บทที่ 110 ศพเดินได้

ข้อแรก ทำไมศพของจ้าวอี้เปยถึงมาปรากฏที่นี่? และข้อสอง ชัดเจนว่าร่างนั้นไร้ชีวิตแล้ว แต่ทำไมถึงยังขยับตัวได้?

หัวใจของเย่เฟิงรู้สึกหนาวเย็น เขาเอ่ยขึ้นเสียงสั่น “เสี่ยวฉีอยู่ห้องไหน เราต้องรีบไปหาเธอเดี๋ยวนี้!”

“อยู่ที่ชั้น 4 ตึก 2 ……..”

ชายสวมหน้ากากเพิ่งจะเอ่ยขึ้นไม่ทันจบ เย่เฟิงก็ใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาพุ่งไปที่นั่นทันทีอย่างไม่ลังเล

ในโลกเทวะนั้น มีทักษะที่เกี่ยวพันกับคนตายมากมาย อย่างเช่นทักษะควบคุมวิญญาณซึ่งสามารถควบคุมศพของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ ยิ่งกว่านั้น มันยังคงความสามารถก่อนตายของศพเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวั่นเกรงเอามากๆ

แต่บนโลกใบนี้ มันมีทักษะประเภทนั้นอยู่จริงๆงั้นหรือ?

เย่เฟิงไม่คิดอะไรให้มากความอีก เขาเพียงแค่วิ่งอย่างรวดเร็วจนไม่นานก็มาถึงที่หน้าตึก 2 เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ใจของเขาก็พลันสั่นสะท้าน เขามองเห็นชายคนหนึ่งในชุดที่ขาดวิ่นเหมือนกับจ้าวอี้เปย ยืนอยู่บนระเบียงชั้น 3 ของตึก

“ขวานวายุ?!”

ใจของเย่เฟิงเต้นรัวด้วยความแตกตื่น ร่างสูงและกำยำร่างนั้น มีใบหน้าที่ซีดเซียวและมีรอยแผลบริเวณลำคอที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน รอยแผลนี้เกิดจากมีดบินของจูไป่เหนี่ยวและเย่เฟิงยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ดี ศพของขวานวายุถูกหน้าบากและจ้าวอี้เปยโยนทิ้งลงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไป แล้วร่างของมันมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?

ถึงแม้จะยังสับสนกับสิ่งเหล่านี้ แต่เย่เฟิงไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรมากอีก

โดยไม่รอให้ชายสวมหน้ากากตามมา เย่เฟิงควบแน่นเจินชี่ของเขาไว้ที่เท้าทั้งสองข้าง ก่อนจะกระโดดและใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาควบคู่ไปด้วยกัน ชายหนุ่มกระโดดขึ้นไปบนระเบียงชั้น 3 ในทันที!

หากเป็นคนทั่วไปในโลกยุทธภพที่มีวรยุทธ์ระดับ 5 หรือแม้แต่ 10 ปี ก็ไม่อาจกระโดดสูงถึงระดับนี้ได้ ถึงอย่างนั้น เย่เฟิงเพียงอาศัยความแข็งแกร่งของเจินชี่ควบคู่ไปกับทักษะย่างก้าวไร้เงา ความสามารถของเขาก็สูงเหนือล้ำคนธรรมดาไปหลายต่อหลายเท่า

ฉัวะ!

ก่อนที่ขวานวายุจะได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ประกายกระบี่เจินชี่สีแสดในมือเย่เฟิงก็พลันฉายวาบ หัวของมันขาดกระเด็นพร้อมกับร่างกำยำที่ล้มชนผนังของระเบียงอย่างรุนแรง และทันใดนั้น ร่างของมันก็พลันถูกเผาไหม้จนเหลือเพียงขี้เถ้ากองหนึ่ง!

เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ใจของเย่เฟิงพลันหยุดเต้นไปชั่วขณะ พร้อมกับสมองของเขาที่ว่างเปล่าไปชั่วครู่ ในเมื่อศพของขวานวายุเป็นแบบนี้ ถ้างั้น ศพของจ้าวอี้เปยที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้ก็……

“ตามที่คาดไว้ เขามาที่นี่…….”

