…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเจียงเฟิงนั้นคือหยางเซียนหยูที่มีอายุประมาณ70ปีแต่ยังคนดูเต็มไปด้วยพลังพร้อมรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแรง แม้ว่าเขาจะแพ้ให้แก่เจียงเฟิงแต่เขาก็ไม่ค่อยสนใจนักเท่าไหร่

“ไอ้ตาเฒ่าเอ๋ย นายนั้นแก่กว่าฉันแถมนายยังเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธที่มีพรสวรรค์ การแพ้ให้นายก็ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าแปลกแม้แต่น้อย ฉันที่แพ้นายที่ยังไม่เคยแพ้ให้แก่ใครเลยนั้นมันไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอายตรงไหน อ๊า !”

เจียงเฟิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“หัวใจของฉันนั้นยังไม่เคยแก่ เราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปีแล้วและก่อนหน้านี้ตอนที่เรากินดื่มกันนั้นฉันลืมถามไปว่านายมาที่เมืองนี้ทำไมงั้นหรอ ? ”

หยางเซียนหยูที่ได้ยินคำถามของเจียงเฟิงนั้นก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า

“ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่าที่เกาะจิงเหมินนั้นได้มีหมอหนุ่มผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาอาการป่วยแปลกๆของเด็กหญิงคนนึงได้ ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นก็ไม่มีหมอที่ไหนสามารถรักษาเธอได้และฉันเองก็ได้รีบไปที่เกาะนั่นแต่ก็คว้าน้ำเหลวและหลังจากนั้นฉันก็ใช้ทุกวิธีทางเพื่อสืบและรู้มาว่าเขาเป็นคนของเมืองนี้”

เจียงเฟิงได้พูดถามต่อว่า

“แล้วนายจะมองหาหมอคนนั้นไปทำไม ? หรือว่านายป่วยเป็นโรคร้ายแรง ? ”

หยางเซียนหยูได้พูดออกมาอย่างขมขื่นว่า

“หญิงชราที่บ้านของฉันนั้นที่เป็นมังสวิรัติและตลอดชีวิตก็เอาแต่สวดมนต์นั้น ฉันคิดว่าเมื่อเธอแก่แล้วจะได้จับการอวยพรจากพระเจ้าแต่ที่ไหนได้เธอกลับหยอดเลือดในสมองแตกขณะที่เธอหลับแต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่เธอนั้นได้รับโรคที่แปลกประหลาดและเอาแต่หมดสติพร้อมพึมพำออกมาว่าได้พบกับเทพดังนั้นฉันจึงรีบมาที่เมืองนี้ด้วยตัวเองเพื่อที่จะมาหาหมอคนนั้นและขอร้องให้เขาช่วยเหลือเธอ”

เจียงเฟิงพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“ฉันมีเพื่อนเก่าอยู่และเขาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจีนเมืองนี้ ฉันจะโทรไปถามเขาให้! ฉันแน่ใจว่าเขาจะต้องรู้แน่ว่าหมอคนนั้นคือใคร”

หยางเซียนหยูจ้องมองอยู่นานขณะที่เขากล่าวขอบคุณออกมาว่า

“ขอบคุณมากเพื่อนเจียง”

“ไม่ต้องเกรงใจ”

เจียงเฟิงยิ้มออกมาแต่ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาหลีฮงจี้นั้นก็ได้มีเสียงดังออกมาจากหน้าประตูพร้อมกับเสียงร้องหวยโหน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? ”

เจียงเฟิงได้วางโทรศัพท์ลงพร้อมกับมองและถามไปที่ลูกชายคนสุดท้องที่กำลังวิ่งเข้ามา

เจียงเซียนนั้นมีอายุ30ปีด้วยรูปร่างที่สูงขณะที่ใส่ชุดคลุมสีดำพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“คุณพ่อ มีใครบางคนได้ท้าดวลสำนักเรา”

ว่าอะไรนะ ?

ท่าทางของเจียงเฟิงนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดยทันที

เขานั้นเข้าใจอย่างดีว่าครั้งล่าสุดที่มีคนมาท้าดวลนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วและหลังจากนั้นมาชื่อเสียงของเขาก็ได้โด่งดังไปทั่วพร้อมกับลูกศิษย์ที่ได้ฝึกสอนมามากมายทำให้ทั้งเมืองนี้ไม่มีใครกล้ามาท้าดวลสำนักของเขาอีกเลย แต่นี้มันใครกันทีกล้ามาท้าดวลเขา ?

