…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

หลงฮานเหวินยิ้มตอบรับก่อนที่จะพูดว่า

“ไม่เป็นไรหรอกเพราะฉันและหลานโอหยางเองก็ได้คุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะมานั่งดื่มด้วยกันไหม ? ”

ซางเฟิงเซี่ยนเองก็ได้ยิ้มพร้อมพูดว่า

“ไม่มีปัญหา งานนี้ฉันเลี้ยงเอง นี่คงจะเป็นนักธุรกิจไฟแรงอัจฉริยะจากเกาะจิงเหมิน ? ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ ฉันได้ยินชื่อเสียงของเธอมามากมาย !”

โอหยางเหล่เองก็ได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“ชมเกินไปแล้ว ”

หลังจากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาหลงฮานเหวินแล้วถามขึ้นว่า

“ลุงหลง เขาคือ ? ”

หลงฮายเหวินได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“เขาเป็นผู้มีอำนาจของเมืองนี้ เธอเคยได้ยินชื่อซางกรุ๊ปไหม ? เขาคือนายใหญ่ของบริษัทนั้น ซางเฟิงเซี่ยน”

โอหยางเหล่ได้พยักหน้าพร้อมกับตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า

“ได้ยินชื่อเสียงของคุณมามากเช่นกัน”

พวกเขาทั้งหมดได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น

ซางเฟิงเซี่ยนเห็นพิมพ์เขียวที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างชัดเจนก่อนที่หลงเจิ้งหยูจะรีบหยิบมันขึ้นมาพร้อมตั้งใจเก็บมันด้วยความระมัดระวัง เขาก็พูดขึ้นว่า

“เพื่อนหลง คนมองการณ์ไกลอย่างพวกเรานั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอ้อมค้อมกัน ฉันอยากจะถามว่านายจะขายพิมพ์เขียวนั่นให้ฉันได้ไหม ? นายว่าราคามาได้เลย ”

ท่าทางของหลงฮานเหวินได้เปลี่ยนไปก่อนที่รอยยิ้มบนในหน้าของเขาจะจางหายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมองไปที่ซางเฟิงเซี่ยนด้วยรอยยิ้มจางๆแล้วพูดว่า

“เพื่อนซางนี่ตาหลักแหลมจริงๆถึงได้รู้ว่าเรามีพิมพ์เขียวนี่ ดูเหมือนว่าจะมีคนทรยศอยู่ในฝั่งฉันนะ อย่างไรก็ตามเราได้จดสิทธิบัตรของพิมพ์เขียวนี่ไว้แล้วและฉันจะไม่ขายมันเด็ดขาด !”

ซางเฟิงเซี่ยนก็ได้พูดต่อว่า

“เพื่อนหลง นายเข้าใจผิดแล้วเพราะพิมพ์เขียวนั่นถูกส่งต่อกันมาทางโทรศัพท์แล้วตอนนี้เองก็มีคนมากมายรับรู้เรื่องนี้ ฉันเองก็ได้รู้มาจากที่นั่นเหมือนกัน”

ท่าทางของหลงฮานเหวินเปลี่ยนไปก่อนที่จะมองไปที่หลงเจิ้งหยูแล้วตะโกนออกมาว่า

“เจิ้งหยู นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ? ”

หลงเจิ้งหยูได้ส่ายศีรษะก่อนที่จะพูดว่า

“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน พิมพ์เขียวนี้เป็นสิ่งที่ผมดูแลเป็นอย่างดีและนอกจากพ่อกับเพื่อนโอหยางแล้วผมก็ยืนยันได้เลยว่าไม่มีใครได้เห็นมันอีก”

หลงฮานเหวินได้พูดออกมาด้วยเสียงโทนต่ำว่า

“หากว่าไม่ได้ถูกเปิดเผยจากพวกเราแล้วมันจะเป็นใครกัน ? อย่างบอกนะว่า……..”

