…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

หลงฮานเหวินได้ชี้ไปที่โอหยางเหล่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

“อย่าบอกนะว่านายไม่ได้ยินที่คังเซี่ยนติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ หากว่าเขาขอร้องมีเหรอที่เธอจะปฏิเสธ ? ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเงินทุนของบริษัทถังผู้สูงส่งนั้นไม่มากนักและการบริหารงานแค่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ฉันคิดว่าเธอจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน ”

โอหยางเหล่ได้พูดต่อว่า

“ผมเชื่อว่าเธอจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน !อย่างไรก็ตามค่าตอบแทนมันก็จะต้องไม่ใช่น้อยๆเช่นกัน”

หลงฮานเหวินได้ทุบไปที่โต๊ะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

“คังเซี่ยนคือใครกัน ? หากว่าเอาเธอมาเป็นผู้จัดการได้ล่ะก็ ลองคิดดูสิว่าเธอจะทำเงินให้เราได้มากมายเท่าไหร่กัน ? ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอจะเรียกเท่าไหร่ !”

ซางเฟิงเซี่ยนเองก็ได้ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น บริษัทยักษ์ใหญ่มากมายต้องการตัวเธอแต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมดและตอนนี้หากว่าใช้หนี้ของโอหยางเหล่เป็นตัวตั้งแล้วล่ะก็ เขารู้ได้เลยว่าผลกำไรที่จะตามมาจะต้องมหาศาลอย่างแน่นอน !

“เธอกล้าขอเท่าไหร่เราก็กล้าให้เท่านั้น ”

ซางเฟิงเซี่ยนได้ตะโกนออกมา

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนที่หน้าประตู หลังจากที่หลงเจิ้งหยูไปเปิดก็ได้พบกับคังเซี่ยนที่ยืนอยู่ด้านนอกพร้อมรีบเชิญเธอเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“โอ้วว ดูคึกคักกันจริงๆ ฉันมาขัดจังหวะพวกคุณหรือเปล่า ? ”

เมื่อเธอเดินเข้ามาก็ได้กวาดตามองไปรอบๆห้องก่อนที่จะหยุดลงที่โอหยางเหล่แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

โอหยางเหล่ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เต็มใบหน้าของเขาก่อนที่จะไปทักทายเธอด้วยการกอดแล้วพูดว่า

“เราเพิ่งจะพูดถึงเธออยู่เลย ! อย่างไรก็ตามเราเป็นถึงเพื่อนเก่าแก่แต่เธอกลับไม่บอกฉันสักนิดเรื่องที่เธอก่อตั้งบริษัทของตัวเอง เธอไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาเลยงั้นหรอ ห๊า ?”

คังเซี่ยนได้ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า

“นายอยู่ที่เกาะจิงเหมินไม่ใช่ที่สตาร์ซิตี้ ยากที่จะทำอะไรร่วมกันอยู่แล้ว ฉันเองก็สงสัยจังว่านายมาที่นี่ทำไมกัน ? มาเที่ยว ? หรือมีเรื่อง ? ”

โอหยางเหล่ได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“ผู้นำตระกูลได้บอกกับฉันมาว่าให้ขยายธุรกิจของตระกูลเราดังนั้นฉันจึงต้องลงทุนอะไรสักอย่างและหากว่ามันเป็นไปได้ด้วยดีเขาก็จะยกตำแหน่งผู้นำให้แก่ฉัน เป็นอย่างไรล่ะ ? ฉันเก่งไหม ? ”

คังเซี่ยนได้เยาะเย้ยออกมาว่า

“ดูด่าทางอวดดีของนายสิ ที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อีกนะ !”

โอหยางเหล่ทำท่าทางไม่สนใจพร้อมกับโบกมือแล้วพูดว่า

“เป็นคนกันเองทั้งนั้น มันไม่เป็นไรหรอก เพื่อนเก่า นี่มันถึงเวลาที่ต้องใช้หนี้บุญคุณแล้วว่าไหม ? ”

ท่าทางของคังเซี่ยนเองก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจังทันทีก่อนที่เธอจะพยักหน้าแล้วพูดว่า

“แม้จะเป็นบุญคุณเล็กน้อยฉันก็จะชดใช้เสมอ ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อหากไม่ได้นายช่วยในวันนั้นฉันก็คงจะตายในอุบัติเหตุครั้งนั้นอย่างแน่นอน ว่ามาสิ ! นายต้องการอะไร”

