ในขณะที่อยู่ในความงุนงง เขาเริ่มจำรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตก่อนหน้าของเขาได้ ชื่อเขาเขาคือ เพ่ยจือยุน แต่เมื่อกับเทียบเจ้าโง่นี่เขานั้นเป็นยังตำนาน

หลังจากที่เขาทะเลอะกับครอบครัว เขาก็หนีออกจากบ้าน ตอนนั้นเขาอายุได้เพียงสิบเจ็ดปี เขามีเงินติดตัวเพียงแค่ 10 แกรน เขาต้องกินอาหารจากกล่องโฟมและนอนในห้องใต้ดินของบริษัทที่เขาทำงานอยู่ เขาใช้เวลา 1 ปี เพื่อที่มีเงินเก็บ 500 แกรน แต่อย่างไรก็ตามโชคก็ไม่เคยเข้าข้างเขา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สูญเสียทุกอย่างเมื่อคลังสินค้าเกิดระเบิดขึ้นมา

เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมานานนับปี และดูเหมือนว่าคราวนี้จะเป็นโชคดีของเขา เขาได้เอ่ยปากขอยืมเงินจากเพื่อน 50 แกรนเพื่อที่จะนำมาลุงทุนในหุ้น แม้ว่าตลาดหุ้น ณ ตอนนั้นจะอ่อนตัวมาก เขาก็ยังสามารถหาเงินได้ถึง 30 ล้านแกรน มันเป็นเงินมากกว่า 30 เท่า ของเงินที่เขาเริ่มต้นลงทุน

เนื่องจากความโดนเด่นของเขาในตลาดหุ้น เขาจึงถูกคุกคามบ่อยครั้งจนต้องตัดสินใจทำงานให้กับองค์กรยักษ์ใหญ่ในฐานะเทรดเดอร์เพื่อฝอกเงินให้กับพวกมัน แต่เข้าก็ต้องยอมรับว่าผลประโยชน์ของเขากับทางองค์กรมันไปในทิศทางเดียวกัน เขาทำทั้งหมดด้วยตัวเองจนกระทั้ง…เขาตายด้วยอุบัติเหตุ….

.

..

ไม่นาน สติของเด็กหนุ่มก็กลับมา เขาสังเกตไปที่ภารกิจที่เขาได้รับ

“นี่ฉันตายไปแล้ว แต่เจ้าของร่างเดิมดันพาฉันมาที่โลกใบนี้และเจ้านี่คงเป็น ‘ดอกเหมยฮัว’ มันคงเป็นพรสวรรค์ทางจิตวิญญาณที่เขากล่าวถึง ”

เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นและพบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่หน้าบ้านของตนเอง การถ่ายเทความทรงจำและความรู้สึกคงจะสิ้นสุดลงแล้ว

“ถ้าภารกิจล้มเหลว ดอกเหมยฮัวจะหายไป?”

“ก็ดี! ช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจอะอะไรเช่นนี้ และเจ้าของร่างเดิมมันเป็นคนโง่”

“คนตั้งห้าสิบกว่าคนกลับถูกข่มขู่โดยโจรเพียงแค่สามคน เหอะ! ซ้ำยังให้เงินและมอบผู้หญิงให้กับพวกมัน อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมก็เป็นถึงนักศึกษาแต่กับไม่มีปัญญาจะแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้”

“ไอ้โง้เอ๋ย! ทำไมมันถึงได้โง่ขนาดนี้”

“แม้ว่าโลกนี้จะปกครองด้วยกฎแห่งเต๋า แต่กฎบ้านก็มีกฎบ้าน กฎเมืองก็มีกฎเมือง ใครมันจะบ้าไปท้าทายพวกเขา“

“กองกำลังของเมืองหลวงปัจจุบันก็เน้นไปที่กวาดล้างพวกโจรเหล่านี้อยู่แล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่กลุ่มโจรลมดำจะหายไป”

“เจ้าของร่างเดิมเป็นถึงนักศึกษาระดับสูง ที่รอบรู้ในด้านกลยุทธสงครามเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าแรงของมันมีไม่พอจะเฉือดไก่ก็เถอะ มันก็ควรจะหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้แต่ตอนนี้สถานการณ์มันช่างย่ำแย่จริง ๆ เจ้านั่นมันเป็นคนโง่จริง ๆ เลยพับผ่าสิ”

