทั้งหมดของเธอเอาไว้เพื่อเป็นหลักประกัน

เธอต้องการจะใส่ตำแหน่งของมงกุฎแห่งหนามรวมทั้งมานาโค้ดในการควบคุมมันลงไป

ดังนั้นหากฮันซูได้รับผลึกความทรงจำของเธอ การที่เธอได้มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้

แต่มันมีเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธองุนงงอย่างมาก

ในเมื่อการที่ฮันซูจะได้ครอบครองผลึกความทรงจำของเธอนั้นเป็นไปไม่ได้

เอลคาเดียนมองไปยังฮันซูด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนความนัยเอาไว้

<เจ้าก็เห็น ข้ายังไม่แม้แต่จะสร้างผลึกความทรงจำนั่นขึ้นมาด้วยซ้ำ ข้าแค่วางแผนจะสร้างมันขึ้นมา>

เธอทำเพียงแค่วางแผนเอาไว้ เธอไม่แม้แต่จะเริ่มสร้างผลึกความทรงจำด้วยซ้ำ

แต่เธอได้มาอยู่ที่นี่

เอลคาเดียนคิดถึงความเป็นไปได้จำนวนมากที่จะใช้อธิบายสถานการณ์นี้

ทว่าเธอไม่อาจหาข้อสรุปได้

ถ้าเธอละเว้นข้อสันนิษฐานที่ไม่อาจเป็นไปได้ข้อหนึ่งไป

<ผู้ที่ได้ครอบครองมงกุฎแห่งหนามด้วยผลึกความทรงจำที่ข้าทำเพียงวางแผนไว้แต่ยังไม่ทันได้สร้างขึ้น… ข้าคิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง ทว่ามันมีเพียงแค่อย่างเดียวที่มีเหตุผลในความคิดของข้า>

ชายคนนี้ได้ครอบครองผลึกความทรงจำที่เธอไม่แม้แต่กระทั่งสร้างขึ้น

และเรียกเธอมา

เอลคาเดียนเอ่ยข้อสันนิษฐานของเธอไปยังฮันซู

ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

<บางทีเจ้าอาจจะมาจากอนาคตใช่ไหม? ใช้สมบัติของเผ่าพันธุ์มังกรที่มีเพียงแค่คำเล่าขานในตำนาน ผลึกกาลเวลา?>

 

 

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้น? ทุกอย่างจบแล้วเหรอ?”

บทสนทนาสิ้นสุดลงและค่ายกลถูกปลดออก

กวานแจที่กำลังมองไปยังเอลคาเดียนที่จากไปพร้อมกับอคารอนเอ่ยถามฮันซูที่เดินมาหาเขา

และฮันซูผงกศีรษะให้กับมัน

“ในตอนนี้น่ะนะ”

เขาแค่เธอว่าพวกเขาไม่อาจพูดเรื่องอบิสได้

<ข้าคิดเช่นเดียวกัน ข้าควรจะเก็บความจริงที่ว่าเจ้ากลับมายังอดีตเป็นความลับด้วย จะยังไงก็เถอะ… เจ้าคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลย>

มันดูเหมือนว่าเอลคาเดียนที่มองเขาด้วยสายตาราวกับเธอกำลังถามว่าเขาไม่รู้สึกเหงาหรืออย่างไร รู้ว่าเขาทำอะไรที่นี่

<อืม เอาเถอะ สำหรับการที่นักรบที่สามารถจัดการเผ่ามังกรได้กลับมา มนุษย์ที่มีเจ้าเป็นผู้นำนับว่าโชคดีนัก ข้าเชื่อว่าเราจะกลายเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมต่อกันได้>

เป็นน้ำเสียงที่สุภาพอย่างมาก

ฮันซูรับรู้ถึงบางอย่างได้จากมัน

‘… ผู้นำงั้นเหรอ’

ฮันซูรู้

ว่าเมื่อคนเดินทางในอบิสเป็นเวลายาวนาน ความคิดหนึ่งจะฝังลึกลงในสมองของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว

 

 

 

“… ท่านคือเอลคาเดียนจริงๆ หรือ?”

