บทที่ 112 กลายเป็นปัญญาอ่อน

ชายชรามีวรยุทธ์อยู่ที่ระดับ 20 ปี แน่นอนว่ามันเป็นคู่ต่อสู้ที่ท้าทายมากสำหรับเย่เฟิง

หากเย่เฟิงมีระดับวรยุทธ์อย่างน้อยสัก 10 ปี เขาคงสามารถจัดการชายชราคนนี้ได้อย่างง่ายดาย และส่งมันลงไปคุยกับรากมะม่วง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจินชี่ของเขาในปัจจุบัน เขาไม่อาจลงมือต่อชายแก่ผู้ใช้ความตายคนนี้อย่างซี้ซั้วได้

“เจ้าพวกทารกน้อย ไม่ต้องมาส่งสายตาให้กัน”

เมื่อชายชราเห็นเย่เฟิงและชายสวมหน้ากากหันไปมองหน้ากัน เขาก็เปล่งเสียงฮีดฮัด “ระดับวรยุทธ์ของแก่และข้าต่างกันราวฟ้ากับเหว วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของพวกแก!”

เมื่อพูดจบ ศพของไห่ถังและจ้าวอี้เปยก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างของทั้งคู่พุ่งเข้าหาชายสวมหน้ากาก ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เพื่อจัดการกับเย่เฟิง ชายชราได้กระโดดเข้ามาแล้วแสดงวิชากรงเล็บวิญญาณมรณะเข้าใส่ชายหนุ่ม

ในเวลานี้ ชายชราเตรียมตัวมาอย่างเต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเย่เฟิงที่จะจัดการผู้ใช้ความตายคนนี้ง่ายๆด้วยทักษะกรงเล็บมังกร

เย่เฟิงพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้อย่างใจเย็น ชายหนุ่มพบว่าเวลานี้เขาเสียเปรียบอยู่เล็กน้อย

ไม่ใช่เพราะชายชราที่มีวรยุทธ์อยู่ในระดับ 20 ปีเท่านั้น ชายสวมหน้ากากยังเป็นเพียงแค่คนธรรมดาซึ่งความแข็งแกร่งของเขาและชายชราต่างกันมากเกินไป เย่เฟิงไม่อาจมั่นใจในตัวของชายสวมหน้ากากเต็มร้อยได้ เพราะฉะนั้น เขาต้องคอยสอดส่องชายคนนั้นไปด้วยในระหว่างการต่อสู้

ด้วยทักษะสะกดจิตและทักษะอำพราง ทักษะทั้งสองนี้คือทักษะเซียนที่เป็นไพ่ตายของเขาที่สามารถใช้ได้อย่างไรกังวลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ หากเขาสามารถใช้มันในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ละก็ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามมีวรยุทธ์ระดับ 20 ปี ก็ไม่อาจต่อต้านทักษะทั้งคู่นี้ได้

แม้จะใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงา เย่เฟิงก็พบว่าความรวดเร็วของชายชราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลย แต่จะให้เข้าสู้ตรงๆก็คงไม่ไหว การเอาชนะด้วยความเร็วจึงยังคงเป็นเพียงหนทางเดียวของชายหนุ่ม……

เย่เฟิงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำอย่างไรดี สายตาของเขาจับจ้องไปยังไหวิญญาณสีดำที่อยู่ในมือของชายชรา หลังจากวางแผนเอาไว้ในใจทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาเพื่อสร้างภาพติดตาไว้ทั่วทั้งป่าไผ่

“หึ คิดจะหนีงั้นรึ?”

ชายชราเค้นเสียงขึ้นเมื่อเห็นดังนั้น เขาใช้วิชากรงเล็บวิญญาณมรณะปลดปล่อยพลังชี่ภายในตัดผ่านภาพติดตาทั้งสอง ก่อนจะใช้มันอีกครั้งเข้าใส่ร่างจริงของเย่เฟิง!

ลำพังเพียงแค่ทักษะย่างก้าวไร้เงานั้นไม่พอที่จะสลัดชายชราให้หลุดจากการไล่ล่าได้ สายตาของผู้ใช้ความตายชราคนนี้ยังคงจับจ้องร่างของเย่เฟิงอย่างเหนี่ยวแน่น

แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเย่เฟิงที่อยู่ภายใต้หน้ากากก็พลันเปลี่ยนไป มุมปากของเขายกโค้งขึ้น

แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้วางแผนจะวิ่งหนีหางจุกตูด ความจริงแล้ว เขาได้ใช้ทักษะอำพรางออกมา ขณะวิ่งไปทั่วป่าไผ่เพื่อรอให้เวลาอันเหมาะสมมาถึง ถึงแม้ว่าทักษะอำพรางของชายหนุ่มอาจจะไม่สามารถปกปิดลมหายใจของเขาได้ แต่หากใช้มันอย่างต่อเนื่องและนานพอ ทักษะนี้ก็ย่อมครอบงำจิตใจของชายชราได้แน่

ปัง!

