หมู่บ้านหอยทาก

ในค่ำคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปล่งและปราศจากเมฆ แสงจันทร์สาดส่องพาดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งก้านของต้นไม้ลงมาสู่ผืนดิน
จาง ดาชาน ยืนอยู่บนยอดหอคอยสังเกตการณ์ที่ถูกห่อล้อมไปด้วยพุ่มไม้หนามและกำแพงโคลน รั้วทอดยาวควบคุมพื้นที่ทั้งหมด เป็นแนวป้องกันเดียวของหมู่บ้าน เขามีแค่เสื้อผืนบางกับธนูคันเล็กที่อยู่ข้างหลังเขา
แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิเพิ่งจะเริ่มต้น แต่ความหนาวเหน็บยังพัดผ่านมายังเขา จาง ดาชาน เหม่อมองฟ้าและพึมพำอย่างผิดหวัง “ดูเหมือนว่าฝนจะยังไม่ตกอีกตามเคย แล้วพืชผลจะอยู่ได้อย่างไร”
“และยังมีส่วยที่ต้องจ่ายให้กับกลุ่มโจรลมดำอีก” จาง ดาชาน พึมพำออกมาขณะที่ใบหน้าของเขาปรากฎความวิตกกังวล
การมาถึงของฤดูใบไม้ผลิทำให้ไม่มีฝนตกลงมาและพืชผลที่มีอยู่คงจะเหี่ยวแห้ง ประกอบด้วยการข่มขู่ของกลุ่มโจรลมดำอีก สถานการณ์ที่อันเลวร้ายนี้คืออะไรกัน
ขณะที่จาง ดาชานยังจมอยู่กับความเสียใจ เขาได้ดึงธนูออกจากหลัง เขาใช้หูของเขาเพื่อฟังเสียงบางอย่าง สายตาของเขาสาดส่องไปทั่วอย่างระมัดระวัง
ในขณะนั้นเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าเข้าใกล้มาอย่างรวดเร็ว
จาง ดาชาน มองไปยังที่มาของเสียงเขาสูดเอาอากาศหนาวเย็นเข้าไปหัวใจของเขากระโจนด้วยความกระวนกระวาย โดยไม่มีความลังเล เขารีบเคาะระฆัง

“ไม่ดีแล้ว ไม่ดีแล้ว ! พวกกลุ่มโจรลมดำ เข้ามาใกล้หมู่บ้านแล้ว!”
เสียงระฆังดังก้องกังวานกรีดทำลายความเงียบสงบในยามรัตติการ บ้านที่เงียบสงบเริ่มปรากฎเสียงฝีเท้าและแสงไฟสว่างไสว

ข่าวคราวของโจรที่จะมาถึงได้แผ่ขยายลุกลามคล้ายไฟป่า คนอ่อนแอ ผู้หญิงและเด็กเริ่มตกใจและร้องไห้ออกมา “ไอ่โจรชั่วพวกมันมาเก็บส่วยของพวกมันอีกแล้ว ทั้งที่พวกมันพึ่งกลับไปได้ไม่นาน” หญิงสาวพึมพำด้วยความโกรธ ขณะที่กำลังหลบซ่อน
“ซ่อนเงิน และ ผู้หญิงเดียวนี้ !”
ผู้หญิงในหมู่บ้าน รีบเก็บข้าวของและสั่งบุตรสาวของตนเริ่มหาที่ซ่อน ส่วนเด็กผู้ชายเริ่มรวมตัวที่ทางเข้าสู่หมู่บ้านพร้อมมีดในมือ
นอกเหนือจากชาวบ้านทั่วไป ชายฉกรรจ์ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าหมู่บ้านก็เดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วยเช่นกันแต่ละคนมีร่างกายที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยมัดกล้าม ในมือพวกเขาถือมีดาบและธนูที่ใช้สำหรับล่าสัตว์

“หัวหน้าหมู่บ้าน! ตรงนั้น!” จาง ดาชาน ชี้และหลาย ๆ คนเริ่มที่จะมองไปในทิศทางที่กลุ่มโจรกำลังมาด้วยท่าทางสบาย ๆ

