บรรยากาศภายในห้องโถง ในตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดเลยที่จะมีความสามารถพอ ที่จะเข้ามาสอดมือยุ่งต่อกรกับตระกูลเยี่ยในตอนนี้ได้ ถึงแม้จะมีคนที่กล้าที่จะลงมือแต่ก็ไม่ลงมือเพื่อที่จะไม่ลงรอยกับพวกเขา

 

หลังจากนั้น ภายใต้สายตาของคนกลุ่มนี้ที่มองไป ก็พบกับเงาร่างผอมสูงของหนุ่มน้อยอายุเยาว์ผู้หนึ่ง  ในตอนที่กำลังก้าวเท้ายาวๆเดินเข้ามาหากลุ่มผู้คน ใบหน้าของเขาในตอนนี้ราวกับไร้อารมณ์ เพียงแต่ว่านัยน์ตาในเต็มไปด้วยความอาจหาญคมกล้าไร้ที่เปรียบ

 

“ เจ้าเป็นใคร ? “

 

เยี่ยยีเฮ้าและพวกทั้งสองในตอนนี้หันกายเผชิญหน้า สายตามองไปยังบนร่างของชายหนุ่ม จากนั้นพวกเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในเหล่าผู้คนมากมายที่กล้าเข้ามาสอดเรื่องของพวกเขาได้ ยังไงพวกเขาก็ต้องรู้จักอยู่บ้าง แต่ว่าพวกเขานั้นกลับนึกไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มที่มีความเป็นเอกลักษณ์พิเศษผู้นี้เป็นผู้ใด

 

หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ยิ้มออกมา แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา หากนับสถานะภาพของตนในตระกูลเยี่ยก่อนหน้านี้ บุคคลทั้งสองถ้าหากนึกออกก็ถือว่าแปลกเกินไปแล้ว ยิ่งมิได้พูดถึง ในตอนนี้เยี่ยจงยิ่งไม่อยากแลดูเหล่าศิษย์ของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะต้องลงมือทำร้ายพวกเขาก็ตามที เขาก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดไม่ดี พูดเป็นเล่นไป เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในเมืองยังมีวีรกรรมร้อยก้าวไร้พ่ายที่เยี่ยจงกระทำออกมา จึงมิใช่ที่แห่งนี้แน่นอน ?

 

“ เป็นเจ้า ? เด็กน้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายศิษย์พี่หญิงซูหยี่ เยี่ยจง ? “

 

เซียงฉียวี่เห็นว่าคนที่ปรากฏตัวเป็นเยี่ยจง ความจริงที่ภายในใจรุกโชนออกมาก็ต้องดับวูบลงไปในทันที เห็นได้ชัดว่านางก็คงคิดไมถึง ว่าเยี่ยจงจะออกหน้าแทนพวกนางในเวลาเช่นนี้ ทั้งยัง เขา ยังใช้แซ่เยี่ยอีกด้วย ?

 

“ เยี่ยจง ? “ เยี่ยยีเฮ้าสายตาเคลื่อนไหวคราหนึ่ง จากนั้น สายตาที่เขามองไปก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างลึกซึ้งออกมา “ ท่านนี้ คงมิใช่เจ้าพิการไร้ประโยชน์ของตระกูลเยี่ยเราที่ในรอบพันปีจะมีซักคน ตามที่ล้ำลือว่าเป็นขยะของตระกูลเยี่ย เยี่ยจงหรอกนะ “

 

“ ถือว่ามีสายตาแหลมคม “

 

เยี่ยจงเงียบงัน จากนั้นก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็ขยับเท้าเล็กน้อย ร่างกายก็ได้พุ่งเข้าหาคนในกลุ่ม จากนั้นก็ไปปรากฏอยู่ด้านหน้าของเซียงฉียวี่และหญิงสาวทั้งสาม จากนั้นก็กวาดตาสำรวจร่างกายของพวกนาง คอยกล่าวออกมา “ พวกเจ้าสามคน นับตั้งแต่แรกก็บอกแล้วว่าอย่าเข้ามาในอารามก่อฟ้าแห่งนี้ พวกเจ้ากลับไม่เชื่อฟัง หากมิใช่เห็นแก่ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ ข้าความจริงก็ไม่อยากจะสนใจพวกเจ้า “

 