ทันใดนั้น เสียงยิงปืนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

ชายสวมหน้ากากลั่นไกใส่ศพของจ้าวอี้เปยและไห่ถังอย่างใจเย็นเพื่อทำให้ร่างทั้งสองเคลื่อนไหวได้ช้าลง หลังจากนั้น เขาก็กระโดดลงไปในทะเลสาบจำลอง

ถึงแม้ว่าศพทั้งสองจะวิ่งไล่มาจนถึงริมทะเลสาบ แต่ก็ไม่พบร่องรอยของชายสวมหน้ากากแม้แต่น้อย พวกมันตกอยู่ในอาการสับสนและทำอะไรไม่ถูก เพราะพวกมันถูกชายชราสั่งให้จับตัวชายสวมหน้ากากเอาไว้ แต่เมื่อชายคนนั้นกระโดดลงไปในน้ำ พวกมันจึงไร้ซึ่งเป้าหมาย และกำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี?

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ศพทั้งสองหันกลับไปหาชายชราเพื่อช่วยเขาจัดการกับเย่เฟิง แต่ทันใดนั้น เสียง“ปัง”ก็ดังลั่นขึ้นอีกครั้ง เพราะชายสวมหน้ากากโผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำและลั่นไกใส่หน้าผากของศพไห่ถังก่อนจะดำน้ำลงไปอีกครั้ง

“Grrr grrr ……”

(เสียงร้องเหมือนซอมบี้)

เพียงหนึ่งนัด ศพทั้งสองก็หันกลับมาสนใจทะเลสาบจำลองอีก พวกมันเดินวนเวียนไปมาอยู่ริมทะเลสาบ และเลิกล้มความคิดที่จะไปช่วยชายชราจัดการกับเย่เฟิง

เย่เฟิงยังคงตื่นตัวและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆทะเลสาบจำลองอยู่เสมอ เขาคิดว่าชายสวมหน้ากากคนนั้นชาญฉลาดอย่างมากในการหาวิธีดึงความสนใจของศพเดินได้พวกนั้น ขณะเดียวกัน เย่เฟิงรับรู้แล้วว่าไหวิญญาณในมือของชายชราสามารถปลดปล่อยวิญญาณข้างในออกมาแล้วก่อตัวขึ้นเป็นศพเดินได้ นอกจากนั้น ความแข็งแกร่งของศพร่างนั้นยังเทียบได้กับความแข็งแกร่งเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่

ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้ ความสามารถของจ้าวอี้เปยนั้นอ่อนแอมาก เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งและความเร็วของไห่ถัง
หากศพของไห่ถังและชายชราเข้าจู่โจมใส่เย่เฟิงพร้อมกัน โอกาสชนะของชายหนุ่มก็คงกลายเป็นศูนย์ แต่ด้วยการดึงความสนใจของชายสวมหน้ากาก เย่เฟิงจึงมีโอกาสในการจัดการกับชายชราคนนี้ได้

ในขณะที่ถูกชายชราไล่ล่าอย่างดุเดือด เย่เฟิงวิ่งหนีไปรอบป่าไผ่มาสองรอบแล้ว ถึงอย่างนั้น ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวของเขา มันเป็นแผนที่เรียบง่ายในการจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้ เมื่อเรียบเรียงขั้นตอนทั้งหมดในหัวได้แล้ว เย่เฟิงก็ปลดปล่อยเจินชี่ภายในร่างออกมาเพื่อทำตามแผนที่วางไว้

ในสายตาของชายชรา ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ในป่าไผ แต่ทันใดนั้น ภาพที่เห็นก็พลันกลายเป็นเมฆหมอกเหมือนดั่งสรวงสวรรค์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชายชรารู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

เกิดอะไรขึ้น?

ในเมื่อเวลานี้ยังเป็นยามค่ำคืน แต่ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสว่างจ้า นี่มันแปลกเกินไปแล้ว

แย่แล้ว หรือนี่จะเป็นฝีมือของโม่จิ่วเกอ?

ชายชรามีปฏิกิริยาทันทีเมื่อรับรู้ว่าสถารการณ์ตอนนี้ได้ต่างไปจากเดิม ดังนั้น เขาจึงออกมือไว้ไม่ได้อีกต่อไป ชายชรากางแขนอันเหี่ยวย่นทั้งสองข้างออก พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังชี่ภายในที่มีกลิ่นอายแห่งความตายออกมา

ป่าโครงกระดูก!

วิชากรงเล็บวิญญาณมรณะเป็นทักษะวรยุทธ์ที่ใช้สังหารเป้าหมายให้ตกตายอย่างอนาถ ชายชราตัดสินใจเข้าต่อสู้อย่างเต็มกำลังเมื่อรู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกไป เจ้าเด็กโม่จิ่วเกอนั่นไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา หากเขาไม่แสดงฝึมือออกมาอย่างเต็มที เขาต้องพ่ายแพ้ให้แก่มันแน่!