เวลานี้ น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นมาจากในห้องของระเบียงแห่งนี้ พร้อมด้วยเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวที่ดั่งตามมา นอกจากนั้น ยังมีเสียงคำรามของชายหนุ่มดังขึ้นราวกับคนไร้สติ

“เสี่ยวฉี , หลินซิวเหวิน? แล้วชายชราคนนั้นเป็นใครกัน?”

เย่เฟิงระมัดระวังตัวมากขึ้น เขากำกระบี่เจินชี่ในมือแน่น ก่อนจะใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาอีกครั้งเพื่อพุ่งทะลุประตูระเบียงเข้าไปในห้อง

เย่เฟิงมองเห็นห้องนอนสีชมพูของหญิงสาวที่หลินซิวเหวินกำลังยืนอยู่ในอาการที่แปลกประหลาด ร่างช่วงบนของเขาเปลือยเปล่าและมองเห็นผิวหนังที่มีสีแดงเข้ม ชายหนุ่มเปล่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าขณะผลักหญิงสาวคนหนึ่งไปที่มุมห้อง ซึ่งหญิงสาวคนนี้ก็คือเพื่อนรักของหลินชื่อฉิงและเป็นเจ้าของร้านกาแฟฉีฉี เธอคือเสี่ยวฉีนั้นเอง

แต่ตอนนนี้ มีรอยคราบเลือดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยแจ่มใสพร้อมด้วยชุดราตรีสีขาวของเธอที่ขาดรุ่งริ่ง หญิงสาวถือรองเท้าส้นสูงไว้ในมือขณะพยายามทุบตีหลินซิวเหวินเพื่อกันไม่ให้เขาเข้ามาใกล้เธอ

ชัดเจนว่าหลินซิวเหวินคลุ้มคลั่งราวกับสัตว์ป่าไปแล้ว และในสภาวะคลุ้มคลั่งนี้ เขาพยายามทำอันตรายต่อเสี่ยวฉี แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาที่จะนั่งรอเฉยๆให้คนมาช่วย เธอจึงพยายามทุบตีหลินซิวเหวินไปพร้อมๆกับการร้องขอความช่วยเหลือ

ถึงอย่างนั้นนอกจากสองคนนี้ ภายในห้องก็ไม่มีคนอื่นอยู่อีกเลย

“แต่เมื่อกี้เราได้ยินเสียงชายชราไม่ผิดแน่?”

เย่เฟิงยังคงระมัดระวังตัวสุดขีด เขาทิ้งภาพติดตาเอาไว้ด้านหลังขณะพุ่งไปปรากฏตัวอยู่หน้าเสี่ยวฉี และในเสี้ยววินาทีถัดมา ชายหนุ่มเตะเข้าใส่ร่างที่คลุ้มคลั่งของหลินซิวเหวินอย่างแรงจนลอยไปชนกำแพงด้วยเสียงดัง “ปัง”

“เป็นอะไรไหม?”

เย่เฟิงที่สวมหน้ากากใบหน้าบูดบึ้งไว้ หันมามองเสี่ยวฉีและเอ่ยถาม

“ม…ไม่เป็นไร….”

หญิงสาวยังตกอยู่ในอาการหวาดผวา ดวงตาสีครามของเธอจับจ้องไปมายังเย่เฟิงด้วยความตื่นกลัวอย่างระวังตัว

ชายสวมหน้ากากคนนี้เป็นใครกัน? เขาเข้ามาทางระเบียงได้ไง? สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้หญิงสาวสงสัย ถึงแม้ว่าชายสวมหน้ากากคนนี้จะเตะร่างอันคลุ้มคลั่งของหลินซิวเหวินออกไปเพื่อช่วยเธอไว้ แต่มันอาจกลายเป็นการหนีเสือปะจระเข้ก็ได้ ใครจะรู้