นักบวชหญิง โอเทออน เอ่ยถามทารูโฮลที่เพิ่งคุยกับฮันซูเสร็จและเดินมาหาเธอ

มันไม่ใช่แค่โอเทออน

อคารอนทุกตนที่กำลังฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เข้ามารวมตัวกันรอบเอลคาเดียน

เพื่อที่จะพบกับวีรสตรีของพวกเขาที่จากไปเพื่อที่จะช่วยเหลือพวกเขา และได้กลับมาแล้ว

เอลคาเดียนมองไปยังอคารอนที่ล้อมเธออยู่ แย้มยิ้มขณะผงกศีรษะ

“ข้าเอง”

“โอ้ท่าน…”

นักบวชหญิง โอเทออน และคนอื่นๆ แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา

ในการที่ตัวตนเช่นนั้นที่พวกเขาเคารพนับถืออย่างมากมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา

“การหวนกลับมาของข้าเองก็นับว่าเป็นสัญญาณจากพระเจ้า ในการที่จะฟื้นฟูอคารอน”

เอลคาเดียนดูเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างมาก

เหตุผลหลักนั้นเป็นเพราะเอลคาเดียนได้เป็นนักวิจัยที่เก่งกาจที่สุดรวมทั้งผู้ชี้นำกระทั่งก่อนที่เธอจะจากไป

และการที่เอลคาเดียนได้รับข้อมูลใหม่ในปริมาณที่ไม่อาจจินตนาการได้รวมทั้งเห็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้เพียงแค่ในความฝันมาแล้ว

ในสมองของเอลคาเดียนยามนี้ แผนการและวิธีการจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่ออคารอนได้ทับถมกัน

และเธอก็คาดหวังที่จะเริ่มปฏิบัติมันยิ่งนัก

“ท่านวางแผนอะไรไว้หรือ? ท่านเอลคาเดียนผู้ยิ่งใหญ่”

โอเทออนเอ่ยถามเอลคาเดียนอย่างระมัดระวัง

และเอลคาเดียนได้แสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยออกมาขณะที่เธอเอ่ยตอบ

“อืม จริงๆ แล้วเป้าหมายของข้าคือการรักษากรากอซ”

โอเทออนชะงักไปกับคำพูดนั้น

ในเมื่อความพยายามในการรักษากรากอซได้สำเร็จแล้ว

เอลคาเดียนแสดงสีหน้าขบขันออกมากับท่าทีของโอเทออนก่อนจะเอ่ยต่อ

“ข้ารู้ว่ามันสำเร็จแล้ว ข้าได้เดินทางในโลกด้านนอกเพื่อสิ่งนี้ และรู้สึกสูญเปล่าไปหน่อย”

ตอนนี้โอเทออนและคนอื่นๆ มองไปยังเอลคาเดียนด้วยสีหน้าซับซ้อน

เอลคาเดียนและสิบสามเมล็ดพันธุ์ได้ยอมสละทุกสิ่งที่พวกเขามีและออกเดินไปในเส้นทางอันยากลำบากเพื่อแก้ไขปัญหาของอคารอน

แต่ตอนนี้ พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรหากปัญหาได้ถูกแก้ไขแล้วตอนที่พวกเขากลับมา

เอลคาเดียนสังเกตท่าทีของทุกคนขณะที่เธอเอ่ยต่อ

“อย่าแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมาเลยทุกคน ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือที่พวกเราจะสามารถมุ่งหน้าไปยังขั้นต่อไปได้เลยในเมื่อกรากอซถูกรักษาหมดแล้ว?”

ทุกคนมองไปยังเอลคาเดียนด้วยสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ขั้นต่อไป

กับการที่ยังมีขั้นต่อไปหลังจากการรักษาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ลาร์ซาร์ และปลดปล่อยมันจากความทรมานได้แล้ว

เอลคาเดียนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตาออกมาขณะที่เธอเอ่ยขึ้น

“ข้าตระหนักได้ถึงบางอย่างที่สำคัญยิ่งกว่าในตอนที่เดินทางอยู่ที่โลกภายนอกนั่น ไม่สิ มันควรจะถูกเรียกว่าเป้าหมายใหม่แทนเสียมากกว่ามั้ง?”

ความพิศวงและภูมิปัญญาไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่เธอได้เห็นในโลกด้านนอกนั่น

อันตราย

อันตรายมหาศาลที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเทียบเคียงได้

พวกเธอ อคารอน เป็นเพียงแค่กบที่ก้นบ่อน้ำเท่านั้น

เอลคาเดียนมองไปยังทุกคนขณะที่เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

ว่าเธอจะไม่พอใจเพียงแค่การผ่าตัดดัดแปลงร่างกายและอคาดัส

ว่าเธอจะต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอีกมากเพื่อรับมือกับเผ่าพันธุ์ที่เธอได้เห็นที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เอลคาเดียนชี้ไปยังมนุษย์

“ดูที่พวกเขาสิ มันยังไม่ทันถึงสิบปีตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้น ทว่ามันกระทั่งมีผู้ที่สามารถฆ่ามาร์กอชได้ หากเรา อคารอน พึงพอใจกับสถานการณ์ในยามนี้แล้ว เราอาจจะถูกกลืนกินได้ตลอดเวลา”

โอเทออนตื่นตะลึงขณะที่เธอค่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ท่านเอลคาเดียน… พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของเรา”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็แค่พูดเป็นตัวอย่าง ข้าเองก็เชื่อว่าเราต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์เอาไว้ แต่เราเองก็ไม่ควรจะอ่อนแอกว่าไม่ใช่หรือ? เรา อคารอน มีความสามารถมากกว่าพวกเขามาก ในเมื่อตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”

อคารอนแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมากับคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเอลคาเดียน

ในเมื่อมันค่อนข้างแตกต่างจากเอลคาเดียนในอดีตที่พวกเขารู้จัก

ในอดีตที่เธอให้ความสำคัญกับการแข็งแกร่งขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อเธอมักจะเอ่ยเสมอว่าความอ่อนแอคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความสงบสุข

แต่วิธีการที่เธอพูดมันออกมาในตอนนี้แตกต่างออกไป

‘หืมม…’

ในขณะที่โอเทออนจ้องไปที่เอลคาเดียนนั้นเอง

ไอเลน นักบวชหญิงฝึกหัดก็เอ่ยถามเอลคาเดียนขึ้นอย่างระมัดระวังขณะที่มองไปยังอีกฝ่าย

“เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเสาหลักที่หนึ่ง ทารูโฮล? เขาจากไปแล้วหรือ?”

เอลคาเดียนเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตาออกมาอีกครั้งขณะที่เธอส่ายศีรษะ

“ไม่ เขาเพียงแค่หลับอยู่ภายในตัวข้าเท่านั้น แต่มันดูเหมือนว่าคนที่เจ้าต้องการในยามนี้คือข้า อย่าได้เป็นกังวลเลย เมื่อข้ามอบภูมิปัญญาและแผนการที่ข้ามีทั้งหมดให้กับพวกเจ้าแล้ว ข้าก็จะกลับไปหลับใหลแทน ในเมื่อพวกเจ้าคือผู้ที่จะนำพาพวกเราไปยังยุคสมัยต่อไป”

จากนั้นเอลคาเดียนจึงเอ่ยขึ้นเสียงดังกับอคารอนทั้งหมดรอบๆ เธอ

“รีบสร้างมหาวิหารขึ้นก่อนเถอะ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”

“ค่ะ/ครับ ท่านเอลคาเดียนผู้ยิ่งใหญ่”

อคารอนตอบรับเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกันหลังจากที่ได้พบกับยอดผู้นำของพวกเขาก่อนจะแยกย้ายออกไปยังทุกมุมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

 

 

 

เอลคาเดียนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และจ้องไปยังมหาวิหารที่กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยความรวดเร็ว

และมองไปยังมนุษย์ที่กำลังสร้างค่ายขึ้นอย่างต่อเนื่อง

‘ที่นี่มันดีจริงๆ’