ชายชรากระทืบเท้าอย่างรุนแรงทีละข้าง ไม่นาน พลังชี่ภายในของเขาที่ไหลออกมาก็ก่อร่างขึ้นเป็นป่าโครงกระดูก รัศมีของทักษะนี้ค่อนข้างกว้างและปกคลุมไปทั่วป่าไผ่แห่งนี้พร้อมทั้งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันคืบคลานเข้าไปถึง

“ช้าไปหน่อยนะปู่”

เย่เฟิงหัวเราะ เวลานี้ เขานั่งอยู่บนต้นไผ่ขณะมองดูทักษะสังหารอันน่าเกรงขามที่ชายชราที่ใช้ออกมา

ความจริง ป่าไผ่แห่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่เพราะเย่เฟิงได้ใช้กระแสเจินชี่ของเขาเปลี่ยนภาพที่เห็นให้กลายเป็นแดนสวรรค์ในสายตาของชายชรา เมื่อชายชราใช้ทักษะของเขาโดยกลายปลดปล่อยพลังชี่ภายในออกมาจนก่อให้เกิดเป็นป่าโครงกระดูกขึ้น ในเวลานี้ เย่เฟิงก็ได้หายไปจากพื้นดินและขึ้นไปอยู่บนต้นไผ่ หากปฏิกิริยาของชายหนุ่มไม่รวดเร็วพอ เขาคงตกตายไปในตอนนั้นแล้ว

ป่าโครงกระดูกนั้นปรากฏขึ้นมาชั่วครู่เพียงไม่กี่วินาที จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และบริเวณโดยรอบก็กลับคืนเป็นป่าไผ่ดังเดิม

โดยไม่คิดให้มากความ เย่เฟิงกระโดดลงมาจากต้นไผ่และพุ่งเข้าหาชายชราอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ชายหนุ่มวาดกระบี่แล้วแทงเข้าใส่อกของชายชราทันที!

…………..

หลังจากจัดการชายชราลงได้ เย่เฟิงและชายสวมหน้ากากไม่ได้กลับไปยังอพาร์ทเม้นท์ของเสี่ยวฉี สำหรับพวกเขาแล้ว การสังหารไซ่เชาหงถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้

ถึงอย่างนั้น ใน 20 นาทีต่อมา รถแลมโบกินี่สีแดงได้มาถึงยังอพาร์ทเม้นท์ของเสี่ยวฉี หลินชื่อฉิงก้าวลงมาจากรถแล้วรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสามด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าอันงดงามของเธอปรากฏร่องรอยของความกังวล

“เสี่ยวฉี เกิดอะไรขึ้น? ทุกอย่างโอเคไหม? เธอเป็นอะไรรึเปล่า?”

หลินชื่อฉิงเปิดประตูห้อง และอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกมาด้วยความร้อนใจ

แต่หญิงสาวไม่พบเสี่ยวฉีอยู่ในห้อง เวลานี้มีเพียงหลินซิวเหวินน้องชายของเธอนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้สติ

หลินชื่อฉิงรีบตรงเข้าไปเขย่าตัวเขาเพื่อปลุกให้ตื่น ไม่นาน หลิวซิวเหวินก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างมึนงงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหญิงสาว

“ซิวเหวิน เสี่ยวฉีอยู่ที่ไหน? บอกมาเร็ว”

หลินชื่อฉิงรีบถามออกไปด้วยความร้อนใจ เธอได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวฉีเมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่าให้เธอรีบมาที่นี่ แต่เมื่อมาถึง เสี่ยวฉีกลับหายตัวไปแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ จะให้หลินชื่อฉิงใจเย็นอยู่ได้อย่างไร?

แต่เพียงครู่หนึ่ง ปฏิกิริยาของหลินซิวเหวินก็ทำให้หญิงสาวกลายเป็นโง่งม

“อา อ่ะ อ๋า?”

หลินซิวเหวินยืนขึ้นอย่างช้าๆ เขามองมายังหลินชื่อฉิงด้วยใบหน้าที่ปราศจากความรู้สึก และในเวลาเดียวกัน น้ำลายก็ไหลยืดออกมาจากมุมปากของชายหนุ่มราวกับคนปัญญาอ่อน ยิ่งกว่านั้น ปฏิกิริยาของเขายังเชื่องช้าจนผิดปกติ

“ซิวเหวิน เกิดอะไรขึ้น? ซิวเหวิน!”

หลินชื่อฉิงยังคงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เหตุใดหลิวซิวเหวินน้องชายของเธอถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?

……………………

แปลโดย Solar Spark

Solar Spark: ชายชรานี่ บทจะตายก็ตายง่ายเกิ๊น