เย่เฟิงรับรู้ว่าเธอคนนี้ยังคงหวาดกลัวและสงสัยในตัวเขา แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรอีก เขาเดินไปยังร่างของหลินซิวเหวินด้วยความระวัง และตอนนี้ เย่เฟิงแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครคนอื่นในห้องนี้อีก ชายหนุ่มจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

เย่เฟิงมองไปยังหลินซิวเหวินและเห็นดวงตาของเขาแดงเป็นสีเลือด ผิวหนังของชายหนุ่มคนนี้ร้อนเหมือนน้ำเดือดและดูเหมือนว่าตอนนี้เขายังมีสติหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ยิ่งกว่านั้น เสียงครวญครางหลังจากถูกเย่เฟิงเตะไปชนผนัง แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้บาดเจ็บหนัก เขาคงลุกขึ้นมาไม่ได้สักพัก หรือแม้แต่คลานยังเป็นเรื่องยาก

“เกิดอะไรขึ่้นกับเขา?”

เย่เฟิงถามด้วยเสียงโทนต่ำ

“ฉันไม่รู้แล้วก็……”

เสี่ยวฉีเอ่ยขึ้นมาด้วยความกลัว “ก่อนหน้านี้ ชายชราคนหนึ่งมาด้วยกันกับเขา เขาคิดจะ คิดจะ…..”

“ชายชราคนหนึ่งงั้นหรอ?”

เย่เฟิงถามซ้ำอีกครั้ง

“เขาเป็น….เขาเป็นมนุษณ์รึเปล่า?”

เสี่ยวฉีมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครอีก มันจึงทำให้เธอรู้สึกขนลุกขนพอง

ปัง!

ไม่ไกลจากหอพักแห่งนี้ มีเสียงยิงปืนดังขึ้นเบาๆซึ่งเย่เฟิงสามารถรับรู้ได้ทันที

“เธอดูแลเจ้าหมอนี่ไปก่อน ฉันต้องไปแล้ว”

โดยไม่คิดให้มากความ เย่เฟิงตรงเข้าไปต่อยใส่ร่างของซานเชาแห่งตระกูลหลินจนเขาหมดสติ ก่อนจะกระโดดออกไปทางระเบียง เสียงยิงปืนที่ดังขึ้นเมื่อกี้ ชัดเจนว่าเป็นของชายหน้ากากโครงกระดูก ซึ่งเขาอาจจะกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู หรือบางทีมันอาจจะเป็นชายชราคนนั้น!

(note: ซานเชาคือบุตรชายคนที่สาม)

เสี่ยวฉีพลันรู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นเย่เฟิงกระโดดออกไปทางระเบียงชั้น 3

เธอรีบวิ่งไปที่ระเบียงอย่างรวดเร็วและเมื่อมองลงมา หญิงสาวก็ไม่เห็นใครอยู่สักคนในบริเวณนี้แล้ว เธอจึงหันกลับมามองร่างที่ฟุบอยู่ของซานเชาแห่งตระกูลหลิน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้เสี่ยวฉีรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสั่นหลัง และด้วยความว้าวุ่นใจ หญิงสาวรีบวิ่งไปล้วงเอาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใต้หมอน ก่อนจะกดโทรออกไปหาหลินชื่อฉิงอย่างเร่งรีบ

…………..

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เย่เฟิงกระโดดลงมาจากระเบียงชั้น 3 และมุ่งไปยังที่ที่เสียงปืนดังขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ใจกลางแหล่งที่พักอาศัยแห่งนี้นั้น มีทะเลสาบจำลองที่ล้อมรอบด้วยป่าไผ่อยู่ เมื่อเย่เฟิงมาถึงที่นี่ เขามองเห็นร่างที่ซีดเซียวมากมายในป่าไผ่ซึ่งทำให้สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที

ร่างทั้งหมดนั้นล้วนเป็นคนที่เขาคุ้นเคยทั้งสิ้น!

