“ เหอะ ข้าชอบเจ้าที่เชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้นะ แต่ทว่าก็มีอยู่หลายครั้ง ที่การเชื่อมั่นในตัวเองก็ทำให้ตนเองยากที่จะถอนตัวออกจากบางสถานการณ์ได้ “ เจรียงเล้อหัวเราะคราหนึ่ง จากนั้นก็มองไปบนผิวหนังของเขา ที่เริ่มจะเกิดอาการสั่นกระตุกอย่างค่อยๆ เขาเพียงแค่ก้าวออกไปอย่างช้าๆ ในตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็อัดแน่นไปด้วยพลังมากมายมหาศาล อีกทั้งเลือดลมก็เริ่มที่จะแปรเปลี่ยนไปถึงจุดเดือดเหลือคณาก็มิปาน

 

“ เปรี้ยง “

 

เลือดลมที่กำลังเดือดพล่านทั่วทั้งร่าง ก็เริ่มที่จะหยุดลงในเวลาต่อมา เจรียงเล้อขยับร่างกายคราหนึ่ง ตรงเข้าไปยังบริเวณจุดที่เยี่ยจงอยู่ หลังจากนั้นก็ใช้ออกด้วยพลังดัชนีคู่กันน่าหวาดกลัว นัยน์ตาปกคลุมไปด้วยแสงประกายคมกล้าสาดออกมา เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับกระแสไฟฟ้าก็มิปานเล็งไปยังหัวใจของเยี่ยจง

 

“ เปรี้ยง “

 

ในตอนนี้กำลังภายในของเยี่ยจงกำลังแผ่ออกมาจนแทบจะระเบิดในทันที มีเรียวทั้งคู่ได้ยื่นออกมา ผิวหน้าในปกคลุมไปด้วยสิ่งที่เป็นรอยออกมาคล้ายรอยสักปรากฏออกมา จากนั้นเขาก็ใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือเข้าปะทะ โดยการเข้าปะทะกับพลังดัชนีของเจียงเล่อโดยตรง

 

เสียงแหลมเล็กดังออกมาทั่วทั้งบริเวณในตอนนี้ การระเบิดของสายลมหมุนวนไปมา จนทำให้ใบไม้ที่อยู่ตามพื้นดินถูกเป่าลอยขึ้นมา ร่างของทั้งสองคนเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังถอยกายไปพร้อมกันอยู่หลายก้าว

 

“ พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่หรือ ? ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองขนาดนี้ “

 

เจียงเล่อมองไปที่เยี่ยจงคราหนึ่ง ในการที่เยี่ยจงสามารถรับมือกับกระบวนท่านี้ของเขาได้ เขานั้นก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรมากหนัก เห็นได้ชัด หากเยี่ยจงไม่มีความสามารถเช่นนี้แล้วละก็ เขาคงไม่สามารถกระทำเรื่องราวเช่นก่อนหน้านี้ได้

 

“ทว่า ก็ชั่งไร้เดียงสาซะเหลือเกิน พลังฝึกปรือขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ก็สามารถทำให้เจ้ามีความสำเร็จในที่แห่งนี้ได้แล้วละก็ เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังซะแล้วละ “

 

นัยน์ตาของเจียงเล่อทอประกายเย้ยหยันคราหนึ่ง อีกทั้งสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขานั้นให้ความรู้สึกที่น่ารังเกียจอยู่ส่วนหนึ่ง จากที่เขามอง ผู้อ่อนแออย่างเยี่ยจงเพียงคนหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะอยู่ในสายตาของตน ถึงแม้จะมีความแข็งแกร่งของพลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เช่นเดียวกันก็ตาม ?

 

“ ชี่ “

 

ยังคงอยู่ในอาการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เจียงเล่อเขย่งเท้าขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย ร่างกายก็แปรเปลี่ยนสว่างขึ้นมา เคลื่อนไหวดุจสายฟ้าพุ่งตรงเข้าไปหาบริเวณที่เยี่ยจงอยู่

 

“ ชี่ “

 

ความหน้ากลัวของดัชนีที่ผ่านมากับสายลมให้ความรู้สึกคมอย่างที่สุด พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าเข้าหาคอหอยของเยี่ยจง เห็นได้ชัดว่า เจียงเล่อผู้นี้มีความเชื่อมั่นถึงพลังของตนเองอย่างถึงขีดสุด อีกทั้งความเร็วของเขาก็ยังเร็วเป็นอย่างมาก