เซียงฉียวี่พบว่าเยี่ยจงกลายเป็นเช่นนี้ ก็ร้องเฮอะออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าว “ เจ้าก็แซ่เยี่ย ฟังจากน้ำเสียงของพวกเขา เจ้าก็น่าจะเป็นคนของหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ตระกูลเยี่ยสินะ ใครจะทราบว่าเจ้ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ ? “

 

เยี่ยจงยังคงเงียบงันซักพัก จากนั้นก็หัวเราะออกมา แล้วกล่าว “ เรื่องเหล่านี้พวกเจ้ายังคงไม่รู้สินะ ข้าถึงแม้จะใช้แซ่เยี่ย แต่ว่าข้าก็ชอบเหยียบย้ำ คนที่มีแซ่ว่าเยี่ยเหมือนกัน ข้าช่วยเอาศาตราวุธวิเศษกลับคืนให้แก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็นำมันกลับออกไป อย่าได้เข้าไปส่วนลึกอีก “

 

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ค่อยหันกายไป จากนั้นสายตาจดจ้องมองไปยังร่างของเยี่ยยีเฮ้า ยื่นมือออก หัวเราะแล้วกล่าว “ เยี่ยยีเฮ้า นำสิ่งของออกมา จากนั้นก็ไสหัวไปซะ ครั้งหน้าถ้าเผชิญหน้ากับข้าอีกละก็ คงไม่ได้พูดจาว่าง่ายเช่นนี้หรอกนะ “

 

น้ำเสียงของเยี่ยจงไม่มีแม้แต่คำว่าไว้ไมตรีเลย จากวินาทีนั้นเอง ในน้ำเสียงที่ดังก้องกังวานภายในห้องโถง มีผู้คนไม่น้อยที่สายตาจดจ้องอยู่แปรเปลี่ยนกลับกลาย จากนั้นก็มองไปยังทั้งสองฝังและฟังน้ำเสียงของทั้งสามคน มีคนไม่น้อยที่มองออกว่า เยี่ยจงก็น่าจะเป็นคนของตระกูลเยี่ย เพียงแต่ว่า เห็นได้ชัด ว่าเขาและเยี่ยยีเฮ้าผู้นั้นทั้งสองคนเดินคนละเส้นทางกัน ในตอนนี้ที่ปรากฏออกมา คงจะตั้งใจออกมาก่อกวนซะมากกว่า

 

จากนั้นเยี่ยยีเฮ้าและพวกทั้งสอง คงจะไม่ปล่อยเขาไว้อย่างแน่นอน ?

 

ผู้คนทั้งหมดกวาดสายตามองไป จากนั้นก็พบกับสีหน้าของเยี่ยยีเฮ้าและพวกทั้งสอง ว่าในตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นนับคณาไร้ที่เปรียบ นัยน์ตาปรากฏรังสีฆ่าฟัน อีกทั้งยังลึกล้ำสุดหยั้งคาด

 

ยังมีเหล่าคนของตระกูลเยี่ยที่ยังคงมองไปที่เยี่ยจงอย่างไม่ลดละ สายตาเต็มไปอารมณ์มากมาย มีทั้งไม่อยากเชื่อ มีทั้งรังเกียจ มีทั้งรอยยิ้มเย็นชา แต่ว่าก็ไม่มีแม้สักคนที่มีสายตาแตกตื่นตกใจ เห็นได้ชัด ว่าพวกเขายังคงไม่มีใครทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองก่อนหน้านี้

 

“ เยี่ยจง ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบว่าเจ้าเหตุใดถึงได้มาปรากฏในที่นี้ แต่จากที่ข้ามองแล้ว คงจะถอดถอนฉายานามว่าขยะไปได้แล้ว เริ่มเข้าสู่หนทางในการฝึกฝนแล้วสินะ ………. แต่ว่า เจ้ามาหาที่ตายเองเช่นนี้ เจ้าน่าจะรู้ หากดูจากสถานะในตระกูลของเจ้า ข้าก็จะตบเจ้าให้ตายในฝ่ามือเดียว ก็คงไม่มีใครกล้าออกหน้าให้เจ้าแน่นอน “ เยี่ยยีเฮ้าส่งสายตาเย็นเยียบมองไปที่เยี่ยจง เป็นที่ชัดเจนว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคิดไม่ออก ว่ากับเยี่ยจงผู้อ่อนแอคนหนึ่งจะสามารถอาจหาญมาต่อกรได้ อีกทั้งยังมีความกล้าหาญในระดับนั้น ยังมิเห็นยอดฝีมือในตระกูลเยี่ยนับสิบคนอยู่ในสายตา ? หรือเขามีไพ่ตายอันใดกัน มีความสามารถถึงขั้นนั้นเชียวหรือ ?