“ถ้าฉันมาถึงที่นี่เมื่อสามวันก่อน ฉันคงจะหาวิธีที่จะออกไปจากสถานการณ์เช่นนี้ได้ เห้อ..ตอนนี้คงมีแต่ลงมือทำให้เต็มที่ก็พอถึงมันจะเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ”

ถึงแม้ว่าในอดีตเขาจะเป็นเป็นเพียงแค่เทรดเดอ แต่สิ่งที่เขาเก่งจริง ๆ ก็คือกระบวนการคิดที่รวดเร็วและเด็ดขาดของเขา เขากระชับสายรัดของเสื้อคลุมก่อนที่เขาจะเหวี่ยงมีดไปยังไม้ไผ่

ไม่ใกลจากนั้น หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของประตูยังไม่สามารถหาวิธีที่จะออกไปจากสถานการณ์เช่นนี้ได้ เธอพยายามเอาชนะความกลัวของเธอและตัดสินใจที่จะแสดงว่าแต่เองอ่อนแอและน่าสงสารแค่ไหน มันอาจได้รับความสงสารจากคนเหล่านี้บ้าง เธอไม่ต้องการที่จะทานอาหารอร่อยเธอไม่ต้องการที่จะอยู่อย่างสุขสบาย “ท่านลุงและท่านปู่ ได้โปรดปล่อยข้า ปล่อยข้าไปเถอะนะ ถ้าพวกท่านให้ข้าไปกับพวกเขา ข้าคงไม่มีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้แน่”

เสียงสะอื้นร้องไห้เริ่มดังมาจากข้างใน

เสียงร้องไห้ของเด็กสาวค่อย ๆ ดังก้องกังวานไปตลอดทางจนถึงป่าไผ่ ที่เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งทำหอกไม้ไผ่ พึมพำขึ้นมา “พวกชาวบ้านคงจะรอจนถึงตอนเช้าก่อนที่พวกเขาจะส่งมอบเงินทองและผู้หญิงเพราะถ้าพวกเขามอบให้กับพวกโจรไปในตอนนี้คงทำให้พวกเขากระวงกระวายไปจนกว่าจะถึงตอนเช้าแน่”

“ฉันยังคงมีเวลาเหลืออยู่บ้าง”

ชายหนุ่มพยายามทำให้หัวใจของเขาสงบลง มือข้างหนึ่งจับไปที่หอกไม้ไผ่ อีกข้างหนึ่งจับไปยังมีด แล้วก็เดินเข้าไปในป่า

แม้ว่ากำแพงดินรอบ ๆ หมู่บ้านสามารถยับยั้งเสือและโจรได้ แต่เขารู้มาว่ามีรูจำนวนมากอยู่ตามกำแพงการที่จะปีนข้ามกำแพงไปไม่ใช่เรื่องยาก

ขณะที่เพ่ยจือยุนปีนป่ายขึ้นบนกำแพงร่างการและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโคลน เขาใช้แสงจากดวงจันทร์เพื่อนำทาง เขาเดินไปที่ลำธารในหมู่บ้านและจ้องมองเงาสะท้องของเขา สิ่งที่เห็นทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมากเพราะโครนที่ปกคลุมไปทั่วร่างกายสามารถช่วยปกปิดว่าเขาเป็นใครได้ นอกจากผู้ที่สนิทกับเขาจริง ๆ คงจะไม่มีใครที่จดจำเขาได้

เมื่อเขาสามารถปีนข้ามกำแพงมาได้ เขาก็ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลง พวกโจรต่างตั้งค่ายอยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน พวกมันกำลังกลั่งแกล้งเด็กหนุ่มทั้งสิบคน

หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่มากนัก จึงทำให้เมื่อเขาคิดที่จะเข้าไปใกล้พวกโจรเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ยังไงก็ตามเขายังสามารถใช้เงาตามกำแพงเพื่อบดบังร่างกายได้ เขาค่อย ๆ ย่องไปยังความมืดที่พาดผ่านลงมา

