บทที่ 113 การคุ้มกัน

ไม่นาน หลินชื่อฉิงก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้หลินเต๋อเทียนพ่อของเธอฟัง

ผู้นำตระกูลหลินในปัจจุบันนี้คือหลินเต๋อเทียน และหลินชื่อฉิงก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา ขณะที่คุณหนูและคุณชายของตระกูลอย่างเช่น หลินจื่อฉิง หลินซิวเหวิน และคนอื่นๆเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องกันในตระกูลหลิน

ถึงแม้ว่าหลินเต๋อเทียนจะมีอำนาจมากที่สุดในตระกูลหลินรองจากหลินหงชวนผู้เป็นบิดา แต่เขาก็ไม่ได้มองข้ามพี่น้องคนอื่นๆเช่นกัน เหตุผลเดียวที่ตระกูลหลินเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิง เป็นเพราะว่าผู้คนในตระกูลนั้นสามัคคีกัน เห็นแก่ส่วนรวม และคอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน

“อะไรนะ? หลินซิวเหวินงั้นหรอ?”

เมื่อหลินเต๋อเทียนได้ยินข่าวเรื่องหลินซิวเหวินเสียสติ เขาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก!

จะมีใครไม่รู้บ้างว่าหลินซิวเหวินที่กลายเป็นปัญญาอ่อนนั้น เป็นหลานชายสุดรักของผู้เฒ่าตระกูลหลิน หลินหงชวนผู้ชราต้องบ้าคลั่งแน่เมื่อได้ยินข่าวนี้ และเมืองเหยียนจิงก็คงตกอยู่ในความยุ่งเหยิงไปทั้งเมือง

หลังจากพูดคุยกับหลินชื่อฉิง หลินเต๋อเทียนวางสายโทรศัพท์และตัดสินใจจะตรงไปที่อพาร์ทเม้นท์ของเสี่ยวฉีเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบแก่หลายสิ่ง ดังนั้น หลินเต๋อเทียนจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หลุดรอดไปยังภายนอกอย่างเด็ดขาด

แต่ไม่นาน หลินชื่อฉิงก็โทรมาหาเขาอีกครั้ง

“พ่อคะ ไซ่เชาหงเพิ่งจะโทรหาหนูเมื่อกี้นี้”

เสียงหวานใสของหลินชื่อฉิงดังขึ้นในสายโทรศัพท์

“หือ? แล้วเขาบอกว่าไงมั่ง?”

หลินเต๋อเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ชายสวมหน้ากากมาที่อพาร์ทเม้นท์ของเสี่ยวฉีค่ะ”

(ชายสวมหน้ากากที่ว่านี่คือเย่เฟิงนะครับ ส่วนอีกคนคือชายหน้ากากโครงกระดูก แต่ตอนแรกผมขี้เกียจพิมพ์ยาวเลยใช้แค่ชายสวมหน้ากากไป 55+)

หญิงสาวพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่แค่ซิวเหวินที่ถูกชายสวมหน้ากากทำร้ายจนบาดเจ็บ เสี่ยวฉีก็ถูกลักพาตัวไปด้วย ที่นี่ก็ไม่มีร่องรอยของเธออยู่เลย….”

ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวฉีโทรมาหาเธอ เสี่ยวฉียังไม่แม้แต่จะได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น หญิงสาวก็ถูกใครบางคนใช้กำลังขัดขวางและวางสายโรศัพท์ไป ดังนั้น หลินชื่อฉิงจึงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“แล้วเขารู้ได้ไงว่าเป็นชายสวมหน้ากาก?”

หลินเต๋อเทียนยังไม่ปักใจเชื่อทันที เขาจึงถามออกไป

“เพราะว่าก่อนจะโทรมาหาหนู เสี่ยวฉีโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขา”

ถึงแม้หลินชื่อฉิงจะรู้สึกแปลกใจเช่นกัน แต่เธอก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากความอีก เพราะตอนนี้เธอไม่มีข้อมูลอะไรอย่างอื่นอยู่เลย

ในเมื่อไซ่เชาหงสามารถทำทุกสิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหล่าหญิงสาวก็คงรู้สึกปลอดภัยที่สุดเมื่อได้อยู่ใกล้ๆกับเขา ยิ่งกว่านั้น ทั้งหลินชื่อฉิง ไซ่เชาหง และเสี่ยวฉีล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน การที่เสี่ยวฉีจะโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“ชายสวมหน้ากาก…..”