 

สีหน้าของเยี่ยจงยังคงเย็นชาดุจดั่งเดิม เขาใช้มือขวาเข้าปะทะในทันที การเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาดของเจียงเล่อยังไงก็ยังอยู่ในสายตาของเขา ฝ่ามือเข้าปะทะกันอย่างหนัก

 

“ ก๊ง “

 

เสียงเล็กแหลมดังกระจายออกมาในตอนนี้ การปะทะกันระหว่างฝ่ามือและดัชนีของทั้งสอง ฝุ่นที่อยู่ตามพื้นก็ได้ลอยคลุ้งปกคลุมโดยรอบ เพียงแต่ว่าการเข้าปะทะในครั้งนี้ ร่างกายที่มีเส้นของรอยสักของเยี่ยจงมิได้ขยับ อีกทั้งร่างกายของเจียงเล่อก็ได้สั่นเทาขึ้นมาในทันที พลังดัชนีที่ใช้ออกเหล่านี้ได้ถูกปัดออกไปเป็นเกลียว ภายใต้พลังฝ่ามือนี้ของเยี่ยจง เขานั้นมั่นใจในการโจมตีว่าจะสามารถเยี่ยจงบาดเจ็บสาหัสได้

 

“ เปรี้ยง “

 

ร่างกายที่กำลังสั่นเทาอย่างช้าๆในตอนนี้ของเจียงเล่อ จากนั้นหกล้มคลุกคลานถอยไปทางด้านหลังราวสิบก้าว อีกทั้งสีหน้าในตอนนี้ก็ขาวซีดอย่างที่สุดราวกับกระดาษ ที่ด้านหน้าในวินาทีนั้น เขารู้สึกได้ว่าเขามีพลังฝีมือความสามารถเพียงพอที่จะล้มเยี่ยจงได้ เขาเชื่อมั่นว่าอย่างนั้น เยี่ยจงที่มีพลังอันอ่อนด้อยที่อยู่แค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เท่านั้น จริงๆแล้วไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของเขา แต่ว่า ในตอนนี้เพียงแค่ลงมืออย่างสุดกำลังในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น เขา กลับต้องพ่ายแพ้เสียเอง ?

 

นอกจากเจียงเล้อแล้ว ยังมียอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินอีกหลายคนที่ยังฝืนยืนขึ้นมา ในตอนนี้ใบหน้าของแต่ละคนราวกับกำลังเจอผีหลอก ถึงแม้เมื่อครู่พวกเขาจะพ่ายแพ้ไปก็ตาม แต่ว่าบนใบหน้าก็ยังไม่ได้แสดงถึงความหวาดกลัวมากมายเท่าใด แต่ว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งใบหน้าต่างอยู่ในอาการตกใจอยู่สุดขีด ในเวลาที่เหม่อมองไปร่างของเยี่ยจง พวกเขาก็อดใจไว้ไม่ไหวที่ต้องก้าวถอยหลังเอง

 

ทว่า เยี่ยจงในตอนนี้ก็มิได้มองดูเหล่ายอดฝีมืออันธรรมดาสามานแม้เพียงหางตา แต่กลับจ้องมองอย่างดุดันไปที่ร่างกายที่กำลังสั่นเทาร่างนั้น นัยน์ตาทอประกายเย็นเยียบไร้ที่เปรียบ

 

“ เจ้า ไร้ยางอาย “

 

ร่างกายเจียงเล่อสั่นเครือ บริเวณริมฝีปากยังคงมือเลือดไหลออกมาเป็นสาย ฝ่ามือของเยี่ยจงเมื่อครู่นั้น เพียงแต่แค่หักนิ้วมือทั้งสองของเขาทิ้งไปก็เท่านั้นเอง ในพลังฝ่ามือของของเขาประกอบด้วยความแหลมคมราวมีดโกนก็มิปานที่สามารถตัดรอนไปจนถึงกำลังภายในที่อยู่ในร่างได้ ในตอนนี้ให้ความรู้สึกเจ็บปวดจนถึงขั้วหัวใจ

 

หากมิใช่เจียงเล่อนั้นฝึกปรือวิชายุทธ์จนถึงขั้นนี้แล้วละก็ เกรงว่าพลังฝ่ามือเมื่อครู่นั้น เขาอาจจะถูกสังหารภายในการปะทะแล้วก็ได้

 

ในตอนนี้ เจียงเล่อเหม่อมองไปทางเยี่ยจงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น มันมากเกินกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้ เยี่ยจงนั้นอยู่ในระดับพลังฝีมือขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เช่นเดียวกัน เพราะเหตุใดถึงได้แข็งแกร่งได้ถึงเช่นนี้ หรือว่าเขาได้ฝึกฝนวิชาลมปราณระดับล่างของลัทธิแห่งดวงดาว “วิชาลมปราณดวงดาวเสริมพลังกาย” วิชานี้ของลัทธิแห่งดวงดาวกันแน่ ?