ที่ทางเข้าหมู่บ้าน กลุ่มโจรลมดำกำลังย่างไก่ที่ได้มาจากชาวบ้าน ขนและไส้ทั้งหมดถูกดึงออก พวกเขาใช้ดาบแทนมีดในการกรีดเนื้อไก่ เพื่อใส่เครื่องปรุง ไขมันจากตัวไก่หยดลงไปบนกองไฟ เกิดเสียง ซิ ซิ ตามมา

เหนือขึ้นไปด้านบนกำแพงโครน จาง ดาชาน นั่งเหลาไม้ในมืออย่างรุนแรงขณะจ้องลงมายังพวกโจรที่กำลังจัดการกับไก่ด้วยความโกรธถึงแม้มันจะกลัวโจรมากแค่ไหนก็ตาม

แม่ไก่ตัวนี้ถูกเลี้ยงดูด้วยครอบครัวของเขาไว้เพื่อจะวางไข่อย่างเดียว เมื่อพวกมันเห็นมันกลับจับมากินซะอย่างนั้น

ภายในใจของ จาง ดาชานลุโชนได้ด้วยความโกรธ เขาระบายความโกรธลงบนไม้ที่เขาเหลาไม่หยุดหย่อน และฉาปแช่งพวกมัน “เจ้าพวกลูกไม่มีพ่อ จงไปตายซะ เจ้าพวกเหี้*!”

เพยจือยุน เข้าไปไกล้ทางเข้าหมู่บ้านขึ้นเรื่อย ๆ สายตาของเขามองไปยังกลุ่มของโจรทั้งสาม ขณะที่เขามุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมปะทุขึ้นทันที

โจรวัยกลายคนที่ถูกขนาบข้างด้วยโจรอีกสองคนที่เหมือนกำลังปกป้องเขาจากอันตรายทุกสิ่งที่จะเข้ามา เขาสวมชุดคลุมสีดำและแม้แต่ตอนที่เขาหัวเราะ ตาของเขาก็ยังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง ในความทรงจำเดิมบอกว่าชายคนนี้คือผู้อาวุโสคนที่สามแห่งนิกายลมดำ และเขายังเป็นผู้ที่นำเย่ ซูเอ๋อไปจากเจ้าของร่างเดิมและนั้นจึงกลายเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าของร่างเดิม

มันดูโจรที่กำลังนั่งอยู่รอบกองไฟ เพ่ยจือยุนค่อย ๆ เอื้อมมือไปลูบหอกไม้ช้า ๆ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับโจมตี เขาค่อย ๆ ยืนขึ้นและซ่อนตัวตามเงามืด

เนื้อไก่ได้ที่พร้อมสำหรับกิน แสงสีเหลืองจากไขมันของไก่ช่วยขับให้มันน่ากินขึ้นไปอีก เหล่าโจรมองไปยังเนื้อไก่ด้วยดวงตาที่พึงพอใจ เขาค่อย ๆ ฉีกเนื้อไก่เป็นชิ้น ๆ และค่อยลิ้มรสชาติของมัน

เมื่อเขาได้ลิ้มรสชาติของเนื้อไก่ เขารู้สึกว่ามันอร่อยเป็นอย่างมาก ไก่ที่เลี้ยงเพื่อออกไข่อย่างเดียวมักจะถูกเลี้ยงดูด้วยกรรมวิธีที่พิเศษมันจึงทำให้รสชาติออกมาดียิ่งขึ้น เขาไม่กล้าที่จะลิ้มรสมากกว่านี้อีกแล้ว เขารีบนำเนื้อไก่ไปให้กับโจรเฒ่า

โจรเฒ่าหยิบขาไก่ขึ้นมาเขาค่อย ๆ สูดกลิ่น กลิ่นหอมของเนื้อทำให้เขาเกิดความอยากอาหารอย่างรุนแรง เขาเริ่มกัดลงบนขาไก่อย่างรวดเร็ว อ่า มันเป็นรสชาติที่น่าดึงดูดเป็นอย่างมาก ความอยากอาหารของเขาเริ่มที่จะกรีดร้องออกมา

โจรเฒ่าใช้มือทั้งสองข้างจัดการกับเนื้อไก่ทั้งหมด เขาดึงขวดจากในเสื้อออกมา เขากระดกและชดเหล้าที่อยู่ในขวดไปอึกใหญ่ “เยียม…เยี่ยมมาก!”

