บทที่ 137: เอลคาเดียน (2)

 

 

 

ฮันซูมองไปยังเขตแดนของมนุษย์ที่เป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็วจากฐานหลักของ <ยูนิตี้> ที่อยู่เบื้องหน้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์

การไม่มีอคาดัสไม่ใช่ปัญหามาก

ในเมื่อเรื่องราวเกี่ยวกับพวกที่คิดต่อต้านได้ถูกบอกเล่าไปปากต่อปาก

‘ดี จะยังไงก็เถอะ ฉันสงสัยจริงว่าไอ้ประตูมิติบ้านั่นมันอยู่ที่ไหน’

ฮันซูขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะว่ายังหาประตูมิติไม่พบแม้ว่าจะค้นหาไปรอบๆ ลาร์ซาร์แล้ว

แฟรี่จะไม่วางประตูมิติไว้ด้านในปากของลาร์ซาร์ที่กำลังกลืนเอาลาวาเข้าไปแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การหยอกล้อก็ตาม

ในเมื่ออย่างน้อยมันก็ยังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง

‘มันควรจะอยู่ในบางแห่งที่สามารถเข้าถึงได้ แต่ว่าจะไม่เปิดเผย’

แต่ฮันซูเลื่อนความกังวลของเขาไปก่อน

มันจะถูกค้นพบไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ในเมื่ออคาดัสและมนุษย์ล้วนค้นหามัน

แม้ว่าลาร์ซาร์จะกว้างใหญ่มาก มันก็ยังยากที่จะหลบซ่อนจากสายตาของสิ่งเหนือมนุษย์ที่สามารถมองเห็นได้ไกลออกไปนับพันไมล์

ฮันซูมองไปยังกวานแจที่ส่งพิราบสื่อสารออกไปอย่างต่อเนื่องและเอ่ยถามขึ้น

“ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นนะ”

ไม่ว่าใครก็สังเกตเห็นได้

ในเมื่อสีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสุขเกินกว่าจะเป็นการส่งข้อความเกี่ยวกับงาน

กวานแจผงกศีรษะ

“ภรรยาของฉันท้องแล้ว”

“นั่นนับเป็นข่าวดี ยินดีด้วย”

ฮันซูผงกศีรษะ

การให้กำเนิดเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในอีกโลก

พวกเขาที่อยู่ในระดับเหนือมนุษย์สามารถค้นพบได้แม้ว่าฝ่ายหญิงจะท้องเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ก็ตาม

‘… เขาคงจะคิดถึงลูกสาวของเขา’

แม้ว่ามันจะเป็นข่าวที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง สีหน้าของกวานแจกลับดูขมขื่นเล็กๆ ขณะที่เขาเอ่ยขึ้น

กวานแจมองไปยังฮันซูที่กำลังมองมาที่เขาก่อนจะเอ่ยขึ้นหลังจากปรับสีหน้า

“ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมเสียเธอไปอีกไม่ว่ายังไงก็ตาม จะยังไงก็เถอะ มันมีบางอย่างที่ฉันอยากถาม… สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ?”

กวานแจเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

การสอดแนมทั้งหมดในตอนนี้ของกวานแจมุ่งไปที่เป้าหมายเดียว

เผ่าพันธุ์อคารอน

‘… มันไม่มั่นคงอย่างมาก เราจะสามารถเรียกสิ่งนี้ว่าพันธมิตรได้จริงๆ เหรอ?’

เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระอย่างลูกและภรรยาของเขา

ในเมื่อปัญหาปรากฏขึ้นให้เขาเห็นในขณะที่กำลังเฝ้ามองทั่วทั้งลาร์ซาร์เป็นงาน

พันธมิตรในยามนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างล่อแหลมอย่างมาก

‘พันธมิตรไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ด้วยเพียงแค่ความเชื่อใจ’

แน่นอนว่าความเชื่อใจคือพื้นฐานของพันธมิตร

กวานแจไม่ได้กังวลในเรื่องนี้

แต่ความเชื่อใจมันก็เหมือนกับสะพานที่สร้างขึ้นจากฟาง สร้างขึ้นและรักษาสภาพไว้อย่างยากเย็น ทว่าการที่จะพังทลายลงกลับง่ายดายและใช้เวลาเพียงชั่วขณะ

ความเชื่อใจไม่เพียงพอที่จะประคองพันธมิตรเอาไว้

‘เราไม่มีสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างพันธมิตร’

ความต้องการพึ่งพา

แต่วิธีการที่จะคานอำนาจอีกฝ่าย

สองสิ่งนี้คือสิ่งที่ขาดไประหว่างอคารอนและมนุษย์

ไม่สิ ความจริงแล้วเป็นฝ่ายมนุษย์ที่กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“… อคารอนไม่ได้ต้องการเราเลย และเราเองก็ไม่มีทางจัดการพวกนั้นในตอนนี้เลยด้วย”

ในทางกลับกัน มนุษย์จำเป็นต้องมีอคารอน และอีกฝ่ายมีวิธีที่จะจัดการพวกเขาอย่างชัดเจน

ในเมื่ออคาดัสและการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายล้วนอยู่ในมือของอคารอน

สถานการณ์ในตอนนี้มันเหมือนกับเอาชีวิตของพวกเขาไปอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย

อคารอนสามารถเริ่มสงครามได้โดยที่ไม่เสียอะไร

โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นมีต่ำมากในเมื่อกฎของอคารอนให้ความสำคัญกับความเชื่อใจอย่างมากและปฏิบัติต่อผู้ช่วยเหลือของพวกเขาอย่างเหมาะสม ทว่าเขาจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไรในยามที่ชีวิตของพวกเขาอยู่ในมือของผู้อื่น?

ในตอนนั้นเอง

เสียงอันทรงพลังได้ดังขึ้นจากเบื้องหลัง

พร้อมด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุภาพ

“มันค่อนข้างน่าเศร้าที่พวกเจ้าไม่อาจเชื่อใจข้าได้ขนาดนั้น เช่นนั้นเอาเป็นการเชื่อใจผู้นำของพวกเจ้าแทนข้าเล่าจะเป็นอย่างไร?”

“ใครเป็นผู้นำของใคร? เราลงคะแนนเสียงกันแล้วเหรอ?”

กวานแจบ่นงุบงิบกับเสียงของเอลคาเดียน

‘บ้าเอ้ย ฉันไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงการปรากฏตัวด้วยซ้ำ สำหรับการที่มีความแตกต่างของพลังมากขนาดนี้’

ทารูโฮลในอดีตอยู่ในระดับเดียวกับเขา

แต่เอลคาเดียนที่ได้กินสิ่งที่ถูกเรียกว่าดาบแก่นแท้มังกรเข้าไปได้ไต่ขึ้นไปอยู่ในระดับที่เขาไม่อาจเทียบเคียงได้อีกต่อไป

‘มีแค่คนแบบฮันซูที่อาจจะสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งได้’

แต่มันก็ไม่ได้แน่นอน

ในเมื่อทั้งฮันซูและเอลคาเดียนต่างแข็งแกร่งกว่าเขามาก

คนอ่อนแอไม่อาจตัดสินผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้

เอลคาเดียนเข้ามาใกล้เขาพร้อมด้วยรอยยิ้มก่อนเอ่ยพูด

“ข้าขอโทษจริงๆ แต่เจ้าจะปล่อยให้พวกเราอยู่ด้วยกันสองคนสักพักได้ไหม? มันมีสองสามเรื่องที่เราจะต้องคุยกัน”

“… ไล่ฉันงั้นเหรอ เอาเหอะ เล่นกันให้สนุกแล้วกัน”

กวานแจบ่นงุบงิบขณะที่เขาเดินออกไป

ยังไงเขาก็ไม่อาจเข้าใจพวกนั้นได้อยู่แล้วถ้าพวกเขาเริ่มใช้วิธีการสื่อสารแปลกๆ นั่น