หลงเจิ้งหยูได้ได้ฝืนยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดว่า

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ ! ”

“ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมคนนั้นเองก็เป็นคนที่มีนิสัยดีมากและเขาต้องใช้เวลาถึง6เดือนในการวาดแบบพิมพ์เขียวนี่ให้เรา”

ซางเฟิงเซี่ยนเองก็ได้ยิ้มขึ้นมาทันทีก่อนที่จะพูดว่า

“เพื่อนหลง มารับผิดชอบอะไรตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว ในเมื่อเจ้าของพิมพ์เขียวนั้นคือนายแล้วต่อให้มันแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกก็ไม่มีใครสามารถแย่งมันไปจากนายได้ ในเมื่อนายไม่ต้องการจะขายมันแล้วนายสนใจเรื่องความรวมมือของเราไหม ? ได้ยินมาว่าในหลายวันมานี้นายได้ไปพบกับเจ้าของธนาคารและคนจากรัฐบาลมากมาย ?”

หลงฮานเหวินเองก็ได้พ่นลมหายใจออกมาพร้อมพูดว่า

“ดูเหมือนว่าโลกนี้เองคงจะไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัวเลยน่ะ ฉันคิดว่าฉันทำอย่างรอบคอบแล้วก็ยังมีคนที่สามารถรู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน”

ซางเฟิงเซี่ยนได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“เพื่อนหลง อย่าได้อย่าได้โกรธเคืองฉันเลย จริงๆที่ฉันมาหานายนั้นฉันมาด้วยเจตนาที่ดี ฉันได้เห็นพิมพ์เขียวนั่นแล้วและรู้ว่าสเกลของมันนั้นใหญ่มากๆ ไม่ใช่แค่ย่านที่พักอาศัยหรือย่านธุรกิจและยังมีตึกสูงหลายร้อยเมตร นี่เป็นโครงการที่ใหญ่มากและฉันเองก็ตั้งใจที่จะร่วมมือด้วย ”

หลงฮานเหวินได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดว่า

“นายต้องการส่วนแบ่งของเค๊กชิ้นนี้ด้วยงั้นหรอ ? ”

ซางเฟิงเซี่ยนได้พูดออกมาอย่างจริงจังว่า

“เพื่อนหลง นายไม่สามารถกลืนโครงการใหญ่ขนาดนั้นได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน หากว่าเราร่วมมือกันฉันเชื่อว่าการดำเนินงานจะต้องเป็นไปอย่างราบรื่น ยิ่งไปกว่านั้นคือผู้มีอำนาจใหญ่ทั้งสองของเมืองนี้ร่วมมือกันนั้นจะต้องเป็นอะไรที่ได้รับผลดีอย่างแน่นอน ”

หลงฮานเหวินได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“นายเองก็พูดถูกและฉันเองก็รู้ว่าเราไม่สามารถทานเค๊กก้อนใหญ่นี้ได้คนเดียวอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเมื่อเราร่วมมือกับตระกูลโอหยางนั้นแม้ว่าระยะเวลาการก่อสร้างจะยืดออกไปแต่กำไรเองก็ยังถือว่าพอรับได้ ดังนั้น…..”

ซางเฟิงเซี่ยนได้โบกมือขัดจังหวะพร้อมพูดว่า

“เพื่อนหลง เวลานั้นเป็นเงินเป็นทอง ยิ่งสร้างเสร็จเร็วเท่าไหร่ก็จะได้เงินเร็วขึ้น ในเมื่อตระกูลโอหยางได้เข้าร่วมก็ไม่เป็นไรเพราะเราแค่เซ็นสัญญาร่วมกันแล้วทำงานด้วยกันเท่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลซางของเรานั้นก็มีรากฐานที่แข็งแรงและการที่จะใช้เงินไม่กี่พันล้านก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเรา”

คิ้วของหลงฮานเหวินได้ยกขึ้นขณะที่มองไปที่โอหยางเหล่

โอหยางเหล่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า

“ในเมื่อซางกรุ๊ปเองก็มีเงินทุนมากมายดังนั้นตระกูลของเราเองก็ไม่ขัดข้องแต่ฉันมีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งคือเราจะต้องเริ่มดำเนินงานให้เร็วที่สุดพร้อมกับตั้งหัวหน้างานสำหรับแต่ละบริษัท”

“นี่….”