 

“ พี่ยีเฮ้า จัดการเจ้าเด็กน้อยนี้ให้พิการไปเลย จากนั้นก็ค่อยนำกลับไปจัดการตามกฎของตระกูล “ เยี่ยยีหยินกล่าวออกมาอย่างเย็นชา หากนับกับผู้คนแซ่เยี่ยเช่นเดียวกัน เขานั้นไม่สนใจว่าจะเป็นเช่นไร แต่จากที่เขามอง ในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะเข้ามาขัดขวางเขา ก็ถือว่าเขาสมควรตาย “

 

เยี่ยยีเฮ้านิ่งเงียบครุ่นคิดราวกับมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่หลายส่วน แต่ว่าเขาก็ยังคงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตน ต่อมา เขาก็ก้าวไปด้านหน้าอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาก็ได้รีดเร่งลมปราณภายในร่างออกมาอย่างเต็มเปี่ยม อีกทั้งความน่าเกรงขามเช่นนั้นยังถือเป็นพลังอีกแบบหนึ่ง เขาจ้องมองไปที่เยี่ยจง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “ เยี่ยจง ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเอง ก็อย่ามาแค้นพวกเราที่ต้องมาฆ่าฟันสายเลือดเดียวกันเลยนะ “

 

หลังจากกล่าวจบ เขาก็พลิกมือคราหนึ่ง หอกยาวสีดำสนิทได้ปรากฏอยู่บนมือ ภายในหอกเซียนแผ่ออกมาด้วยความชั่วร้ายอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าหอกเล่มนี้ถือว่าเป็นศาตราวุธวิเศษระดับล่างที่ไม่เลวเลยทีเดียว

 

เห็นได้ชัดว่า เยี่ยยีเฮ้าผู้นี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังคงไม่ทราบว่าเหตุใดเยี่ยจงถือได้อาจหาญเข้ามาในลักษณะนี้ แต่ว่าเขาก็ตัดสินใจที่จะลงมือด้วยตนเองแล้ว ยังไงซะก็จัดการเก็บกวาดเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ก่อนก็แล้วกัน

 

“ *เหว่ย เจ้าไหวไหมเนี๊ย “

*(คล้ายๆคำทักทาย ร้องเตือน เช่น ฮะโหล )

 

ตอนนี้เซียงฉียวี่มองออกแล้วว่า เยี่ยจงผู้นี้เป็นคนที่มาจากตระกูลเยี่ยเช่นเดียวกัน แต่ว่ากับคนแซ่เยี่ยเหล่านี้เบื้องหน้านั้นดูเหมือนจะไม่ลงรอยกัน ในครั้งนี้ดูเหมือนจะตั้งใจเข้ามาช่วยทั้งสามคนในการไกล่เกลี่ย แต่ว่า นางดูเหมืนจะเป็นห่วงอยู่หลายส่วนแล้วกล่าวออกมา

 

“ พวกเจ้าดูแลกันและกันให้ดีก็พอแล้ว ถ้าหากแขนขาหักพิการแล้วละก็ ข้าคงจะหาคำอธิบายต่อศิษย์พี่ซูหยี่ยากแล้วละ “ เยี่ยจงหัวเราะฮิฮะ จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้าอย่างช้าๆ แต่ทว่าเขาก็มิได้นำอาวุธอันใดออกมาปรากฏให้เห็น เพียงแต่แค่ก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า พลังกดดันสายหนึ่งได้อัดเข้าหาเยี่ยยีเฮ้า จากนั้นก็ค่อยๆสลายไป

 

“ พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน ? “

 