 

เจ้าเด็กน้อยนี้เพราะเหตุใดถึงได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้กัน

 

เยี่ยจงมองไปที่เจียงเล่อที่ตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุดยั้ง จากนั้นก็หัวเราะดังๆออกมา สีหน้าบนใบหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เมื่อครู่เยี่ยจงเพียงแค่ใช้ออกด้วยพลังของวิชากระบี่หกสุสานเท่านั้น แม้กำลังภายในของวิชาโจวเทียนเยี่ยจงก็มิได้ใช้ออกเลย เพียงแต่ว่า ต่อให้เคลื่อนไหวพลังวิชากระบี่หกสุสาน กับในขอบเขตระดับเดียวกันอย่างเจียงเล่อที่อยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจงเลย ก็เพราะว่า วิชาที่เยี่ยจงฝึกฝนมานั้นถือว่าเป็นแก่นแท้ของการฝึกปรือวิชากำลังภายในอย่างแท้จริง

 

“ ดีมาก ต่อจากนี้ต่อไปก็เจ้าก็บอกพวกเรามา ว่าพวกเจ้ามาที่นี้เพื่อทำอะไรกัน ข้าก็จะไม่สังหารเจ้า ดีหรือไม่ ? “ เยี่ยจงค่อยๆก้าวไปด้านหน้าอย่างช้าๆ แต่ว่าการเคลื่อนไหวของเขานั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เจียงเล่อเปลี่ยนสีหน้าร่างสั่นเทาขึ้นคราหนึ่ง อีกทั้งทางด้านหลังยังคงจับจ้องมองมาด้วยสายตาที่ตกใจกลัว เยี่ยจงก็ได้หัวเราะออกมาแล้วกล่าว

 

“ เชอะ โรงฝึกยุทธ์ชิหวอนของพวกเราทำอะไร เจ้าไม่อาจจะสามารถเข้าใจได้แน่นอน เด็กน้อย เจ้ารอก่อน “ เจียงเล่อลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าอีกครั้ง วินาทีต่อมา บาดแผลที่หน้าอกของเขาก็รู้เจ็บขึ้นมา ร่างกายพุ่งถอยหนีไปบริเวณทางด้านหลัง

 

หลังจากที่มองเจียงเล่อถอยหนีไปแล้ว ยอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินเหล่านี้แต่ละคนถอยหนีไปอย่างอัดอั้น พลังฝีมือที่จัดการในเวลาเพียงสั้นๆที่เพียงกาน้ำชาเดือด ร่วมไปจนถึงที่ตอนแรกคนเหล่านี้ถูกตบตีจนล้มลุกคลุกคลานเหล่านั้น ต่างก็วิ่งหนีไปจนหมดสิ้น

 

ทว่า เยี่ยจงก็มิได้ตามไปสังหารแต่อย่างใด อีกทั้งยังแค่จ้องมองไปอย่างดุดันในเส้นทางที่พวกเขาถอยหนี เห็นได้ชัด พวกเขาว่ามุ่งตรงไปยังทางเข้าของศาลาสดับฟัง

 

“ เพราะอะไรเจ้าถึงไม่หยุดพวกเขาไว้ ถ้าหากว่าคนที่อยู่ด้านในเกิดรู้ตัวขึ้นมาพวกเราจะทำอย่างไรดี ? “ ร่างที่อยู่บริเวณด้านหลัง เซียงฉียวี่และพวกทั้งสามคนเดินขึ้นมา เซียงฉียวี่ก็ร้องเสียงดังเชอะแล้วกล่าวขึ้นมา

 

“ เจ้าคงมิใช่ไร้เดียงสาจริงๆหรอกนะ จนถึงตอนนี้คนที่อยู่ด้านในยังไม่ทราบว่าพวกเราได้มาแล้วหรอกหรือ ? “ เยี่ยจงกวาดตามองไปที่เซียงฉียวี่คราหนึ่ง แล้วค่อยยิ้มออกมาแล้วกล่าว