หลงฮานเหวินและซางเฟิงเซี่ยนได้มองไปที่กันและกันอย่างว่างเปล่าก่อนที่จะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

โอหยางเหล่ได้พูดขึ้นว่า

“ตระกูลของเรานั้นสามารถลงเงินได้5พันล้านและสามารถใช้จ่ายได้ทุกเมื่อแต่คุณทั้งสองนั้นเป็นถึงผู้มีอำนาจของที่นี่และผมเองก็คิดว่าผมค่อนข้างจะเสียเปรียบดังนั้นผมจึงขอให้จัดตั้งหัวหน้างานของแต่ละบริษัทขึ้นเพื่อบริหารเงินด้วยกันและเซ็นสัญญาว่าก่อนที่โครงการจะเสร็จนั้นจะไม่มีใครสามารถดึงเงินทุนเหล่านี้ออกมาใช้ได้ ผมไม่ต้องการให้เรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อแผนการของเรา”

หลงฮานเหวินได้พูดด้วยความประหลาดใจว่า

“ความหมายของเธอคือจะให้พวกเราจัดตั้งหัวหน้างานมาสามคนงั้นหรอ ? นี่มันไม่ดีอย่างมาก การที่เราทำงานโดยไม่มีผู้นำนั้นจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินงานได้”

ซางเฟิงเซี่ยนเองก็เข้าใจถึงสิ่งนี้ดีพร้อมพูดว่า

“ไม่ใช่ว่าหลานเองก็เคยได้บริหารบริษัทงั้นหรอ ? การที่จะให้มีหัวหน้าถึงสามคนนั้นจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างยากลำบากเพราะแต่ละคนก็จะไม่ฟังความเห็นของกันและกัน เมื่อถึงเวลานั้นมันจะมีปัญหาอย่างมากดังนั้นฉันจึงเสนอให้เราจัดตั้งผู้จัดการมาหนึ่งคนและมีอำนาจในการดำเนินงานทั้งหมด”

โอหยางเหล่เองก็ได้คิดอยู่นานก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“หากว่าจะต้องตั้งตัวแทนขึ้นมา คนๆนั้นก็จะต้องเป็นคนที่ผมหามา พวกคุณสามารถมั่นใจได้ว่าผมจะไม่ใช่คนจากตระกูลเราอย่างแน่นอนแต่จะใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อจ้างผู้จัดการที่โด่งดัง หากว่าพวกคุณตกลงเราก็จะดำเนินการเซ็นสัญญาร่วมกันทันทีแต่หากว่าไม่ตระกูลของเราก็จะขอถอนตัว”

หลงฮานเหวินได้มองไปที่ซางเฟิงเซี่ยนก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

“ฉันยอมรับข้อเสนอของเธอ แต่ฉันเองก็ต้องมีอำนาจที่จะยอมรับในตัวผู้บริหารที่เธอเชิญมาเช่นกันและหากว่าเขาไม่ดีพอก็จะขอไม่ยอมรับเช่นกัน”

“ฉันเองก็มีความคิดแบบนั้น !”

ซางเฟิงเซี่ยนได้พูดออกมาอย่างรวดเร็ว

โองหยางเหล่ได้พูดออกมาช้าๆว่า

“ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งและคิดว่าพวกคุณก็น่าจะรู้จักเธอ คังเซี่ยน ! รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าแล้วผมจะรีบไปที่เมืองหลวงเพื่อเชิญเธอ พวกคุณคิดว่าไง ? ”

คังเซี่ยน ?

หลงฮานเหวินและซางเฟิงเซี่ยนได้มองไปที่กันและกันด้วยท่าทางแปลกประหลาดก่อนที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ซางดี่ขวินที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นรู้สึกว่าชื่อนี้มันคุ้นๆแต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครจึงได้ถามออกมาด้วยเสียงกระซิบว่า

“พ่อ คังเซี่ยนนั้นโด่งดังขนาดนั้นเลยหรอ ? ”

ซางเฟิงเซี่ยนได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดว่า

“ยิ่งกว่าโด่งดังด้วยซ้ำ! เธอสร้างแรงสั่นสะเทือนให้โลกได้เลยล่ะ ลูกไม่ได้ครองอำนาจของตระกูลจึงไม่รู้จักตัวตนของผู้จัดการทองคำนัก แต่น่าเสียดายที่……”

ซางดี่ขวินถามออกมาด้วยความรู้สึกสับสนว่า

“น่าเสียดายอะไรงั้นหรอค่ะ ? ”