“ไปกัน ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครที่ไหนกันที่กล้ามาท้าดวลสำนักของเรา”

เจียงเฟิงได้ผลักประตูออกไปพร้อมกับหน้าตาที่บูดบึ้งและเดินไปทางลานกว้างด้านหน้า

สำนักของเขานั้นค่อนข้างใหญ่ที่เดียวและอาจจะเทียบได้กับโรงเรียนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ลานด้านหน้านั้นเป็นที่ที่ไว้ฝึกวิทยายุทธส่วนด้านหลังนั้นมีไว้สำหรับเป็นโรงนอน

ลานฝึกยุทธ

ถังซิ่วและคังเซี่ยนได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ซ่งไทกุยได้ไปหามาให้แต่พวกเขาทั้ง20คนนั้นได้ยืนอย่างมีวินัยอยู่ข้างๆถังซิ่วและคังเซี่ยนข้างละ10คน

ด้านหน้าของถังซิ่วนั้นได้มีซูวเทียนเขวียนและคนอื่นๆที่กำลังนอนอยู่เหมือนหมาตายและกำลังสลบอยู่

ที่ลานกว้างนั้นเมื่อเจียงเฟิงได้มาถึงและเห็นฉากตรงหน้า ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีขณะที่แววตาของเขาแผ่ความเย็นออกมาพร้อมกับสั่งให้ศิษย์ของสำนักไปล้อมรอบกลุ่มของถังซิ่วและถามออกมาอย่างดังว่า

“คุณเป็นใคร !”

ถังซิ่วพูดอย่างสบายๆว่า

“นายก็ได้ยินแล้วหนิว่าฉันมาท้าดวลสำนักของนาย เอาเป็นว่าฉันใช้ชื่อสำนักAแล้วกัน ฉันขอท้าดวล! ฉันนั้นไม่ค่อยสบอารมณ์กับสำนักของนายนัก ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ปิดซะเพราะสำนักของแกผลิตคนมากมายที่ออกไปรังแกคนอื่น”

เจียงเฟิงได้มองไปที่ซูวเทียนเขวียนและคนอื่นๆพร้อมกับพูดออกมาว่า

“ท่านผู้สูงส่ง การที่จะท้าดวลสำนักของเราก็ควรที่จะบอกชื่อออกมาและฟังจากน้ำเสียงของคุณแล้วดูเหมือนว่าคนจากสำนักของเราได้ไปล่วงเกินคุณสินะ มันคือเรื่องอะไรอย่างงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วหันหน้าไปมองที่ซ่งไทกุยพร้อมพูดออกมาว่า

“ปลุกไอเด็กนั่นซะ”

“รับทราบ!”

ซ่งไทกุยได้เดินไปข้างๆซูวเทียนเขวียนพร้อมกับยกเขาขึ้นมาและเหวี่ยงกำปั้นใส่หน้าเขาอย่างรุนแรงก่อนที่จะเอาเท้าเหยียบเขาซ้ำจนจมหายไปในดิน ความเจ็บปวดนี้ได้เรียกสติของเขาคืนมาแต่เขาก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างโหยหวนเช่นกัน

(*นี่แน่ใจนะว่าใช่วิธีปลุก ? 5555 แอดว่ามันจะตายเอาซะก่อน)

หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีเขาก็ได้ระงับอาการเจ็บปวดไว้พร้อมกับมองไปรอบๆแล้วก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับมายังสำนักของตัวเองแล้วและยังเห็นสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นได้ทำให้ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปโดยทันที

“ท่า-ท่าน อาจารย์……… ท่านอาจารย์! ”

ซูวเทียนเขวียนนั้นก็ยังกลัวอยู่ภายในใจแจ่เขาก็ยังร้องเรียกออกไป

เจียงเฟิงได้ตะโกนออกมาอย่างดังว่า

“บอกฉันมาสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? ”

ซูวเทียนเขวียนได้พูดออกมาขณะที่มองไปที่ถังซิ่วอย่างหวาดกลัว

“ท่านอาจารย์ ผมมันไม่ดีเองที่ทำให้ท่านเสียหน้า ”

“พูดให้ตรงประเด็น!!!!!!”