 

“ เจ้า ——” เซียงฉียวี่ตื่นตระหนก พูดอันใดไม่ออก

 

“ ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทำไมคนที่ด้านใรหนึ่งเอาผู้บาดเจ็บเข้าไปละ พวกเขายังต้องแยกอีกหลายคนมาดูแลหรือ ? ข้าพาจิ้งจอกน้อยสามตัวมา หากว่าข้าเองยังไม่คิดหาวิธีตัดรอนกำลังรบของอีกฝ่ายแล้วลก็ เช่นนี้ก็เหมือนกับรนหาที่ตายเองมิใช่หรือ ? “ เยี่ยจงกล่าวเสียงทุ่มต่ำ ใบหน้าที่กำลังถอดใจ กล่าวจบ เขาก็ค่อยๆก้าวมุ่งหน้าสู่ศาลาสดับฟังเข้าไป

 

“ เจ้า “

 

เซียงฉียวี่โมโหจนต้องกระทึบเท้าไปมา ทว่าหลังจากร้องเชอะอยู่หลายคำ พวกนางทั้งสามก็ยังคงเดินตามหลังเยี่ยจงต่อไป มุ่งหน้าสู่ทางเข้าของศาลาสดับฟัง

 

 

…………

 

ในเวลาเดียวกัน บริเวณส่วนลึกของป่าไผ่ ที่ด้านหน้าของศาลาสดับฟังมีพื้นที่ว่างโล่งอยู่

 

ศาลาสดับฟังตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ถือว่าใหญ่โตมากแต่กลับดูสวยงามเก่าแก่ แต่ว่า ตอนนี้บริเวณทางด้านนอกของศาลาสดับฟัง ก็ได้มีเสียงดังกังวานดังออกมาจากด่านทดสอบ เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดถ้าหากต้องการที่จะเข้าไปด้านในของศาลาสดับฟังแล้ว ยังไงก็ต้องผ่านด่านทดสอบนี้ไปก่อน

 

ในตอนนี้ ด้านในศาลาสดับฟังที่อยู่ด้านหน้าของพื้นที่โล่งแจ้ง ได้มีเงาร่างนับสิบสายปรากฏออกมทั่วทั้งสี่ทิศ

 

ที่ยืนอยู่ทางด้านหน้าสุด เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์อยู่หลายส่วน ในตอนนี้ เขาได้ขมวดคิ้วมองไปทางด้านหน้าที่มีด่านทดสอบ เห็นได้ชัดว่าต้องสิ้นเปลืองความคิดในการหาวิธีในการจัดการกับด่านทดสอบนี้ แต่ก็ต้องล้มเหลวต่อไป

 

ไม่นานนัก ที่ด้านหลังก็มีเสียงกลุ่มหนึ่งดังออกมา ที่ด้านหลังนั้นก็พบเห็นคณะของเจียงเล่อ เหินอย่างรวดเร็วอย่างทุลักทุเลมาทางด้านนี้ สีหน้าของแต่ละคนถือว่าปั้นยากอย่างที่สุด

 

ใบหน้าของเด็กหนุ่มในตอนนี้ขมวดคิ้วด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาหันไปมองเจียงเล่อครู่หนึ่ง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอยู่หลายส่วน “ เจ้าไม่ใช่ไปจัดการกับเหล่ามดแมลงไม่กี่ตัวพวกนั้นหรอกหรือ ? เกิดอะไรขึ้นกัน ? “

 

เหม็งซี ที่ด้านนอกคนที่มาเป็นกลุ่มของศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว ข้าพลาดเอง “ เจียงเล่อเช็ดไปที่เลือดที่ยังไหลอยู่บริเวณมุมปาก กล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน

( T/L ภาษาจีนนี้พี่อ่านออกนะ แต่ไม่รู้จะสะกดออกมาเป็นภาษาไทยให้อ่านยังไงจริงๆครับ ต้องขออภัยในการสะกดชื่อไว้ ณ ที่นี้ ด้วย )

 

“ แม้แต่เจ้าก็ยังถูกจัดการหรือ ? “ เหม็งซีใบหน้าปกคลุมด้วยความตะลึงลาน “ ฝ่ายตรงข้ามมีพลังฝีมือในขั้นไหนกัน ? เป็นซ่งเซ้าเฉิงหรือว่าซร่งเทียน ? “