เพ่ยจือยุน เข้าไปหลบในพุ่งไม้ในป่าใกล้ ๆ และใช้ใบไม้ช่วยบดบังร่างกายของเขา การพรางตัวนี้เพียงพอแล้วสำหรับปกปิดตัวจากกลุ่มโจร เขาซ่อนตัวอยู่เพื่อเตรียมการฆ่า แต่ระยะห่างระหว่างเขากับพวกมันยังใกลกันมาก เขาเอื้อมมือไปจับหอกไม้และมีดขณะที่ปรากฎเหงื่อขึ้นบนฝ่ามือ

เดิมทีเจ้าของร่างเดิมได้ค้นพบดอกเหมยฮัวหลังจากที่ได้รับมันมาแล้วหาปีและนั้นทำให้เขาเริ่มต้นการเพาะปลูกพลังเพื่อที่จะเขานิกายให้ได้ เจ้าของเดิมสามารถใช้พลังแห่งเต๋าได้ระดับหนึ่งแต่เขาไม่สามารถทำได้ แต่ยังมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยเลือดและเนื้อเมื่อหัวใจถูกทำลายก็จะทำให้ตายได้ พวกมันก็คงไม่ต่างกัน มั้งนะ

พวกโจรรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ กองไฟ เพ่ยจือยุน แทบจะระงับอารมณ์ที่จะพุ่งเข้าไปฆ่าพวกมันไม่ได้ เขาอาจฆ่าได้อยากน้อยแค่หนึ่งคน แล้วพวกที่เหลือละ พวกมันคงจะไม่ใจดีถึงขนาดปล่อยเขาให้หนีไปได้แน่

ในสถานนะการณ์นี้เขาต้องใช้สติปัญญาทั้งหมดเพื่อคิดหาทางออก เพ่ยจือยุน จมอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ เขาพยายามหาวิธีสังหารพวกมัน ทันใดนั้น! วิธีต่าง ๆ มากมายเริ่มปรากฎในความทรงจำของเขา

ในชีวิตเดิมของเจ้าของร่างเดิม มันช่างอ่อนแอและโง่เขลา มันปล่อยให้ เย่ซูเอ๋อ ถูกนำตัวไป

ตอนนั้นเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านนำเงินและผู้หญิงไปยังทางเข้าหมู่บ้าน พวกโจรเริ่มออกมาจากวิหาร….

เขาจำได้ว่าพวกโจรมักจะมาอาศัยอยู่ที่วิหารเก่าเมื่อพวกมันมายังหมู่บ้าน ถึงแม้พวกโจรจะก่อกองไฟอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน แต่เขาแน่ใจว่าพวกมันต้องกลับเข้าไปนอนในวิหารแน่

เพ่ยจือยุน หัวเราะในใจให้กลับความฉลาดของเขา เขาค่อย ๆ เข้าไปซ่อนในป่าเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

จู่ ๆ โจรที่กำลังง่วนอยู่กับเนื้อไก่ตรงหน้ามัน ก็หันหน้าไปทางที่เพ่ยจือยุนซ่อนตัวอยู่ มันหยิบดาบและเดินไปทางที่เพ่ยจือยุนซ่อนตัวอยู่

“ผู้อาวุโสสาม เกิดอะไร ขึ้น?” หนึ่งในโจรถามออกมาขณะขาไก่ยังอยู่ในมือของมัน ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสสามไม่สนใจและพุ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีความลังเลใด ๆ พวกมันทั้งสองทิ้งเนื้อไก่ในมือและติดตามเขาไปติด ๆ

ต้นไม้ในป่าแต่ละต้นล้วนมีความสูงถึงสี่เมตร ท้องฟ้าทั้งหมดเกือบถูกบดบังด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ จึงทำให้พวกมันทั้งสามไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย

ผู้อาวุโสสามแห่งนิกายลมดำ รู้สึกว่ามีบางสิ่งอยู่ในป่าแน่ ๆ เขาคิดว่าเห็นเงาของใครบางคน ถึงเขาจะไม่แน่ใจว่ามีคนอยู่หรือไม่ แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่ามันต้องมีอะไรในป่า เขาเลิกลังเลและพุ่งไปในป่าอย่างรวดเร็ว ทำให้เสียงฝีเท้าค่อย ๆ เบาลงและหายไปในความมืดมิด