เจียงเฟิงได้ตหวาดออกมาอีกครั้ง

ซูวเทียนเขวียนได้เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเหตุมาจนถึงปัจจุบันว่า

“ท่านอาจารย์ เขานั้นได้ตบหน้าคู่มั่นของผมและผมไม่สามารถยอมรับความอับอายนี้ได้ดังนั้นผมจึงได้เอาศิษย์พี่และศิษย์น้องไปเพื่อทำร้ายเขา เรื่องนี้นั้นเป็นความผิดของผมเอง ท่านอาจารย์อย่าได้โทษคนที่เหลือเลยและหากท่านอยากลงโทษก็ขอให้ทำกับผมแค่คนเดียว”

เจียงเฟิงได้มองไปที่ถังซิ่วพร้อมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาและพูดว่า

“นี่ท่านผู้สูงส่งจะไม่ทำเกินไปหน่อยหรอ ? คุณได้ทุบตีศิษย์ของสำนักเรายังไม่พอแต่ยังกล้ามาที่นี่ คุณคิดว่าเราเป็นพวกที่ถูกรังแกง่ายๆอย่างงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วโบกมือทันทีพร้อมกับพูดอย่างไม่แยแสว่า

“เกี่ยวกับสำนักของนายนั้นฉันเองก็ไม่ค่อยพิสมัยนักหรอก นี่เป็นครั้งที่สองที่คนจากสำนักของนายได้รับการว่าจ้างมาทำให้ฉันพิการแต่ถูกฉันทุบตีกลับไป ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าพวกเขาทั้งสี่คนอยู่ที่นี่หรือเปล่า ? ”

สี่คน ?

ได้รับบาดเจ็บ ?

เจียงเฟิงได้คิดถึงเฟย์เขวียนและคนอื่นๆที่ไม่กี่วันมานี้ได้รับบาดเจ็บและเขาเข้าใจมันอย่างทะลุปรุโปร่งโดยทันทีเพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้โกหกเขาว่าได้ไปล่วงเกินคนแข็งแกร่งคนนึงและได้ถูกทุบตีมาแต่เขาไม่คิดเลยว่าศิษย์ของเขานั้นจะไปรับเงินมาจากคนอื่นเพื่อทำเรื่องแบบนี้

แต่อย่างไรก็ตาม

เขากำลังถูกข่มเหงโดยคนอื่นอยู่ในบ้ายของตัวเองและเขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ เขามองไปที่ถังซิ่วก่อนที่จะพูดออกมาเสียงดังว่า

“ในเมื่อคุณต้องการที่จะท้าดวลและการที่คุณสามารถล้มศิษย์ที่ไม่มีอะไรดีพวกนี้ได้ก็แสดงให้เห็นว่าคุณนั้นพอมีฝีมืออยู่บ้าง”

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างขบขันว่า

“ฉันไม่สนใจดูวิทยายุทธไร้สาระของนายหรอก ฉันจะให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเราเป็นคู่มือให้พวกนายเอง”

เจียงเฟิงพูดออกมาด้วยความโกรธว่า

“หยิ่งยโสเกินไปแล้ว!”

ถังซิ่วพูดออกมาว่า

“หยิ่งหรือไม่นั้นรอดูหลังจากการประลองเถอะ พวกนายคนไหนที่ต้องการจะไปเล่นกับตาเฒ่านั่น ? ”

“ผมเอง !”

ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยเสียงดังก้อง

ถังซิ่วพยักหน้าพลางพูดออกมาว่า

“จำไว้ว่าให้ทำตามกฎด้วย อย่าได้ฆ่าเขาก็พอ”

“ครับผม !”

ชายรูปร่างกำยำคนนั้นได้พยักหน้าอย่างรวดเร็ว

เจียงเฟิงได้มองไปที่ถังซิ่วก่อนที่จะมองชายรูปร่างกำยำคนนั้นพร้อมหันหน้าไปหาลูกชายของเขา เจียงเซียนก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า

“เซียนน้อย ลูกออกไป”

“เยี่ยม!”

เจียนเซียนได้ก้าวออกมาข้างหน้า

ถังซิ่วมองไปที่นาฬิกาพร้อมพูดออกมาว่า

“จัดการให้มันเร็วๆหน่อยนะ ฉันเองก็ไม่มีเวลามากและยังต้องทำอย่างอื่นอีก ไม่ว่างมาเสียเวลาที่นี่”

“ครับผม !”