โอหยางเหล่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“ฉันต้องการเธอ ”

คังเซี่ยนหน้าแดงทันทีพร้อมกับพูดออกมาอย่างอับอายว่า

“ไปตายซะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ ”

โอหยางเหล่แกล้งทำเป็นท่าทีจริงจังพร้อมกับพูดว่า

“ฉันต้องการเธอเพราะฉัน ลุงหลงและลุงซางกำลังจะจัดทำโครงการหนึ่งขึ้นและต้องการให้เธอมาเป็นผู้จัดการของที่นี่ ”

คิ้วของคังเซี่ยนขมวดเข้าหากันก่อนที่จะคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า

“เพื่อนเก่า หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ซัก2-3เดือนฉันเองก็จะตอบตกลงอย่างแน่นอนแต่ตอนนี้………”

หลงฮานเหวินรีบพูดขัดอย่างรวดเร็วว่า

“หัวหน้าคัง เท่าที่ฉันรู้คือบริษัทของคุณนั้นกำลังทำผลิตภัณฑ์เสริมความงามใช่ไหม ? ยิ่งไปกว่านั้นคือสถานที่ทำงานเองก็ยังไม่พร้อมและไม่ต้องพูดถึงเรื่องการผลิตด้วยซ้ำ คุณน่าจะมีเวลาว่างอยู่ในช่วงนี้ หากว่าคุณเข้าร่วมกับเราก็จะถือว่าเป็นการร่วมมือกันของสี่บริษัทซึ้งเงินลงทุนเองก็ไม่ใช่น้อยๆและนั่นก็หมายความว่าผลกำไรก็จะต้องมหาศาลอย่างแน่นอน คุณไม่สนใจ ? ”

คังเซี่ยนส่ายศีรษะพร้อมตอบกลับไปว่า

“ไม่สนใจสักนิด”

“………”

หลงฮานเหวินได้เอามือไปถูจมูกของตัวเองด้วยความอับอายก่อนที่จะส่งสายตาไปที่ซางเฟิงเซี่ยนขณะที่คังเซี่ยนเองก็ไม่ได้สนใจเขา

ซางเฟิงเซี่ยนเองก็รู้เป็นนัยๆแล้วจึงได้พยักหน้าแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“หัวหน้าคัง เราเป็นนักธุรกิจและผลกำไรเองก็มีมากมาย ฉันรับประกันเลยว่าหากว่าคุณเห็นโครงการของเราแล้วคุณจะต้องสนใจอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นคือเราจะตอบแทนคุณอย่างคุ้มค่ากับการที่คุณยอมมาเป็นผู้จัดการของเราอย่างแน่นอน”

“โครงการอะไรงั้นหรอ ?”

คังเซี่ยนแสดงท่าทางสงสัยออกมาจากสายตาของเธอ

หลังจากผ่านไปหลายนาที ดวงตาของเธอก็ได้เปล่งประกายขณะที่มองไปที่พิมพ์เขียวที่วางอยู่ตรงหน้า

เมื่อเห็นเช่นนั้นซางเฟิงเซี่ยนจึงรีบพูดออกมาว่า

“หัวหน้าคัง คุณเองก็น่าจะมีวิสัยทัศน์ทางด้านธุรกิจอยู่แล้ว คุณคิดว่าที่นี่จะสร้างผลกำไรได้ขนาดไหนกัน ? เป็นอย่างไรบ้าง ? คุณต้องการจะร่วมมือกับเราหรือไม่ ? ”

ท่าทางของเธอก็ได้เปลี่ยนไปก่อนที่จะส่ายศีรษะแล้วพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า

“เอาตรงๆฉันเองก็ไม่ค่อยจะได้เห็นโครงการไหนที่น่าสนใจขนาดนี้มาก่อนแต่….ฉันไม่มีเงินมากนักและต่อให้ต้องลงทุนเองก็สามารถลงเงินได้แต่ไม่กี่ร้อยล้านเท่านั้น โครงการของพวกคุณนั้นใหญ่เกินไป”

หลงฮานเหวินได้ถามออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“หัวหน้าคัง คุณสามารถลงเงินได้เท่าไหร่ ? ”

คังเซี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะชูสองนิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า