เมื่อกวานแจเดินออกไป เอลคาเดียนก็เอ่ยขึ้นกับฮันซู

“มันจะดีกว่าในการให้เขาออกไปเพื่อที่จะพูดได้อย่างสบายๆ ในเมื่อเรื่องเกี่ยวกับอบิสอาจจะปรากฏขึ้น”

เอลคาเดียนหยุดพูดและสัมผัสถึงสภาพแวดล้อมรอบกาย

วิ้งงงง

ผลึกสีใสลอยขึ้นในอากาศ ไม่ช้า ผลึกเหล่านั้นก็สร้างม่านที่กั้นเสียงเอาไว้ออกมา

‘วิธีการใช้ค่ายกลของเธอเหนือกว่าโอเทออนแบบเทียบไม่ได้’

ฮันซูชื่นชมอีกฝ่าอยยู่ในใจ

มันแทบจะอยู่ในระดับของสกิลอยู่แล้ว

เอลคาเดียนเอ่ยขึ้นกับฮันซู

“อย่างแรก ข้าต้องขอโทษเกี่ยวกับเรื่องดาบแก่นแท้มังกรด้วย ข้ายังไม่ได้สร้างผลึกความทรงจำขึ้นมา แต่… หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนการของข้า ดาบแก่นแท้มังกรก็ควรจะเป็นรางวัล”

เมื่อฮันซูผงกศีรษะ เอลคาเดียนก็เอ่ยต่อ

“ข้าไม่อาจมอบดาบแก่นแท้มังกรให้เจ้าได้ในตอนนี้ ในเมื่อมันมีหลายสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อเผ่าพันธุ์ของข้าเช่นกัน และข้าต้องการดาบแก่นแท้มังกรเพื่อคงร่างของข้าเอาไว้ แต่สัญญาก็คือสัญญา ข้ายินยอมจะมอบรางวัลที่เจ้าต้องพึงพอใจอย่างมากให้”

เอลคาเดียนหัวเราะอย่างเงียบงัน

‘ฮันซู เจ้าต้องพอใจกับสิ่งนี้แน่ๆ แทนที่จะเป็นดาบล้ำค่าเพียงเล่มหนึ่ง ข้าจะมอบหอกหมื่นเล่มให้เจ้าแทน’

สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าล้วนต้องการให้ตัวของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น

ในเมื่อมิตรแท้ตลอดกาลไม่มีอยู่จริง

พวกเขาเลือกที่จะเอาดาบล้ำค่าหนึ่งเล่มให้ตัวพวกเขาแทนที่จะมอบหอกหมื่นเล่มให้กับพวกพ้องของพวกเขา นี่เองก็เป็นเพียงทางเดียวที่จะมีชีวิตรอดในอบิสเช่นกัน

ทว่าฮันซูต้องต่างออกไป

ในเมื่อเขาก็เหมือนกับเธอ

“ข้าหวังว่าเจ้าจะสนใจในประวัติศาสตร์ เจ้ารู้ไหมว่าโลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร?”

“หืมม… ไม่ ฉันไม่รู้”

“ตามข้ามา ให้ข้านำเจ้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามของมหาวิหารเถอะ”

พื้นที่ต้องห้ามของมหาวิหาร

สถานที่ที่มีเพียงคาร์บาน่า บาทหลวงคนก่อนที่ตายด้วยน้ำมือของฮันซูสามารถเข้าไปได้

ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของอคารอนได้ถูกบันทึกและเก็บเอาไว้ในที่แห่งนี้

ในเมื่อหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของบาทหลวงคือการจดบันทึกประวัติศาสตร์ของอคารอนและส่งต่อมันให้กับบาทหลวงคนต่อไป

เพื่อที่ว่าผู้นำและนักบวชคนอื่นๆ จะไม่ทำความผิดพลาดเช่นเดียวกับพวกเขา

“มันอาจจะมีคำหยาบคายเขียนลงไปมาก บาทหลวงคนก่อน คาร์บาน่า ไม่ได้มีความรู้สึกอันดีต่อพวกเราเท่าใด เจ้าก็เห็น”

ฮันซูยักไหล่เมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ไม่ใช่ว่ามันคือที่ที่มีเพียงแค่บาทหลวงที่เข้าไปได้เหรอ?”