เยี่ยยีหยินที่อยู่ด้านหลังมองไปที่เยี่ยจงด้วยใบหน้าเย็นเยียบ แต่ว่าเมื่อตรวจสอบพบถึงพลังฝีมือของเขาได้ในเวลานี้ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย ใบหน้าที่ไม่น่าดูปรากฏออกมาแทนที่ นามขยะแห่งตระกูลเยี่ย ใครบ้างที่ไม่ทราบ เป็นสิ่งที่ใครๆก็ทราบได้ แต่ว่า เจ้าขยะตามที่ล้ำลือกัน ในเวลานี้กลับมีพลังฝีมือถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่แล้ว ต้องทราบว่า ในหมู่อัจฉริยะของตระกูลเยี่ยในตอนนี้ทั้งหมด นอกจากเยี่ยยีเฮ้าและเยี่ยยีหยินทั้งสองคนแล้ว ที่เหลืออย่างมากก็ยังอยู่ได้แค่พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สามก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว หรือต่อให้เป็นผู้เยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลที่โด่งดังในตอนนี้อย่างเยี่ยยี่ฟง ก็ยังอยู่ได้แค่พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเท่านั้นเอง อีกทั้งเจ้าขยะแห่งตระกูลเยี่ยผู้นี้กลับสามารถมีได้ถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เชียวหรือ ?

 

ในตอนนี้ ใบหน้าของเยี่ยยีหยินก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นตระหนกตกใจ อีกทั้งเหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ย หน้าตาของแต่ละคนก็เต็มไปด้วยอาการโง่งม จนกระทั่ง พวกเขาเริ่มที่จะเข้าใจ ว่าเหตุใดหนุ่มน้อยผู้นี้จึงมีแรงกดดันได้ถึงเพียงนี้ พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ นั้นถือได้ว่าเป็นพลังที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว

 

เพียงแต่ว่า ความแข็งแกร่งของเยี่ยยีเฮ้า ไม่ว่ายังไงก็คงคาดเดาไม่ได้หรอก

 

“ ดูเหมือน หลายปีมานี้เจ้าคงค้นพบการรักษามาสินะ “ เยี่ยยีเฮ้าหรี่ตามองดู สายตาทอประกายลึกซึ้งราวกับกำลังค้นหาบางอย่างอยู่ แต่ว่าเขาก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าเยี่ยจงได้พบพานเรื่องมหัศจรรย์อันใดในเร็วๆนี้ จากที่เขาดู ดูเหมือนหลายปีมานี้เยี่ยจงผู้นี้คงจะเสแสร้งแกล้งทำออกมา ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ คงไม่สามารถที่จะแผ่พุ่งรังสีอันนี้สะพรึงกลัวเช่นนี้ได้

 

“ เพียงแต่ว่า ต่อให้เจ้าจะอยู่ในระดับขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ก็ตาม แต่หากเป็นปรปักษ์กับข้าในวันนี้ ยังไงเจ้าก็ต้องชดเชยส่วนหนึ่งอยู่แล้ว “ เยี่ยยีเฮ้าสายตามองไปด้วยความอิจฉา อีกฝ่ายทั้งที่อายุยังน้อยอยู่ในตอนนี้กลับมีพลังฝีมือถึงขั้นนี้เชียว ถ้าหากยังอยู่ภายในตระกูลเยี่ยแล้วละก็ เป็นไปได้ว่าอาจจะเหนือกว่าพวกเขาพี่น้องทั้งสองคน บุคคลเช่นนี้ สมควรที่จะต้องตัดรากถอนโคนไว้แต่เนิ่นๆแล้ว

 

วินาทีต่อมา หอกยาวในมือของเยี่ยยีเฮ้าก็ค่อยๆกระตุกคราหนึ่ง เล่มหอกราวกับงูหอกก็มิปาน ส่งเสียงร้องดังออกมาสายหนึ่งดัง ก๊งก๊งฮูฮู อีกทั้งหลังจากที่พบว่าเยี่ยยีเฮ้าขยับมือเท้าเคลื่อนที่ ร่างกายกลับปรากฏในจุดที่เยี่ยจงยืนอยู่ในชั่วพริบตา จากนั้นนัยน์ตาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น หอกดำยาวในมือก็ได้กวาดออก ราวกับอสรพิษสะบัดหางก็มิปาน อีกทั้งยังคงพุ่งกวาดเข้าหาในบริเวณที่เยี่ยจงหลบหนี กระบวนท่ายังไม่ทันจบสิ้น เกรงว่ากระดูกหน้าอกของเยี่ยจงคงต้องแตกอยู่หลายชิ้น

 

พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่

 

ในช่วงที่เยี่ยยีเฮ้าใช้ออกกระบวนท่า พลังหลายชั้นที่แสดงออกมาก็สามารถบ่งบอกได้ถึงระดับพลังได้แล้ว

 

“ เฮ้อ……….”