“มากสุดก็ได้แค่200ล้านเท่านั้น นี่คือเงินที่ฉันจะเอาออกมาจากทุนของบริษัท”

หลงฮานเหวินได้ตอบกลับไปว่า

“หากว่าคุณสามารถลงเงิน200ล้านแล้วยอมมาเป็นผู้จัดการให้เรา ฉันตกลงที่จะให้หุ้นคุณ10% เป็นไง ? ”

10%

ซางเฟิงเซี่ยนจ้องอยู่นานด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยเลยว่าหลงฮานเหวินจะบ้าบิ่นขนาดนี้ต้องรู้ก่อนว่าโอหยางเหล่สามารถลงเงินไป5พันล้านและเขาเองก็คงจะลงเงิน5พันล้านเช่นกัน เขาคิดว่าเงินลงทุนของหลงฮานเหวินก็คงไม่น้อยไปกว่านี้เช่นกัน มันเท่ากับว่าเงินทุนทั้งหมดคือ1.5หมื่นล้าน 10%ก็หมายถึง1.5 พันล้าน ?

หลงฮานเหวินพูดต่อว่า

“ที่ฉันพูดคือหักจากผลกำไร10%”

พริบตานั้นซางเฟิงเซี่ยนก็ผ่อนคลายโดยทันทีเพราะเขาเองก็ไม่มีความเห็นอยู่แล้วถ้าหักจากกำไร

โอหยางเหล่ได้มองไปที่คังเซี่ยนก่อนที่จะพูดแนะนำว่า

“เพื่อนเก่า เธอตกลงเถอะนะ ! ฉันคิดว่าคงไม่มีใครในประเทศนี้ที่เหมาะไปกว่าเธอแล้ว”

คังเซี่ยนยังไม่ได้เร่งรีบตอบกลับไป

เธอได้คิดอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า

“เงินทุนทั้งหมดของพวกคุณมีเท่าไหร่ ? ”

หลงฮานเหวินได้พูดว่า

“ฉันสามารถลงได้มากสุด8พันล้าน นี่เป็นเงินที่รวมมาจากการกู้แล้ว”

โอหยางเหล่ได้พูดต่อว่า

“ฉันเองก็ลงเงินได้5พันล้าน”

คังเซี่ยนได้หันไปมองที่ซางเฟิงเซี่ยน

ซางเฟิงเซี่ยนได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ฉันเองก็สามารถลงเงินได้5พันล้านแต่หากว่าหลังจากนี้ยังต้องใช้เงินก็สามารถเพิ่มได้โดยไม่มีปัญหา”

คังเซี่ยนพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาอย่างตั้งใจว่า

“ฉันต้องการ15%ของผลกำไร หากว่าพวกคุณตกลงก็โอเคแต่หากว่าไม่ก็ถือซะว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ”

15%

หลงฮานเหวินและซางเฟิงเซี่ยนได้มองไปที่กันและกันก่อนที่จะพยักหน้าอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าโอหยางเหล่เองก็จะไม่มีปัญหาสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน

ช่วงกลางดึก

โครงการเมืองประตูทิศใต้ ถังซิ่วกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างขณะที่กำลังถือเอกสารทางการเงินไว้ในมือ ณ ตอนนี้ได้มีไฟหน้ารถส่องสว่างมาจากที่ไกลๆและมันทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมองมัน

“เอี้ยดดด!!”

รถLamborghini จอดอยู่ที่สวนก่อนที่คังเซี่ยนจะเดินออกมา

“อยู่ข้างบนนี่ !”

ถังซิ่วได้โบกมือของเขา

คังเซี่ยนได้ทำท่าทางรูปโอเคก่อนที่จะขึ้นไปที่ชั้นสองในห้องของถังซิ่วก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“บอส คุณดูสบายใจและไม่เครียดเลยน่ะ ! เรานี่เครียดแทบตายเวลาที่ต้องดำเนินแผนการของเรา”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า

“เพื่อไม่ให้ศัตรูของเราตื่นตัว ฉันก็จำเป็นต้องปกปิดตัวตนอยู่แล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง ? ”