“มันดูเหมือนว่าข้ากระทั่งเขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้นลงไปในผลึกความทรงจำด้วยสินะ จะยังไงก็เถอะ ในเมื่อมันไม่มีบาทหลวงอยู่ ไม่ใช่ว่ามันหมายความว่าข้าคือบาทหลวงเหรอ ข้าเองก็กำลังคิดถึงการยึดตำแหน่งยอดผู้นำอยู่ด้วย”

เอลคาเดียนเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจและเดินไปยังวิหาร

ขณะที่ฮันซูและเอลคาเดียนเดินไปยังมหาวิหาร ผลึกที่สร้างม่านกั้นเสียงก็ลอยตามพวกเขาไป

‘เธอก็ควรที่จะมั่นใจ’

ฮันซูพึมพำขณะที่เขามองไปยังสีหน้าของอคารอนที่มองไปยังเอลคาเดียนหลังจากที่เดินเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

และไม่ช้า ทะเลสาบสีขาวขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา

ทะเลสาบใต้ดินขนาดยักษ์ที่เป็นสถานที่ที่พลังของลาร์ซาร์มารวมกัน

พร้อมกับสิ่งก่อสร้างคล้ายลูกโลกขนาดยักษ์รัศมีราวๆ หนึ่งกิโลเมตรที่ลอยอยู่เหนือมัน

สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์นั้นได้ดูดกลืนเอาพลังของลาร์ซาร์ไปอย่างต่อเนื่องและพยายามฟื้นฟูสภาพเดิมของมันขึ้นอย่างสุดความสามารถ

ดูเหมือนว่ามันจะฟื้นฟูความสามารถส่วนมากของมันขึ้นได้แล้วเมื่อมันแสกนร่างของเอลคาเดียนและฮันซูที่เข้าไปใกล้มันด้วยแสงสีขาว

ครืนนน

และราวกับว่ามันอนุญาตให้พวกเขาเข้าไป สะพานสีขาวได้พาดผ่านทะเลสาบมายังพวกเขา

ฮันซูและเอลคาเดียนเดินต่อไปยังสิ่งก่อสร้างทรงกลมหลังจากที่ข้ามสะพานไปแล้ว

ครืนนนน

ทหารสีขาวที่ดูจะสร้างขึ้นจากกระดูกของมาร์กอชได้ยกดาบของพวกมันขึ้นอย่างดุดันไปยังผู้รุกราน ทว่าก็พลันสงบลงหลังจากรับรู้ได้ถึงคลื่นที่แผ่ออกมาจากเอลคาเดียน

และไม่ช้า พวกเขาก็ไปถึงยังประตูยักษ์ที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวิหาร

เอลคาเดียนเปิดประตูออก

ครึ่กกก

ห้องขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหลังประตู

เอลคาเดียนชี้ไปยังก้อนหินยักษ์สีดำสนิทที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องสีขาว

ก้อนหินรูปสี่เหลี่ยมลูกบากศ์ที่แต่ละด้านล้วนกว้างนับร้อยเมตร

“ให้ข้าแนะนำมันให้เจ้าเถอะ นี่คือออบซิเดียนที่พวกเราใช้เขียนประวัติศาสตร์ลงไป <ฮิสทอราน> มันค่อนข้างใหญ่ใช่ไหมล่ะ? นี่เป็นสาเหตุให้บาทหลวงต้องมีพลังกำลังดี เจ้าต้องปีนขึ้นไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตรเพื่อที่จะอ่านมัน เจ้าก็เห็น”