ซางเฟิงเซี่ยนได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“น่าเสียดายที่เธอไม่ยอมรับการเป็นผู้จัดการของบริษัทไหนๆแล้วเพราะเธอได้สร้างบริษัทของตัวเองและที่ที่เธอเลือกก่อตั้งนั้นก็เป็นที่เมืองแห่งนี้ เคยได้ยินชื่อบริษัทถังผู้สูงส่งไหม ? เธอคือเจ้าของที่นั่น”

ซางดี่ขวินเองก็ได้ไขข้อสงสัยของเธอเพราะว่าเธอเองก็เคยได้อ่านบทสัมภาษณ์จากนิตยสารมากมายของคังเซี่ยนอยู่บ่อยๆ

โอหยางเหล่ที่ได้ยินสองพ่อลูกคุยกันนั้นก็ได้ถามออกมาด้วยความตกตะลึงว่า

“พวกคุณบอกว่าคังเซี่ยนอยู่ที่เมืองนี้ ? ยิ่งไปกว่านั้นคือก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ? ”

ซางเฟิงเซี่ยนได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดว่า

“ใช่แล้ว ! บริษัทถังผู้สูงส่ง”

โอหยางเหล่ได้คว้าโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาทันทีก่อนที่จะโทรไปที่หมายเลขหนึ่งพร้อมถามออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“คังเซี่ยน ฉันโอหยางเหล่ ได้ยินมาว่าเธอก่อทั้งบริษัทเอง ? เรื่องจริงงั้นหรอ ? ”

“เพื่อนเก่า ดูเหมือนว่าข่าวสารของนายจะไปถึงช้าเกินไปไหม ? ฉันเองก็ได้ก่อตั้งมาสักพักนึงแล้วแต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาอีกมากมาย มีอะไรงั้นหรอ ? ที่โทรมาหาฉันก็เพื่อจะถามเรื่องนี้ ? ”

เสียงหัวเราะของคังเซี่ยนได้ส่งผ่านมาทางปลายสาย

โอหยางเหล่ได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“ฉันเองก็เพิ่งจะรู้นี่แหละ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เมืองหลวงหรือสตาร์ซิตี้ ?”

“สตาร์ซิตี้ !”

“ฉันเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เรามาเจอกันหน่อยได้ไหม ? ”

“นายเองก็อยู่ที่เมืองนี้งั้นหรอ ? ได้แน่นอนอยู่แล้ว ! เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแล้วฉันเองก็ไม่ได้เจอนายมาเป็นปีแล้วนะ นายอยู่ที่ไหน ? ฉันจะไปทันที”

“ห้องอาหารหลง!”

“นายเองก็อยู่ที่นี่งั้นหรอ ? โลกนี้มันแคบเกินไปไหม ? บอกเลขห้องมาแล้วฉันจะรีบไปโดยทันที”

“ดี……….”

โอหยางเหล่ได้วางสายก่อนที่จะมองไปที่สายตาของทุกคนที่จดจ้องมาที่เขาพร้อมฝืนยิ้มแล้วพูดออกไปว่า

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะก่อตั้งบริษัทของตัวเองแล้ว ผมได้รู้จักเธอเมื่อ7-8ปีที่แล้วและได้ช่วยเธอแก้ปัญหาบางอย่าง เธอได้บอกมาว่าติดหนี้บุญคุณผมอยู่และผมก็คิดว่าจะให้เธอใช้หนี้นั่นโดยการมาเป็นผู้จัดการของโครงการนี้”

ท่าทางของหลงฮานเหวินเปลี่ยนไปทันทีก่อนที่จะพูดว่า

“นี่ก็ดีเหมือนกันแต่ดูเหมือนว่าเธอคงจะไม่ต้องการนะเพราะเท่าที่ฉันรู้คือโครงสร้างของบริษัทเธอเองก็เรียบร้อยแล้วและฉันมั่นใจว่ามันจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามแต่โรงงานของเธอนั้นยังไปได้ไม่ถึงไหนและยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้เมื่อไหร่ เฟสแรกของบริษัทเรานั้นสามารถยกให้เธอจัดการได้อย่างแน่นอนและมันจะยิ่งเป็นเรื่องที่สะดวกมากเพราะว่ามันอยู่ในเมืองนี้”

ซางเฟิงเซี่ยนเองก็ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“ฉันได้ยินลักษณะนิสัยของเธอมาบ้าง เธอจะยอมตอบตกลงงั้นหรอ ? ”