เมื่อหลินเต๋อเทียนได้ยินดังนั้น เขาก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “พ่อเข้าใจล่ะ ลูกรีบพาซิวเหวินไปโรงพยาบาลก่อน แล้วดูว่าอาการของเขาเป็นไงบ้าง”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

หญิงสาวพูดต่อ “อีกเรื่องค่ะพ่อ ไซ่เชาหงบอกหนูว่าเป้าหมายสูงสุดของชายสวมหน้ากากคือตัวเขา เพราะงั้นพ่อ…..”

“เข้าใจแล้ว”

หลินเต๋อเทียนคิดอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า

แน่นอน หลินเต๋อเทียนรู้ว่าชายสวมหน้ากากเป็นใคร เขาคือผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะที่เป็นเพื่อนกับเย่เฟิง เป็นไปได้ว่าเย่เฟิงต้องการกำจัดคู่แข่งทางด้านความรักของเขา จะมีใครไม่รู้บ้างว่าไซ่เชาหงและหลินชื่อฉิงมีความรู้สึกอย่างไรต่อกัน?

“พ่อจะไม่ปล่อยให้แฟนหนูต้องเป็นอะไร”

หลินเต๋อเทียนพูดก่อนจะวางสาย จากนั้น เขาจึงรีบเตรียมการสำหรับการนำคนของเขาไปประจำไว้รอบๆบ้านของไซ่เชาหง นี่ไม่ใช่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของไซ่เชาหงเท่านั้น เพราะเป้าหมายหลักก็คือการจับกุมตัวชายสวมหน้ากาก

หลังจากได้คุยกับพ่อของเธอ หลินชื่อฉิงก็รู้สึกสับสนในใจ

ถึงแม้ไซ่เชาหงจะบอกว่าเขารักเธอ แต่สำหรับหญิงสาวแล้ว ทุกๆครั้งเธอคิดถึงเขา เธอไม่เคยรู้สึกกับเขาแบบคนรักเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกที่เธอมีต่อคนทั่วไป มันมีเพียงความเฉยชาและไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ

แล้วแบบนี้เรียกว่าความรักอย่างงั้นหรอ?

ไม่หรอก ไม่ใช่แน่นอน…..

ในฐานะที่เป็นสมาชิกตระกูลหลิน หลินชื่อฉิงต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ และแม้แต่เรื่องของความรัก เธอก็ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของตระกูลมากกว่าสิ่งอื่นใด

ไซ่เชาหงนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะดูสมบูรณ์แบบ แต่เธอไม่รู้สึกอะไรกับเขาเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย  ความจริงแล้ว หญิงสาวเพียงแค่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตระกูลเท่านั้น เธอจึงถือว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้

หลินชื่อฉิงอดจะนึกถึงตอนที่ได้เจอกับเย่เฟิงครั้งแรกไม่ได้ เธอเพิ่งได้เจอกับเขาเมื่อตอนเช้านี้เอง

อาจบอกได้ว่าตอนนี้ หญิงสาวมีเพียงแค่สองตัวเลือก คือเลือกไซ่เชาหงที่ให้ผลประโยชน์แก่ตระกูลของเธอ หรือเลือกเย่เฟิงตามคำขอร้องของคุณปู่
เธอมีเพียงแค่สองตัวเลือกเท่านั้นใช่ไหม?

เมื่อหลินชื่อฉิงหันไปมองน้องชายของเธอที่หลับเป็นตายอยู่บนเก้าอี้ เธอเห็นชายหนุ่มยังคงมีน้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปากราวกับเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หญิงสาวจึงส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น หากว่าชายสวมหน้ากากที่เป็นเพื่อนกับเย่เฟิง เป็นคนทำให้หลินซิวเหวินต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนี้ และเป็นคนลักพาตัวเสี่ยวฉีไปจริงละก็ เธอจะไม่มีทางให้อภัยเขาอย่างเด็ดขาด

…………..