ลาร์ซาร์ที่เธอได้กลับมาหลังจากผ่านไปยาวนานนั้นสงบสุขเกินไป

โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมที่เหมือนนรกของอบิสที่เธอเคยอยู่มาในวันก่อนๆ

เอลคาเดียนปลุกตัวเองขึ้นในตอนที่เธอรู้สึกว่ากำลังจะรู้สึกพึงพอใจและกลับไปตั้งสติ

‘ไม่สิ มันจะแย่ถ้าข้าเองก็กลายเป็นแบบนั้นด้วย’

ความสงบสุขยอดเยี่ยมสำหรับนักรบ

และเพราะแบบนั้น พวกเขาจึงต้องรักษามันให้ได้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ และเธอต้องทำทุกอย่างที่เธอจะทำได้เพื่อที่จะรักษาความสงบเอาไว้

เตกิลอนมองไปยังเอลคาเดียนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

‘… เมื่อก่อนเธอไม่ได้ชอบที่สูง’

แต่เตกิลอนส่ายศีรษะ

เวลานับร้อยปีนับว่าเกินกว่าพอในการที่หลายๆ สิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ทว่าความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของเอลคาเดียนก็เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นๆ บอกว่าเธอไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

ราวกับว่าเอลคาเดียนรับรู้ได้ถึงสายตาของเตกิลอน เธอยืดตัวตรงและเอ่ยถามถึงสิ่งที่เธอได้ยินมาก่อนหน้า

“เจ้าบอกว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าต้นไม้โลกในโลกที่เจ้าไปใช่ไหม? ที่มันสามารถเพิ่มจำนวนประชากรในเผ่าได้อย่างรวดเร็ว?”

เตกิลอนผงกศีรษะ

“ใช่แล้ว ท่านเอลคาเดียน”

“โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ มันไม่มีทางใดเลยหรือที่จะนำต้นไม้โลกนั่นมาที่โลกใบนี้?”

เตกิลอนเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“หากมันเป็นไปได้ งั้นข้าคงจะนำมันมาที่นี่แล้ว ต้นไม้โลกจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ที่โลกนั้นเท่านั้น”

“น่าเสียดาย”

เอลคาเดียนแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างมาออกมา

การมีประชากรจำนวนมากเป็นเรื่องที่ดีมาก

เผ่าสัตว์กระดองแข็งในอบิสจะวางไข่สองพันฟองในหนึ่งครั้ง และใช้เวลาเพียงสี่วันในการโตเต็มวัย ดีทูเอล จะทำลายดินแดนของศัตรูทั้งดินแดนหากแม้แต่หนึ่งในประชากรจำนวนมหาศาลของมันถูกฆ่าโดยอีกฝ่าย

เอลคาเดียนหยุดคิดและมองไปยังดินแดนของมนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปด้วยสีหน้าอิจฉา

มนุษย์ได้ขึ้นมาจากใต้ทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง

และมนุษย์เหล่านั้นก็กำลังฆ่าสัตว์อสูรที่มุดออกมาจากกรากอซและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการกลืนกินรูน

อคารอนแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ในตอนนี้

ในเมื่อพวกเขามีอคาดัสและการผ่าตัดดัดแปลงร่างกาย

แต่ช่องว่างนี้จะลดลงด้วยเวลาไม่นานในอนาคต

‘ในเมื่อเรามอบการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายให้กับพวกเขาเพื่อพันธมิตร พวกเขาก็จะยิ่งลดช่องว่างนั้นมาเร็วขึ้น พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เหตุใดพระเจ้าจึงไม่มอบโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นนั้นให้กับพวกเราบ้าง?’