ขณะที่พวกเขาเข้ามาใกล้ แสงจากคบเพลิงได้แสดงตัวตนของพวกเขาว่าเป็นกลุ่มโจรจากลมดำ พวกมันมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนคือชุดคลุมสีดำที่พวกมันใส่ปักลายด้วยรูป หมาป่า
โจรวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังขี่ม้านำหน้ากลุ่มของเขาที่มีเพียงสามคน ใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยแห่งอายุ สายตาจ้องมองไปยังข้างหน้าโดยปราศจากอารมณ์ใด ๆ มือกุมดาบที่อยู่ข้างลำตัวดูราวกับเขาพร้อมที่จะชักออกมาฟาดฟันศตรูได้ทุกเมื่อ
“ฮา ฮา ฮา พี่สาม ดูเหมือนว่าพวกเราจะอยู่บนเขานานเกินไป ดูคนในหมู่บ้านนั้นสิ พวกมันคิดว่าจะสู้เราได้ ฮา ฮา ฮา”
เสียงพูดดังมาจากโจรผู้หนึ่งเขาพูดออกมาขณะที่กำลังมองสำรวจชาวบ้านที่กำลังปีนป่ายขึ้นไปยังกำแพงดิน “พวกมันสามารถสร้างกำแพงดินได้… ข้าคิดว่าพวกเราคงจะใจดีเกินไปสำหรับพวกมัน”
มีโจรเพียงสามคน แต่มันก็เพียงพอจะทำลายหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่งให้หายไปตลอดกาลได้
“ใครยังไม่มา?” หัวหน้าหมู่บ้านถามขึ้นขณะที่เขากำลังตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน ในเวลาแบบนี้ไม่ว่าจะเกิดการปะทะขึ้นหรือไม่ แต่ผู้ชายทั้งหมดต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโจร
“ทุกคนมาอยู่ที่นี่ทั้งหมด ยกเว้นบุตรชายของแม่ม่ายจ้วง เขาเป็นนักศึกษาที่กำลังเตรียมตัวไปสอบและตอนนี้เขาป่วย”
ณ ตอนนี้ โจรวัยกลางคนได้เข้าไปในหมู่บ้าน เขาเริ่มที่จะหัวเราะ “พวกเจ้ากล้าที่จะต่อต้านข้า กล้าหันหัวลูกศรมายังข้า!”
เสียงโห่ร้องยามค่ำคืนเริ่มขึ้น มีชาวบ้านคนหนึ่งตะโกน “พวกโจร! พวกโจรมันอยู่นี่!”
“จงฟังข้า! เจ้าพวกโง่! จงนำเงินและผู้หญิงของพวกเจ้ามาให้ข้า”

“พวกข้าเพิ่งจะมอบเงินให้ท่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง และตอนนี้พวกข้าไม่เหลืออะไรแล้ว นายท่าน ได้โปรดเมตตาพวกข้าเถอะ”

“หุบปาก! เจ้าจงนำเงินและผู้หญิงหรือไม่พวกเจ้าก็กระเสือกกระสน พยามยามที่จะสังหารพวกข้าให้ได้ ไม่งั้นพวกข้านิกายลมดำจะสังหารทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช้เหลือแม้แต่หมูสักตัว”

นั้นเสียงอะไร?

เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นมาและมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวของเขา แสงจาง ๆ สาดส่องเข้ามาตารอยแตกของผนัง ด้านบนถูกปิดด้วยกระเบื้องเก่า ผนังห้องที่เกิดจากการนำกิ่งไม้และหญ้ามาปิดกั้นเพียงเพื่อที่จะกันสายลมอันหนามเหน็บพัดมา หน้าตาเป็นเพียงกระดาษบาง ๆ ที่มีรูมากมาย เขาไม่ค่อยได้เห็นบ้านที่ทรุดโทรมเช่นนี้ เขาได้แต่สงสัย ‘ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน’
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ทั่วศีรษะของเขา หน้าอกของเขาไร้ความรู้สึกใด ๆ ราวกับทุกอย่างว่างเปล่า อาการปวดศีรษะเสมือนเกิดขึ้นเป็นพัน ๆ ครั้ง มันราวกับกำลังฉีกกระชากจิตวิญญาณของเขา ซ้ำไปซ้ำมา เขาพยายามข่มความเจ็บปวดของเขาลง เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาตามใบหน้าในขณะที่เขาหอบหายใจอย่างรุ่นแรงเพื่อที่จะสูดอากาศเข้าไป จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแห่งความวุ่นวายจากข้องนอก
“พวกเราไม่ต้องการที่จะสู้ พวกเราไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ จำนวนคนในกลุ่มโจรลมดำมีมากมายนัก… ขอเพียงแค่…หัวหน้าหมู่บ้านขอเพียงแค่เราส่งเด็กสายไปให้พวกเขา เธอ..เธอเป็นเพียงเด็กกำพร้า”
“ข้า…ข้าเพียงแค่ละอายใจต่อบรรพบุรุษของเธอ”
ขณะที่ข้างนอกตกอยู่ในความโกลาหล สัญชาตญาณการเอาตัวรอดได้ผลักให้เขาลุกขึ้น และความรู้สึกเจ็บปวดก็ได้ครอบงำร่างของเขาอีกครั้ง เขาตะเกียกตะกายไปทั่วเพื่อระงับความเจ็บปวด เมื่อความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลงเขาสังเกตได้ว่าเขากำลังสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบสีเทา และรองเท้าที่ทำจากผ้าผืนบาง
มันเกิดอะไรขึ้น?
แบบเสื้อที่เขาใส่อยู่นั้นราวกับเป็นสิ่งที่รวบรวมแฟชั่นจากชนเผ่าต่าง ๆ มันดูราวกับเสื้อคอสเพลย์แปลกประหลาด มันทำให้รู้สึกถึงความแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เมื่อเขากำลังคิดก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นอีกครั้งและคราวนี้ดูเหมือนจะมีบางสิ่งในจิตใจของเขาต้องการที่จะเป็นออกมา
เสียงเคาะประตูดังติด ๆ กัน มันกำลังดังมาจากข้างนอก

“เปิดประตู! คุณซู เปิดประตู!”

“ซู ซาน แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องการเปิดประตู เจ้าก็ต้องเปิด ตอนนี้เพ่ยจือยุนกำลังป่วยไม่มีใครที่จะปกป้องเจ้าได้หรอก”
ผู้คนมากมายก่อให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครม มันดูเหมือนพวกเขากำลังตะโกนอะไรสักอย่าง เป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่เด็กหนุ่มกับเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูด เงามากมายเดินผ่านประตูไปเมื่อฟังจากเสียงฝีเท้าดูเหมือนจะมีคนอยู่ยี่สิบถึงสามสิบคนเลยที่เดียว เขาขมวดคิ้วและพึมพำ “พวกเขากำลังถ่ายหนัง….?”
หลังจากฟังเสียงเคาะประตูอยู่นาน ด้วยความสงสัยเด็กหนุ่มเดินออกไปเปิดประตู จู่ ๆ อาการปวดศีรษะของเขาก็ทุเลาลง เด็กหนุ่มรู้สึกถึงพลังที่วิ่งไปทั่วตัว เขารู้สึกแปลก ๆ และงงงวยเมื่อจู่ ๆ สายตาที่พร่ามัวของเขาก็ชัดเจนราวกับไปทำเลสิกมา
ณ ตอนนี้ เขานึกขึ้นได้ เขาก้มหน้าลงต่ำ… เท้าที่อยู่ในรองเท้ามันทั้งซีดและขาว ขาก็ดูเรียวบางราวกับผู้หญิง

“มะ ไม่น่าใช่มั้ง…”