 

เยี่ยจงมองไปยังฉากเบื้องหน้า จากนั้นก็ยิ้มออกมาเบาๆ ในช่วงที่เยี่ยยีเฮ้ากำลังโจมตีอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงรังสีการฆ่าฟันอันเข้มข้น คนของตระกูลเยี่ยเหล่านี้จริงๆแล้ว ไม่ว่าจะไปยังสถานที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะกระทำเรื่องราวใดๆก็เป็นที่น่ารังเกียจไร้ที่เปรียบ ไม่ว่าต่อให้เป็นเมื่อชาติที่แล้ว หรือว่าจะเป็นในตอนนี้ก็ตาม

 

วินาทีต่อมา พลังหกกระบี่สุสานภายในกายเยี่ยจงก็ราวกับกำลังหมุนวนทะยานออกมา  ราวกับปลดปล่อยรังสีกระบี่ไร้เสียงออกมาจากร่างกายของเขาก็มิปาน อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยจงก็ได้ยกมือขวาขึ้น จากนั้นก็ชี้นิ้วในมือออกไป

 

“ เปรี้ยง “

 

เสียงลมดังออกมาจากนิ้วมือดังหวืด พอดิบพอดีเข้าปะทะกับปลายหอกตอนที่เยี่ยยีเฮ้าใช้ออกด้วยหอกยาว ชั่วขณะนั้น เสียงปะทะดังอึงอวลดังสนั่นออกมา จากนั้นก็มีแรงลมจากการระเบิดออกมาแผ่กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ต่อมาก็แผ่กระจายไปจนฝุ่นภายในห้องกระจายออกมาจามพื้นดิน

 

จากนั้นต่อมา ฝุ่นที่แผ่กระจายออกมาตามพื้นเกือบครึ่ง ควันที่กระจายกันเริ่มจางลง สายตาของผู้คนมากมายได้กวาดสำรวจมองเข้าไป ก็พบว่าบริเวณกลางห้องโถงนั้น เงาร่างของทั้งสองยังคงยืนอยู่แน่นิ่ง จากที่ดูแล้ว หนึ่งในนั้นมีเพียงสายตาที่สงบเงียบ ส่วนภายในดวงตาของอีกคนนั้นได้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่

 

“ เจ้าเยี่ยจงผู้นี้ ยังสามารถต้านทานหอกของพี่ใหญ่ได้ด้วยหรือ ? “ เหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ยเหล่านั้น ในตอนนี้ต่างหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆกัน เกี่ยวกับพลังฝีมือของเยี่ยยีเฮ้าพวกเขาทราบดีอยู่แล้ว ว่าภายในดินแดนเยียจิงแห่งนี้ บุคคลที่เป็นรุ่นเยาว์มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถยืนต่อหน้าได้เช่นนี้ หากเป็นยอดฝีมือธรรมดาที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ ไม่ว่ายังไงก็มิใช่คู่มือของเขาอย่างแน่นอน แต่ว่า ในตอนนี้ ความน่ากลัวของหอกเล่มนี้ ยังคงถูกเจ้าขยะเยี่ยจง ต้านรับไว้ได้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น

 

“ เจ้าเยี่ยจงผู้นี้ใช่เจ้าขยะที่เขาเล่าลือกันจริงหรือนี้ ? มิใช่ว่า ครั้งนี้เยี่ยยี่ฟงพวกเขากำลังไปยังเมืองเจียงโจวเพื่อไปทำเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนการหมั่นหมายหรอกหรือ ? แล้วเจ้าเด็กน้อยนี้กลับมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน ? “มีคนกำลังสับสนวุ่นวาย

 

“ ไม่ต้องสนใจมากความแล้ว ในเมื่อเจ้ากล้าลงมือต่อพี่ใหญ่ยีเฮ้า ไม่ว่าจะบนผืนฟ้าใต้ผืนฟ้า ก็ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเขาได้อีกแล้ว “ มีคนกล่าวด้วยเสียงรำคาญเย็นชา เห็นได้ชัด เกี่ยวกับเยี่ยยีเฮ้า คนของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ต่างก็เชื่อมั่นจดหมดใจ