คังเซี่ยนได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“เราได้เชิญท่านผู้นั้นลงไปในหม้อต้มแล้วและกำลังรอการทำสัญญาขึ้น การแสดงของโอหยางเหล่นั้นถือว่าดีมากจึงทำให้เขายอมตกลง การเซ็นสัญญาจะเกิดขึ้นวันมะรืนที่ห้องอาหารหลงเช่นเคย”

ถังซิ่วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“หลงฮานเหวินนั้นพูดถูกต้องจริงๆ เมื่อยามที่โลกเฟื่องฟู ผลประโยชน์ก็จะเข้ามาและหากว่าโลกอยู่ในความโกลาหล ผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะหายไป ซางเฟิงเซี่ยนนั้นเก่งมากที่สามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เข้าใจอะไรเลยว่านี่เป็นกับดักไม่อย่างนั้นถ้าหากโครงการนี้เสร็จจริงๆก็จะทำให้ตระกูลของพวกเขาได้รับผลประโยชน์มากมาย”

คังเซี่ยนได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“ในพระคัมภีร์ได้เขียนเอาไว้ว่าความโลภเป็นต้นต่อของความชั่วร้าย”

ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะพร้อมพูดว่า

“ความอยากของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดที่สามารถมองเห็นและไขว่คว้ามัน อ่อใช่ เรื่องที่ฉันได้สั่งเธอไปนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ? ”

คังเซี่ยนได้ยื่นแฟ้มไปให้ถังซิ่วก่อนที่จะพูดว่า

“คนอื่นๆในตระกูลซางนั้นได้ถูกพวกเราติดตามไว้หมดแล้วแต่ยังเหลืออยู่หนึ่งคนที่เราไม่สามารถหาเจอได้แม้แต่เงา”

ถังซิ่วถามออกมาด้วยความสับสนว่า

“มันเป็นใคร ? ”

“ซางหยงจิน”

คังเซี่ยนได้ตอบกลับ

คิ้วของถังซิ่วขมวดเข้าหากันก่อนที่จะพูดว่า

“จำไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องควานหาตัวมันมาให้ได้ จะตัดหญ้าก็ต้องขุดรากถอนโคนมันให้หมด ฉันไม่ต้องการที่จะทิ้งต้นตอของหายนะไว้”

คังเซี่ยนได้พูดต่อว่า

“กำลังตามหาแต่ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะอยู่ที่เมืองนี้แล้ว”

ถังซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า

“พรุ่งนี้ให้เธอไปบอกหลงฮานเหวินและโอหยางเหล่ให้พวกเขาช่วยหาซะ รวมไปถึงเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งด้วยเช่นกัน ไม่ว่ามันจะไปหลบอยู่ที่รูไหน ต่อให้เราต้องขุดมันขึ้นมาก็ต้องหามันให้เจอ”

“ได้เลย!”

คังเซี่ยนได้พยักหน้าตอบรับ

โรงพยาบาลจีนเมืองสตาร์ซิตี้

แสงไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งตึก ที่ชั้นสี่ของห้องฉุกเฉินนั้นมีญาติผู้ป่วยหลายคนกำลังรออยู่อย่างตื่นตระหนก ขณะที่ประตูห้องได้ถูกเปิดออกนั้นก็ได้มีหมอสองคนเดินออกมาพร้อมเหงื่อที่ท่วมตัวพวกเขา

“คุณหมอ ภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้าง ? ”

ชายวัยกลางคนที่ได้เห็นพวกเขาก้าวออกมาก็ถามออกมาทันที

หมอคนนั้นก็ได้ตอบกลับไปว่า

“เราได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเราไม่มีทางที่จะเอาตะปูนั้นออกมาจากตัวเธอได้เลยเพราะตำแหน่งของมันอยู่ใกล้กับหลอดเลือดใหญ่และหัวใจเป็นอย่างมาก หากว่าเราขาดความระมัดระวังเล็กน้อยก็อาจทำให้เธอเสียชีวิตได้แม้ว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ได้แต่ก็ยังคงอันตรายอยู่ตลอดเวลา”

ชายวัยกลางคนก็ได้ตามออกมาด้วยความตื่นตระหนกว่า

“แล้วอย่างนั้นจะทำเช่นไร ? อย่าบอกนะว่าต้องรออยู่อย่างนี้ ?”

หมอคนนั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วตอบกลับไปว่า

“เราหมดหนทางแล้วจริงๆ เราเองก็ทำสุดความสามารถแล้ว”