 

“ ล้วนมิใช่ แต่เป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งที่พวกเรายังไม่เคยพบเจอมาก่อน ยังมีสาวน้อยอีกสามคนที่พลังฝีมือยังอ่อนหัดอยู่ แต่ว่าเจ้าเด็กน้อยนั้นมีพลังฝีมือที่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ ข้ายังสงสัยเลยว่าเขาได้ฝึกวิชาลมปราณดวงดาวเสริมพลังกาย “

 

“ อะไรกัน ? “ เหม็งซีรนลานครู่หนึ่ง จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาของเขาได้บ่งบอกถึงความประหลาดใจออกมาสายหนึ่ง “ เจ้าเด็กน้อยคนนี้คงมิใช่เมื่อเร็วๆนี้ในท่ามกลางดินแดนของอารามก่อฟ้า เป็นผู้ที่มีข่าวลือมากมายเรียกว่าเยี่ยจงหรอกนะ ? ได้ยินมาว่าแม้แต่คุณชายคงฮู่ก็ยังไม่สามารถที่จะจัดการเขาได้เลย แม้แต่ม่อฝานหลงก็ยังต้องลงมือด้วยตัวเอง หากเป็นเด็กน้อยผู้นี้แล้วละก็……. “

 

เห็นได้ชัด เหม็งซีถือเป็นคนที่ทราบข่าวคราวเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในอารามก่อฟ้าอย่างคราวๆมาก่อน ดังนั้นสีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอยู่ช้าๆ สีหน้าที่เปลี่ยนไปมีความเย็นเยียบเล็กน้อย หากแขกผู้มาเยือนเป็นเยี่ยจงแล้วละก็ เกรงว่าคงมิอาจสามารถจัดการได้โดยง่าย

 

“ ตอนนี้พวกเราทำยังไงดี ? “ สีหน้าที่มีหลายส่วนรนลานอยู่ของเจียงเล่อก็ได้อ้าปากกล่าวออกมา “ ดูจากลักษณะของพวกเขา เกรงว่าเป้าหมายจะเป็นสิ่งเดียวกันอีกด้วย “

 

“ ยังไงก็ตาม “ เหม็งซีตาทอประกายวูบหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือ กล่าว “ เรียกพักพวกที่อยู่บริเวณรอบๆให้กลับมากันเถอะ ต่อให้เยี่ยจงผู้เดียวยังร้ายกาจกว่านี้ ไม่ว่ายังไงพลังฝีมือก็ยังอยู่แค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่เท่านั้น ข้าไม่เชื่อว่าพวกเรามีกำลังคนมากมายขนาดนี้ยังจัดการกับเขาไม่ได้ หากว่าต้องสูญเสียสิ่งของที่อยู่ด้านในไปแล้วละก็ พวกเราจะไม่มีหน้าที่จะกลับไปหานายน้อยหนิงหวีได้แล้ว “

 

หลังจากฟังน้ำเสียงของเหม็งซีแล้ว เจียงเล่อก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเขาก็พบว่าทั่วทั้งสี่ทิศมีเงาร่างของคนเหินออกมาอย่างรวดเร็วทีละคนๆ จนท้ายที่สุดมีผู้คนร่วมร้อยคนอยู่ตรงบริเวณพื้นที่โล่งว่างนั้น หลังจากนั้นแต่ละคนก็ไปยังจุดที่เจียงเล้อเคยผ่านออกมา

 

ราวกับทุกคนต่างก็ทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก็มิปาน จ้องมองไปยังบริเวณเบื้องหน้า สีหน้าของทุกคนมีอยู่ลักษณะสงบนิ่ง

 

“ ซ่าซ่า “

 

เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วน้ำเดือด ทันใดนั้น ที่ด้านในป่าไผ่อันลี้ลับเงียบสงบ ที่มีเสียงก้าวเท้าเดินดังออกมา จากนั้นก็เห็นเงาร่างสี่สายค่อยๆปรากฏออกมายังบริเวณพื้นที่ว่างแห่งนั้น

 

“ ขบวนแห่นี้ชั่งใหญ่เหลือเกิน “ เยี่ยจงมองไปยังฉากด้านหน้า ค่อยๆหัวเราะออกมา เสียงที่ดังออกมากลางลานกลับเย็นเยียบขึ้นมา…….

.

.

.

.

.