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เย่เฟิงไม่รู้เลยว่าเวลานี้ ไซ่เชาหงได้ป้ายสีเรื่องราวทั้งหมดไปให้เขา และเตรียมการต้อนรับสำหรับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว

ณ ป่าไผ่ เย่เฟิงได้สร้างความสับสนให้แก่ชายชรา จึงทำให้เขาสามารถสังหารชายชราได้อย่างราบรื่น หลังจากที่ชายชราตายแล้ว เขาได้เอาไหวิญญาณสีดำติดมือมาด้วย ก่อนจะตรงเข้าไปจัดการกับศพของไห่ถังและจ้าวอี้เปยจนกลายเป็นขี้เถ้ากระจายอยู่บนพื้น

เมื่อจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ ชายหน้ากากโครงกระดูกจึงขึ้นมายังริมฝั่งของทะเลสาบจำลอง

หลังจากสังหารชายชราได้แล้ว พวกเขาโยนร่างของชายชราลงไปในทะเลสาบจำลอง จากนั้นจึงมุ่งไปยังหมู่บ้านเหยียนซีในทันทีโดยไม่ให้เวลาสูญเปล่า ไม่ว่าจะเป็นชายหน้ากากโครงกระดูกหรือเย่เฟิง พวกเขาทั้งคู่ล้วนรู้ตำแหน่งของบ้านไซ่เชาหงดี และคิดว่าเป็นไปได้สูงที่ไซ่เชาหงจะอยู่ที่บ้านในเวลานี้

พวกเขาจึงรีบมุ่งไปยังบ้านของมันอย่างเร็วสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะลบชื่อของไซ่เชาหงออกไปจากโลกใบนี้!

ถึงอย่างนั้น เป้าหมายสูงสุดจริงๆของเย่เฟิงคือการได้มาซึ่งพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาล พลังนั่นถูกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของบ้าน และสำหรับเรื่องนี้ เขาย่อมไม่บอกต่อชายหน้ากากโครงกระดูกแน่นอน

ระหว่างทาง เย่เฟิงได้สำรวจและตรวจสอบไหวิญญาณสีดำอันนี้ ถึงอย่างนั้น เขาไม่พบความพิเศษอันใดของมันเลย มันดูไม่ต่างจากไหสีดำธรรมดาทั่วไปที่ไว้เก็บขี้เถ้าของคนตาย

‘มันต้องมีวิญญาณของจ้าวอี้เปยอยู่ในไหสีดำอันนี้แน่ แต่มันคงไม่สามารถกักเก็บวิญญาณไว้ได้ตลอดไป เพราะงั้น หากเรามีวรยุทธ์สักระดับ 10 ปีเมื่อไหร่ เราก็จะใช้‘ทักษะชุมนุมวิญญาณ’อันเชิญวิญญาณของเขาออกมาจากไหนี้ได้……’

เย่เฟิงคิดเช่นกันว่าไหอันนี้ต้องเป็นของล้ำค่า และเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สร้างศพเดินได้ขึ้นมา ยิ่งกว่านั้น สถานะของชายชราคนนั้นยังดูสูงไม่เบา ไหอันนี้จึงต้องเป็นของคุณภาพสูงแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม เย่เฟิงไม่ได้มีความสนใจจะใช้งานไหอันนี้ เขาเพียงแค่รอเวลา เมื่อใดที่เขามีวรยุทธ์ระดับ 10 ปี เขาจะอัญเชิญวิญญาณของจ้าวอี้เปยออกมา

ส่วนวิญญาณของคนอื่นๆ มันใช่เรื่องของเขาเสียที่ไหน?