เมื่อพวกมันเข้าไปในป่า พวกมันล้วนพยายามมาสำรวจพื้นที่รอบ ๆ แต่กลับไม่พบอะไร ผู้อาวุโสสามยังระแวดระวังรอบข้างมือของเขากระชับดาบไว้แน่น เขาเป็นโจรมานับสิบปีสัญชาตญาณมีน้อยครั้งที่จะผิด จู่ ๆ ก็เกิดเสียงขึ้นในพุ่มไม้!

“คงจะมีคนอยากตาย!” จู่ ๆ ดวงตาของผู้อาวุโสสามก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขายกมือที่ถือดาบขึ้นก่อนที่จะตวัดไปยังพุ่งไม้ เกิดเสียงราวกับกระดูกแตกหัก เลือกสาดกระเด็นไปทั่วใบหน้าของเขา ทำให้เขายิ่งดูน่ากลัวเข้าไปอีก

โจรเฒ่าใช้ดาบในมือแยกพุ่งไม้ออกเพื่อดูผลงาน กลับเห็นเพียงซากของสุนัขตัวหนึ่งที่ร่างกายของมันถูกฝ่าออกเป็นสองซีก

“ว้าว ไม่แปลงใจเลยว่าทำไมท่านถึงเป็นผู้อาวุโสในนิกายของเรา เทคนิคดาบของท่านช่างอันตรายจริง ๆ เมื่อท่านตวัดดาบหนึ่งทีกลับทำให้ร่างของสุนัขตัวหนึ่งถูกแยกออกเป็นสองส่วน….. ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีอาหารเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โจรคนหนึ่งอุทานขึ้นขณะมองไปยังซากของสุนัขตัวนั้น ก่อนที่จะเดินไปยังซากของมันแล้วลากกลับไปยังกองไฟ “เนื้อของมันใช้เกลืออย่างเดียวคงจะไม่ได้ เห็นทีคงต้องนำกลับไปเตรียมในวิหารก่อน”

ผู้อาวุโสสามประหลาดใจสัญชาตยานของเขาบอกว่าต้องเป็นคนแน่ ๆ แต่ที่เห็นกลับเป็นเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เขาก็ทำได้เพียงแค่เช็ดคราบเลือดออกจากตัวก่อนที่จะมองไปยังดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องนภา

เพ่อจือยุนมองดูทุกอย่างจากระยะไกล ทั้งตัวของเขาเป็นไปด้วยเหงื่อ โจรกลุ่มนี่มันช่างตัวกลัวจริง ๆ เทคนิคของโจรเฒ่านั้นช่างแข็งแกร่ง มันชัดเจนแล้วว่าเขาต้องเรียนรู้ผ่านการต่อสู้ด้วยชีวิตมานับสิบปี

เพ่ยจือยุน ขอบคุณดาวนำโชคของเขาที่ทำให้เขาไม่ขยับออกจากที่ซ่อน ไม่งั้นเขาคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แน่ ๆ ตอนนี้เขาค่อย ๆ ออกจากที่ซ่อนอย่างระมัดระวังและมุ่งหน้าไปยังวิหาร

วิหารตั้งอยู่ใกล้ ๆ ทางเข้าหมู่บ้าน พนังรอบด้านต่างผุพัง บนพื้นมีหลุมมีบ่ออยู่มากแต่กลับไม่ได้รับการซ่อมแซมจากคนในหมู่บ้าน มันจึงเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับลอบสังหารพวกโจร เพ่ยจือยุนมองสำรวจพื้นที่รอบ ๆ อีกครับ ในทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาหยุดสิ่งที่กำลังทำและพยายามฟังเสียงที่เกิดขึ้น

เสียงที่อยู่ข้างนอกใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เพ่ยจือยุน รีบหาที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งตัวไปยังพื้นที่ที่แสงจากดวงจันทร์สาดส่องมาไม่ถึง ร่างกายทั้งหมดค่อย ๆ ถูกความมืดกลืนกินไป