เย่เฟิงมองเห็นจูไป่เหนี่ยว และศิษย์ทั้งสองจากสำนักหมัดเทพทวารา หลัวลี่และหลัวเล่ย รวมทั้งจ้าวอี้เปยและคนอื่นๆ ร่างอันซีดเซียวทั้งแปดในชุดที่ขาดวิ่นกำลังรอบล้อมชายหน้ากากโครงกระดูกเอาไว้ ชายคนนั้นกำลังอยู่อยู่ในสถานะการลำบากเพราะแม้ว่าเขาจะมีปืนอยู่ในมือ แต่เมื่อเขาลั่นกระสุนใส่หน้าผากของจูไป่เหนี่ยว ร่างอันซีดเซียวร่างนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดฝีเท้าลงแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นชายสวมหน้ากากถูกล้อมเอาไว้ภายใน เย่เฟิงรีบควบแน่นเจินชี่ไปที่เท้าเพื่อใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงา ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาชายสวมหน้ากากเพื่อหมายจะพาเขาออกจากวงล้อมอันหนาแน่น

“เจ้าพวกนั้นมัน……เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

เย่เฟิงหยุดฝีเท้าลงใกล้ๆกับทะเลสาบจำลอง ก่อนจะถามชายสวมหน้ากากเสียงสั่น

“ศพพวกนั้นถูกชายชราคนหนึ่งควบคุมไว้ มันคือผู้ใช้ความตายที่มาจากทางตะวันตกของหูหนาน”

ชัดเจนว่าชายสวมหน้ากากล่างรู้ลึกตื้นหนาบางในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดต่อด้วยเสียงหนักแน่น “ตั้งแต่ที่มันถูกขับออกมาจากนิกาย มันก็มาที่เมืองเหยียนจิง และได้พบกับไซ่เชาหงโดยบังเอิญ…..”

ผู้ใช้ความตายที่ควบคุมศพเดินได้งั้นรึ?

เย่เฟิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนิยายเหล่านั้น แต่เขาคาดเดาว่านั่นคงเป็นนิกายในโลกยุทธภพ และจากคำพูดของชายสวมหน้ากาก ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าศัตรูที่แท้จริงของเขาไม่ใช่พวกศพเดินได้เหล่านั้น แต่เป็นชายชราที่ซ่อนตัวอยู่

“เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก”

ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงแหบแห้งดังสะท้อนมาจากทุกสารทิศ “ข้าคือผู้ใช้ความตาย! ข้าถูกหักหลังจากพวกคนทรยศ! ข้าจึงหนีมาจากที่นั่นและต้องขอบคุณความเมตตาของท่านไซ่เชาที่ให้ที่สิงสถิตแก่ข้า ข้าจึงทำงานให้เขาเป็นการตอบแทน ข้าขอรู้ชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้มีเกียรติหน่อยได้หรือไม่”

“โม่จิ่วเกอ”

เย่เฟิงตอบไปเบาๆอย่างระวังตัว

การที่ได้ยินเพียงเสียงอันแหบแห้งขณะที่ชายชราซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทำให้เย่เฟิงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น ศพทั้งแปดที่ตกอยู่ในการควบคุมของชายชรา กำลังก้าวเข้ามาหาเขาเรื่อยๆแล้ว

เมื่อเย่เฟิงมองไปยังใบหน้าอันซีดเซียวของจ้าวอี้เปย ใจของเขาก็พลันกลายเป็นมืดครึ่ม

ชายหนุ่มคนนี้ยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยตัวเขา แต่เมื่อตายลง ชายหนุ่มคนนี้กลับไม่ได้ไปสู่สุคติ ศพของเขาถูกผู้ใช้ความตายทำให้กลายเป็นผีดิบและไล่ทำร้ายผู้คนไปทั่ว สิ่งเหล่านี้ทำให้เย่เฟิงรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก!

……………………

แปลโดย Solar Spark

Solar Spark : อย่าให้พี่เย่ต้องโมโหนะเฟร้ย