เอลคาเดียนสัมผัสตัวอักษรสีขาวขนาดเท่านิ้วโป้งจำนวนมหาศาลที่ถูกเขียนอยู่บนหินสีดำขนาดยักษ์จากนั้นจึงมองไปยังฮันซู

“มันมีข้อมูลของพวกเราและเผ่าพันธุ์ของเจ้าเขียนเอาไว้ในนี้ที่จะนับว่าเป็นของขวัญสำหรับเจ้า บางอย่างที่จะมอบพลังแบบใหม่ให้กับเจ้า”

เอลคาเดียนเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

 

 

 

กวานแจไปหาเอนบิ อารินที่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบทุกอย่างบนลาร์ซาร์ไปกับเขา

“เธอยุ่งอยู่รึเปล่า? มาคุยกันสักหน่อยเถอะ”

เอนบิ อารินที่กำลังเร่งรีบวุ่นวายเพราะต้องจัดการและแบ่งแยกคนที่มาใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังกวานแจด้วยสีหน้ามู่ทู่ก่อนจะเอ่ยตอบ

“อะไรล่ะ?”

เอนบิ อาริน ไม่มีความรู้สึกเป็นมิตรต่อกวานแจ

ในเมื่อหมอนี่คือคนที่ให้ที่หลบซ่อนกับ เคล ดอว์สัน ผู้ที่ลงมือกับน้องสาวของเธอ

และผู้ที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเขาขึ้นได้เพราะการปกป้องจากกิลด์รีโรรีโรเร

ทำไมเธอถึงต้องทำตัวดีๆ กับหมอนี่ในเมื่อเขาตั้งตัวเป็นอริกับเธออย่างเปิดเผยตั้งแต่แรก?

เธอแค่ยอมอดกลั้นมันไว้ในเมื่อตำแหน่งของเธอและกวานแจไม่ได้ต่ำพอที่จะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนั้น

และเมื่อกิลด์ที่รวมเป็นหนึ่ง <ยูนิตี้> ได้ถูกควบคุมโดยกวานแจและเอนบิ อารินที่นำกิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสองกิลด์ กิลด์ครอสและรีโรรีโรเร

หากพวกเขาสองคนสู้กัน งั้นมันก็จะไม่จบลงแค่การต่อสู้ส่วนตัว

กวานแจเอ่ยเข้าเรื่อง

ในเมื่อเธอย่อมเข้าใจ

“มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เราต้องหาวิธีรับมือกับพวกนั้น”

บางอย่างที่อคารอนจะต้องการและพวกเขาสามารถหาให้ได้ และวิธีการที่จะรับมือกับอีกฝ่าย

มันไม่มีอะไรเลยที่มนุษย์จะสามารถมอบให้อคารอนได้เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าพวกเขาต้องการมนุษย์

บางทีมันอาจเป็นไปได้หากมีศัตรูร่วมกัน

และเพราะแบบนี้ พวกเขาจึงต้องการเครื่องมือคานอำนาจเพื่อที่จะทำให้พันธมิตรมั่นคง

เอนบิ อารินตระหนักได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นในทันที

“สร้างวิธีการคานอำนาจพวกนั้นขึ้นก็เหมือนกับการยั่วยุพวกนั้นอยู่ในตัว นายคิดว่าอเมริกาเตะก้นพวกที่พยายามสร้างอาวุธนิวเคลียร์เล่นๆ หรือไง?”

“เราสามารถทำมันได้เอย่างลับๆ ก็แค่เผื่อไว้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”

“นายไม่เชื่อในตัวอคารอนรึไง?”

กวานแจส่ายศีรษะ

“ไม่ โดยส่วนตัวแล้วฉันเชื่อในอคารอน มันมีโอกาสสูงมากกว่าที่ปัญหาจะเกิดขึ้นเพราะมนุษย์แทนที่จะเป็นอคารอน”

“งั้นนายก็ไม่เชื่อใจฮันซู?”