เอลคาเดียนพึมพำอยู่ภายใน

ความอ่อนแอคือบาป และโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นก็นับว่าเป็นคำอวยพร

‘เหล่าผู้ที่ไม่ได้เคยไปยังอบิสล้วนไม่รู้ความจริง’

ความจริงแล้วเอลคาเดียนค่อนข้างไม่พอใจกับความเร็วในตอนนี้เท่าใด

มันไม่มีความเร่งรีบอยู่ในความคิดของอคารอน

กรากอซไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่พวกเขากลัวอีกต่อไปและกลายเป็นดินแดนที่ช่วยอุ้มชูพวกเขาเช่นในอดีต

และมันไม่มีอะไรให้เอ่ยมากเกี่ยวกับมาร์กอช

อคารอนร้องเพลงสรรเสริญความสงบสุขและชูธงชื่นชมเอลคาเดียน

ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับโลกที่ถูกเรียกว่าอบิส

‘อืมม…’

เอลคาเดียนรู้สึกได้ถึงสันหลังที่เย็นวาบหลังจากที่คิดถึงเผ่าพันธุ์อันทรงพลังที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นขณะที่เธอสั่นศีรษะ

‘เป็นแบบนี้ไม่ได้’

ช่วงเวลามหาสงครามที่เมคิโด้เป็นผู้นำทัพไม่เหมือนเช่นนี้

เผ่าพันธุ์ของพวกเธอได้ทำทุกอย่าง ใช้พลังทั้งหมดที่มีในการเอาชีวิตรอดและแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแล้วพวกเธอจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

การผ่าตัดดัดแปลงร่างกายและอคาดัสคงจะไม่ถูกสร้างขึ้นหากพวกเขาไม่เข้าตาจนในการต่อสู้

‘อย่างที่ข้าคิด คนเพียงผู้เดียวที่จะสามารถเข้าใจข้าได้จริงๆ คือฮันซู เขาเป็นแค่คนเดียว เขารู้ทุกอย่าง’

เธอสามารถเห็นได้แม้เพียงมองผ่านๆ

ว่าเขาเตรียมการทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้เพื่ออบิส

‘เขาทำงานหนักมาก เขาคงจะเหงามาก’

คนคนหนึ่งจะรู้สึกเดียวดายได้หรือแม้ว่าจะมีเผ่าพันธุ์ทั้งเผ่าพันธุ์อยู่เคียงข้าง?

เอลคาเดียนสามารถเอ่ยออกไปดังๆ อย่างมั่นใจได้ว่ามันเป็นไปได้ คนยังสามารถรู้สึกเดียวดายได้แม้ว่าจะมีทั้งเผ่าพันธุ์อยู่ข้างๆ

ในเมื่อเธอกำลังรู้สึกแบบนั้นในตอนนี้

เธอได้พบเจอคนจำนวนนับไม่ถ้วนจากเผ่าพันธุ์ของเธอ และความรู้สึกเดียวดายที่เธอรู้สึกลึกลงไปถึงกระดูกก็หายไปในเสี้ยววินาที

แต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะ

ความโดดเดี่ยวได้กลับมายังเอลคาเดียน

พวกเขาไม่อาจเห็นในสิ่งเดียวกับที่เธอเห็นและเดินในเส้นทางที่เธอเดินได้แม้ว่าจะอยู่ข้างๆ เธอ

เธอไม่อาจเอ่ยถึงหลายๆ เรื่องกับทุกคนได้แม้ว่าเธอจะอย่างทำเช่นนั้น

และบางอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นตอนที่เธอเดินทางอยู่ในอบิสได้กดทับเธออยู่ในตอนนี้

ความรับผิดชอบ

‘การไม่รู้ไม่ใช่บาป ข้าต้องนำเผ่าพันธุ์ของข้า ข้าต้องฝึกฝนพวกเขาให้แข็งแกร่งมากกว่านี้’

เอลคาเดียนพึมพำ

ฮันซูเป็นเพียงคนเดียวที่คิดแบบเดียวกับเธอ

‘ข้าต้องไปคุยกับเขาอีกหน่อย’

มันดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายสิ่งที่เขาไม่ได้บอกเธอ

อืม จริงๆ แล้วเธอก็เหมือนกัน

เอลคาเดียนลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปหาฮันซู

 


TL: ลมสงบก่อนพายุมาป่ะล่ะ