ด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด พวกเขาทั้งคู่ใกล้มาถึงบ้านของไซ่เชาหงที่อยู่ในหมู่บ้านเหยียนซีแล้ว

“ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งผิดปกติ”

ชายหน้ากากโครงกระดูกพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “การที่นายฆ่าชายชราคนนั้นไป เรื่องนี้คงรู้ถึงหูไซ่เชาหงแล้ว และมันคงรู้ว่าพวกเราต้องมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อฆ่ามัน เพราะงั้น พวกเราต้องระวังให้มาก ไม่อย่างนั้น แผนที่วางไว้คงได้ล้มเหลวอย่างย่อยยับแน่”

“คิดว่ามันจะเตรียมพร้อมทุกสิ่งแล้วงั้นหรอ?”

เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณบอกผมมาก่อน สิ่งที่ถูกเรียกว่า‘มือดี’พวกนั้นมันคืออะไรกัน?”

“เจ้าพวกนั้นก็เหมือนพวกเราที่เป็นคนธรรมดา ถึงอย่างนั้น หลังจากได้รับยาเสพติดตัวใหม่จนครบหนึ่งปี เซลล์ทั่วร่างก็จะเกิดการกลายพันธุ์ และกลายเป็นสิ่งที่พวกเราได้เห็นในที่สุด”

ชายหน้ากากโครงกระดูกอธิบายต่อไปว่า “เมื่อพวกคนเหล่านั้นได้รับยาทางพันธุกรรมบางชนิดเข้าไปในร่างเป็นเวลานานจนเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ รูปร่างของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไป พร้อมกับความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น แม้แต่ผิวของพวกเขาก็กลายเป็นแข็งเหมือนเหล็ก

เมื่อเย่เฟิงได้ฟังดังนั้น เขาก็คิดในใจว่าการที่ชั้นผิวหนังของพวกนั้นแข็งเหมือนกับเหล็ก มันเป็นเพราะผลจากการกลายพันธุ์ของเซลล์อย่างงั้นหรอ?

ดูเหมือนว่าระดับเทคโนโลยีของเผ่ยเขิงกรุ๊ปจะสูงส่งจนน่าเหลือเชื่อ หากพวกมันทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จแล้วละก็ ประเทศนี้คงได้ถึงการอวสารอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ ตระกูลหลินไม่ได้รับรู้ถึงแผนการเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

“มาถึงสักที”

ชายหน้ากากโครงกระดูกพูดเบาๆเมื่อพวกเขามาถึงด้านนอกของหมู่บ้านเหยียนจิงภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อปกปิดร่องรอยอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่สามารถมาที่นี่ด้วยรถแท๊กซี่ได้ จึงทำได้แค่วิ่งมาด้วยฝีเท้าของตัวเอง

ชายทั้งสองได้เข้าไปแบบเงียบๆ และซ่อนตัวอยู่ข้างหลังโขดหินที่เรียงไว้รอบๆทะเลสาบจำลอง ก่อนจะเพ่งความสนใจไปยังบ้านของไซ่เชาหง เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ พวกเขาก็รับรู้ภัยคุกคามที่น่าสงสัยอยู่รอบๆบ้านหลังนั้น พวกเขาจึงไม่กล้าประมาท

“มีคนซุ่มอยู่รอบบ้านหลังนั้น”

เย่เฟิงจับตามองดูอย่างระวังและเอ่ยเตือนขึ้น เขามองเห็นเงาของคนมากมายในชุดอำพรางซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้รอบๆบ้านไซ่เชาหง สีหน้าของคนเหล่านั้นแสดงออกถึงความจริงจังและหนักแน่น

“ลงมือแยกกันเถอะ”

ชายหน้ากากโครงกระดูกมองไปยังแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ในบ้าน แล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “คนเหล่านั้นคือพวก NSA ที่ตระกูลหลินส่งมา ฉันจะเข้าไปดึงความสนใจของพวกนั้นให้ นายหาโอกาสเข้าไปในบ้านแล้วจัดการฆ่าไซ่เชาหงซะ!”

(NSA ย่อมาจาก National Security Agency – กองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ)

เย่เฟิงหรี่ตาลงพร้อมกับพยักหน้า

ตระกูลหลินส่งพวก NSA มาคุ้มกันไซ่เชาหงงั้นหรอ? คนพวกนั้นช่างแส่ไม่เข้าเรื่องจริงๆ

………………….

แปลโดย Solar Spark

Solar Spark: ฆ่ามานนนนนนน