หนึ่งในเหตุผลหลักที่พวกเธอไม่พยายามสร้างเครื่องคานอำนาจขึ้นก็เป็นเพราะพวกเธอเชื่อในตัวฮันซู

ในเมื่อพวกเธอรู้ว่าฮันซูจะไม่สร้างพันธมิตรประหลาดๆ นี่ขึ้นโดยไม่มีแผนการอะไร

กวานแจส่ายศีรษะอีกครั้ง

“ไม่ ฉันเชื่อในตัวฮันซูเหมือนกัน”

“แต่นายก็ยังคงพยายามสร้างเครื่องมือคานอำนาจทั้งๆ แบบนั้น?”

กวานแจกัดฟัน

“ฉันเชื่อใจฮันซูและอคารอน แต่ฉันไม่เชื่อใจตัวเอง”

กวานแจเชื่อมั่นใจตัวอคารอนและฮันซู

ในเมื่ออย่างน้อยความน่าเชื่อถือที่คนเหล่านั้นแสดงให้เขาเห็นจนถึงตอนนี้มันก็เพียงพอ

ตอนนี้กวานแจไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง

“ฉันจะบอกได้เหรอว่าความคิดเห็นส่วนตัวของฉันในการเลือกที่จะเชื่อในอคารอนและฮันซูมันถูกต้อง? จนถึงจุดที่สามารถเอาชีวิตของมนุษย์ทุกคนที่นี่เข้ามาเสี่ยง?”

“ชิ”

เอนบิ อารินไม่ได้เถียงคำพูดของกวานแจและทำเพียงแค่เดาะลิ้น

กวานแจเอ่ยต่อ

“ฉันคิดอยู่ตลอดว่าการที่คนบอกว่าอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขาถูกสร้างขึ้นแค่เพื่อการป้องกันตัวมันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกเข้าใจคนพวกนั้นมากๆ เลย”

อาวุธนิวเคลียร์เป็นของสำหรับพวกขี้ขลาด

และกวานแจตัดสินใจยอมรับว่าตัวเขาก็เป็นคนขี้ขลาด

ในเมื่อความสงบสุขที่พวกเขาได้ลิ้มลองหลังจากผ่านมายาวนานภายในโลกบัดซบใบนี้มันหอมหวานเกินไป

เขาหวาดกลัวว่าความสงบสุขนี้จะพังทลายลง

“ได้โปรดช่วยฉัน”

“… เราทำแค่เตรียมมันเอาไว้ และถ้านายใช้มันเพื่อตัวเอง งั้น… มันจะไม่จบแค่ที่นาย ฉันจะไปจัดการครอบครัวของนายทั้งหมด”

เขาไม่ใช่เพียงแค่คนเดียวที่มีเพื่อนพ้องและครอบครัวอันเป็นที่รัก

หากบางอย่างผิดพลาด มันก็จะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

กวานแจผงกศีรษะขณะที่มองไปยังเอนบิ อารินที่กำลังข่มขู่เขาด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

“อย่ากังวลเลย”

บางทีมันอาจเป็นเพราะกวานแจเอ่ยตอบด้วยท่าทีซื่อตรง เอนบิ อารินจึงใจเย็นลงและยื่นแก้มออกไป

“… เธออยากให้ฉันทำอะไร?”

“ตบฉันสักครั้งก่อนไป ฉันใช้ครอบครัวนายมาข่มขู่ เพราะงั้นมันก็สมควร”

“เก็บไว้ก่อน ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ฉันจะตบเธอตอนนั้น แล้วเธอกล้าดียังไงที่พยายามจะจบด้วยการตบแค่ครั้งเดียวเนี่ย?”

“เชี่ย”

เอนบิ อารินขมวดคิ้วและรีบหนีไป

ในทิศทางตรงข้ามกับกวานแจ

 

 


TL: อ่านแล้วก็รู้สึกน่ารักแบบแปลกๆ ล่ะค่ะ

ปล. ตอนแปลเรื่องอาวุธนิวเคลียร์นี่มันก็จะเสียวๆ หน่อย//มองซ้ายมองขวา