มือของเขาคลำไปบริเวณหน้าอกอย่างรวดเร็ว และก็ถอนหายใจออกมาเขายกมือขึ้นและมองสำรวจร่างกายมันเป็นร่างกายของคนหนุ่มสาวที่ดูแข็งแรง ฝ่ามือของเขาหยาบกระด้างอาจเป็นผลมาจากการทำงานหนักหรือฝึกฝนวิถีดาบ ในขณะที่เขากำลังสำรวจตัวเองอยู่นั้นสายตาของเขาได้ถูกดึงดูดไปยังชิ้นส่วนฟืนในเตาผิงที่มีมีดติดอยู่
ปัง!
เขาค่อย ๆ แง้มประตูออกมาและมองออกไปข้างนอก ภาพที่เห็นเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ บนยอดเขา ชาวบ้านที่คะยั้นคะยอเพื่อให้ผู้หญิงออกมา
ผู้หญิงในหมู่บ้านต่างได้ยินเสียงตะโกน “เย่ ซูเอ๋อ ถ้าเจ้าไปที่สันเขาลมดำ เจ้าจะมีอาหารอร่อย ๆ มากมาย เจ้าอย่ากลัวไปเลย”
“ทำไมไม่มีเสียงตอบกลับมา?”
“อย่าเสียเวลาพูดเลย เธอเป็นเพียงคนต่างถิ่น เราควรพังประตูและจับตัวเธอมัดไว้!”
“โอ แต่ถ้าในมือเธอมีอาวุธ!”
“ลดเสียงลงซะ ข้าไม่อยากปลุกเขา เจ้าเด็กนั้นมันรักเธอมากและมันก็พอมีฝีมืออยู่บ้างนอกจากนี้มันยังเป็นนักศึกษา”
ณ จุดนี้ ราวกับบทสนทนาของพวกเขาได้หยุดลง ปรากฎเสียงสะอื้นไห้ของเด็กสาวขึ้นมา ราวกับเสียงนั้นเป็นเคยที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “พี่เพ่ย…”
เสียงของเธอราวกับเป็นลูกกุญแจที่ใช้สะเดาะล็อกความทรงจำในอดีตของเขา
บูม

“ข้าสาบานว่าจะตอบแทนเจ้า เมื่อเจ้าสามารถทำสิ่งที่ข้าขอร้องสำเร็จ เพื่อปกป้องคนที่ข้ารักและทำลายผู้ที่ข้ารังเกียจ” เขากล่าวต่อว่า “เจ้าจงเป็นผู้สืบทอดของข้า หวังว่าเจ้าจะทำตามสิ่งที่ข้าขอร้องได้ เมื่อสำเร็จเจ้าจะได้รับพลังทั้งหมดของข้า ‘ดอกเหมยฮัว!’”

ความเจ็บปวดราวกับมีเข็มนับพันเล่มได้ทิ่มไประหว่างคิ้วของเขาขณะที่ร่างกายของเขากำลังแข็งกระด้างอยู่บนพื้นและลมหายใจที่หยุดลง แสงจันทร์สาดส่องผ่านใบไผ่ มายังใบหน้าของเด็กหนุ่มจู่ ๆ ก็ปรากฎดอกเหมยฮั่วระหว่างคิ้วของของอย่างชัดเจน
/////“ไม่!” ในทันทีที่ความทรงจำของทั้งสองคนประสานกัน
เด็กหนุ่มร่างกายสั่นสะท้าน เขากอดคอของเขาก่อนที่ระลอกคลื่นของความทรงจำจะถาโถมมาอีกครั้ง
นี่มันช่างเป็นความฝันที่เชื่องช้าและยาวนาน มันยาวนานยิ่งกว่าช่วงชีวิตของคน คนหนึ่ง
เช่นเดียวกับเขา เขาถูกเรียกว่า เพ่ยจือยุน
ในโลกที่เต็มไปด้วยกฎแห่งเต๋า ผู้คนจากอดีตมักปรากฎพรสวรรค์ทางจิตวิญญาณติดตัวเมื่อเขาลืมตาดูโลก อย่างไรก็ตาม ความไม่รู้ ความอ่อนแอและการกระทำอันโง่เขลา ทำให้เขาเสียเวลาไปห้าปีโดยเปล่าประโยชน์เพื่อที่จะได้เข้าร่วมกับนิกายเต๋า ในที่สุดเขาก็สามารถที่จะเดินไปบนทางแห่งเต๋าได้ แต่เขาก็ถูกหักหลังโดยผู้ที่เขารักและเคารพมาที่สุด…
ความทรงจำต่าง ๆ ได้ปรากฎขึ้นเรื่อย ๆ