ชายรูปร่างกำยำคนนั้นได้ตอบตกลงพร้อมพุ่งออกไปยังเจียงเซียน การก้าวเดินของเขานั้นมั่นคงและเร็วเป็นอย่างมาก เขาเองนั้นได้รับการฝึกฝนอย่างหฤโหดที่ค่ายพิเศษของต่างประเทศ เขาได้ฝึกเทคนิคการฆ่าและได้เข้าร่วมมาหลายสนามรบเช่นกัน

“นกอินทรีย์สยายปีก!!!”

เจียงเซียนได้อ้าแขนออกพร้อมโจมตีไปที่ชายรูปร่างกำยำคนนั้นอย่างรวดเร็ว

“เหอะ !!”

ชายรูปร่างกำยำคนนั้นได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับชกไปที่คอของเจียนเซียนอย่างรวดเร็วพร้อมฟาดขาซ้ายไปที่ไหล่ของเขา หมัดของเขานั้นได้ถูกกัยไว้ได้แต่ขาของเขาได้ฟาดไปที่ไหล่ของเจียนเซียนอย่างรุนแรง

“โคร๊ม………”

ร่างกายของเจียนเซียนนั้นถูกเตะลอยออกไปกระแทกกับพื้นอย่างหนัก ผู้ฝึกวิทยายุทธที่มองอยู่รอบๆนั้นก็ได้เห็นว่าเกิดปัญหาขึ้นที่ไหล่ของเขาและไม่สามารถใช่ต่อสู้ได้อีกต่อไป

ในหมู่ของคนจากสำนักนั้นได้มีคนอายุประมาณ40ปีที่ร่างกายค่อนข้างมองพร้อมกับจมูกโด่งได้แสดงท่าทีที่เย็นชาออกมาพร้อมพูดว่า

“เยี่ยม ไร้ปราณีและแข็งแกร่งทีเดียว ฉันผู้ฝึกสอนซีตู่หลู ได้โปรดชี้แนะ! ”

ชายรูปร่างกำยำคนนั้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็คิดว่าเจียงเซียนนั้นจะพอมีฝีมืออยู่บ้างแต่หลังจากที่เขาได้เอาชนะมันได้อย่างง่ายดายแล้วนั้น เขาก็รู้สึกเบื่อเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือบอสได้สั่งไว้ว่าห้ามฆ่าใครเด็ดขาดไม่อย่างนั้นเมื่อกี้นี้เขาใช้แค่ครึ่งวินาทีก็คงจะสามารถฆ่าเจียนเซียนได้อย่างง่ายดาย

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างสบายๆว่า

“ในเมื่ออีกฝ่ายยังอยากจะเล่น นายก็เล่นเป็นเพื่อนเขาพวกเขาไปก่อนแล้วกัน ต่อให้พวกเขาสักสิบคนเลยและหากว่าพวกเขาทั้งสิบคนสามารถล้มนายได้ ฉันจะถือว่าวันนี้ฉันเป็นฝ่ายแพ้แล้วกัน”

“เหิมเกริมเกินไปแล้ว!!!!!!!!!!!!”

เจียงเฟิงได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า

“ไอหนู นายยังไม่ได้บอกชื่อของตัวเองด้วยซ้ำ”

ถังซิ่วชี้ไปที่ชายหนุ่มรูปร่างกำยำก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“นายส่งคนออกมาสิบคนและหากมารุมเขาจนชนะได้ฉันจะไขข้อสงสัยของนายไม่อย่างนั้นสำนักนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังจริงๆ จากบอกชื่อฉันไปนั้นก็เท่ากับสร้างความอับอายให้กับตัวฉันเอง !”

เจียงเฟิงได้ยิ้มออกมาด้วยความโกรธพร้อมพูดอย่างรวดเร็วว่า

“ดี ดี ดี ดี ปากดีจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ดี ฉันจะทำตามคำขอของคุณ ก้าวออกมาสิบคนและล้มเขาให้ได้ !!”

ชั่วพริบตา!

ศิษย์จากสำนักสิบคนได้กระโจนไปที่ชายหนุ่มคนนั้นพร้อมกันและล้อมรอบเขาไว้พร้อมกับแววตาที่ตื่นเต้นเหมือนกำลังเห็นลูกแกะที่อยู่ในกำมือและพร้อมจะถูกพวกเขาเชือดเฉือน

ชายหนุ่มคนนั้นก็ส่งสายตาที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขากำลังถูกจุดขึ้นเพราะเขารู้ว่าถังซิ่วนั้นยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมากและเริ่มเปิดฉากการโจมตีอย่างรวดเร็ว