“พรสวรรค์ทางจิตวิญญาณ? หลังจากที่ได้รับถ่ายทอดสิ่งที่เหลืออยู่จะเป็นเพียงรากฐานทางจิตวิญญาณเท่านั้น ฉันได้รับความปรารถของเขาที่จะเกิดใหม่และได้มาอยู่ในร่างของเขาเมื่อสิบปีก่อน”

“นี้ฉันเดินทางย้อนเวลามา!”

ร่างกายของเขากำลังอ่อนแอ ศีรษะของเขารู้สึกปวดราวกับกำลังจะแยกออกจากกัน… ความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วนกำลังปรากฎขั้นในจิตวิญญาณของเขาซ้ำไปซ้ำมา เมื่อจิตวิญญาณของเขาเริ่มก่อตัวขึ้น ก็เกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้น ความรัก ความเกลียดชัง ความผิดหวังและความถวิลหา
ก่อนที่ความทรงจำของเขาจะหยุดที่ เย่ ซูเอ๋อ

“นี่เขาถูกปลุกขึ้นโดย ซูเอ๋อ งั้นหรือ”

เย่ ซูเอ๋อคนรักในวัยเด็กของเขาถึงจะแยกจากกันมานานแต่ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันใหม่ในนิกาย ทั้งสองคนไม่สามารถลืมกันได้ อย่างไรก็ตาม เขากลัว…กลัวที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ กลัวอดีต อนาคต ร่างกายและวิญญาณ
ความทรงจำยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และหยุดก่อนที่เขาจะตาย การพบกับศตรูเก่า พบความสามารถของรากดอกเหมยฮัว เกิดรำแสงสายฟ้าระเบิดออกมา ทุกอย่างดับสูญ เขา…. ความปรารถนาในอดีตที่เขามอบให้
บูม!
จู่ ๆ ดอกเหมยฮัวก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขามันขยายตัวออกอย่างรวดเร็วก่อนที่แปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษร มันเกือบจะโปร่งใส ขณะที่ลอยอยู่รอบตัวเขา มันคือรายละเอียดต่าง ๆ

ชื่อ : เพยจือยุน

พลัง : ไม่มี(กาฝาก)

เผ่าพันธุ์ : มนุษย์

อาชีพ : นักศึกษา

เมื่อเด็กหนุ่มพยายามมองหาทักษะที่เขามี มันค่อยปรากฎออกมาช้า ๆ มันเป็นสัญญาลักษณ์สีเทาที่ปรากฎในรูปลักษณ์ของหนังสือและดาบ
เมื่อปรากฎสัญญาณขึ้นมาชัดเจนก็มีคำพูดขึ้นในหัวของเขา

หนังสือทั้งสี่และวรรณกรรมทั้งห้า : ก่อกำเนิด(มือใหม่)

เทคนิคดาบเมฆาล่อง : ก่อกำเนิด(มือใหม่)

จู่ ๆ ก็ปรากฎตัวหนังสือสีแดงขึ้นมา

ภารกิจ : ช่วยเหลือเย่ซูเอ๋อ

สัญญาลักษณ์ดอกเหมยฮัวที่อยู่ระหว่างคิ้วของเขามันไม่เสมือนกับจะไม่ขยับไปไหน แต่ทันที่สิ้นแสงจันทร์ดอกเหมยฮัวกับหายไปราวกับว่ามันไม่เคยปรากฎออกมา