…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นท่าทางของถังซิ่วก็เปลี่ยนไปโดยทันที เขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่กำลังจดจ่อมาที่ตัวเขาจากรอบข้าง

“เรื่องอะไรกัน ? ”

จิตสัมผัสของเขาได้แผ่ออกไปกว่า200เมตรและสิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วนั่นก็เพราะว่าเขาเห็นว่ามีคนกำลังสังเกตการณ์เขาอยู่ไกลๆพร้อมกับอันธพาลกว่า30คนที่ติดอาวุธมีคมไว้เต็มไปหมด

ถังซิ่วเงียบอยู่ครู่หนึ่งพร้อมถามคังเซี่ยนว่า

“คังเซี่ยน หลังจากนี้เธอมีธุระอะไรอีกหรือเปล่า ? ”

คังเซี่ยนส่ายศีรษะแล้วพูดว่า

“วันนี้ฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้วกะว่าจะกลับไปนอน มีอะไรงั้นหรอ ? อยากจะชวนฉันไปไหนงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วถามออกมาว่า

“อยากจะดูโชว์เด็ดๆกับฉันไหม?”

โชว์เด็ดๆ ?

คิ้วของเธอยกขึ้นทันทีพร้อมถามออกมาว่า

“โชว์เด็ดอะไรงั้นหรอ? ที่ไหน? ”

ถังซิ่วได้ตอบออกไปอย่างสงบว่า

“แล้วแต่เธอนะ ! ถ้าเธอไม่อยากจะดูก็กลับไปก่อนเลยแต่ถ้าอยากก็เดินตามฉันมา”

“ดี!”

คังเซี่ยนพยักหน้า

หลังจากผ่านไปหลายนาที ถังซิ่วและคังเซี่ยนได้เดินไปที่สวนแถวๆนั้น ร่มเงาสลัวๆอากาศอุ่นๆ

ถังซิ่งที่เดินไปอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นั้นได้หยุดเท้าลง

คังเซี่ยนได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า

“บอส คุณมาฉันมาที่นี่ทำไมงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วยิ้มออกมาพร้อมปล่อยจิตสัมผัสออกไปรอบๆและพูดด้วยเสียงดังก้องว่า

“ขอบคุณที่อุส่าตามกันมาถึงนี่ ตอนนี้ก็มีเพียงแค่พวกเราแล้วยังจะหลบอยู่อีกงั้นหรอ ?”

“ไอ้เด็กโง่ แกมันบ้าไปแล้ว !”

ซูวเทียนเขวียนได้เดินออกมาพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาพร้อมกับอันธพาลติดอาวุธมีคมกว่า30คนที่ได้รายล้อมอยู่รอบตัวของถังซิ่ว

ถังซิ่วได้หยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมกับโทรไปยังเบอร์หนึ่งแล้วพูดออกมาว่า

“อยู่ที่ไหน ? ”

“ใกล้ๆนี้”

เสียงเย็นชาของซ่งไทกุยได้ถูกส่งผ่านมา

ถังซิ่วได้สั่งการออกมาว่า

“มาที่นี่เดี๋ยวนี้และล้อมรอบพวกมันไว้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ห้ามไปไหนทั้งนั้น ”

“รับทราบ!”

หลังจากที่สิ้นสุดการโทรนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ได้ออกมาจากข้างหลังของพวกอันธพาลเหล่านี้ด้วยใบหน้าที่แข็งกระด้าง หากว่ายังไม่ได้รับคำสั่งของถังซิ่วนั้นพวกเขาก็จะไม่ลงมือเด็ดขาด

“หือ ?”

ท่างทางของซูวเที่ยนเขวียนเปลี่ยนไปทันทีก่อนที่พี่น้องของเขาเองก็แสดงท่าทางหวาดผวาเช่นกันเพราะพวกเขาคิดว่าไอ้เด็กโง่ถังซิ่วนั้นได้ตกไปอยู่ในกำมือของพวกเขาเรียบร้อยแล้วแต่อยู่ดีๆก็มีชายรูปร่างกำยำโผล่ออกมาถึง20คนและพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่คนของเขา

ถังซิ่วมองไปที่ซูวเทียนเขวียนและคนอื่นๆก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกแกเป็นใครและก็ไม่สนใจที่จะรู้ด้วย ฉันแค่อยากจะถามคำถามเดียวเท่านั้นและฉันรับประกันเลยว่าชะตากรรมของคนที่ตอบคำถามนั้นจะดีกว่าคนที่เหลืออย่างน้อยสิบเท่า”

ซูวเทียนเขวียนได้พูดเยาะเย้ยออกมาว่า

“ถังซิ่ว ? แกนี่มันเหมือนกับที่เราสืบมาไม่มีผิด เหิมเกริมและหยิ่งยโสโอหังจริงๆ แกคิดว่ามีวิทยายุทธนิดหน่อยแล้วจะมากำแหงต่อหน้าพวกเราได้งั้นหรอ ? พวกเราจากสำนักมังกรรุ่งโรจน์นั้นมักจะรังแกคนอื่นแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เราจะถูกรังแก!”

สำนักมังกรรุ่งโรจน์ ?

คิ้วของถังวิ่วขมวดเข้าหากัน เขามีอคติกับสำนักนี้เป็นอย่างมาก ครั้งก่อนก็เฟย์เขวียนและสามพี่น้อง ครั้งนี้ยังจะมีคนเหล่านี้อีก

“ไหนบอกมาหน่อยสิว่ามาหาฉันทำไม ? ”

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง

ซูวเทียนเขวียนพูดออกมาพลางหัวเราะเยาะว่า

“เป็นอะไรไป ? ได้ยินว่าเรามาจากสำนักมังกรรุ่งโรจน์แล้วเกิดกลัวงั้นหรอ? พ่อแกคนนี้จะบอกเอง แกกล้าที่จะตบผู้หญิงของฉันแล้วจุดจบของแกจะต้องอนาถอย่างแน่นอน คนของแกในสายตาของฉันนั้นก็เป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น”

ถังซิ่วถามต่อว่า

“ผู้หญิงของแก ? คือ ? ”

ซูวเทียนเขวียนได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาพร้อมพูดว่า

“ซางดี่ขวิน แกอย่ามาทำเป็นไขสือ ”

ถังซิ่วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“ดูเหมือนว่าเธอคงขอร้องให้แกมาจัดการฉัน ! พวกเธอสองพี่น้องนั้นเป็นคนชั่วช้าและแกเองก็เป็นเช่นนั้น ก็ดี ! หลังจากที่ฉันจัดการแกแล้วก็จะกลับไปจัดการพวกเขาอีกครั้ง ”

หลังจากพูดจบเขาก็หันไปมองที่คังเซี่ยนขณะที่ถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“เธอคิดว่าฉันจะให้พวกเขาจัดการดีไหม ? หรือฉันแค่คนเดียวดี ? ”

คังเซี่ยนถามออกมาว่า

“คุณสามารถชนะคนเหล่านี้ได้งั้นหรอ ?”

ถังซิ่วยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้าแล้วพูดว่า

“ฉันเข้าใจคามหมายของเธอดี ! เธอยืนอยู่ตรงนั้นแหละแล้วจะแสดงโชว์เด็ดให้ได้ดูเอง”

ขณะที่พูดจบนั้นถังซิ่วก็ได้ถุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าซูวเทียนเขวียนและคนอีกห้าคนที่อยู่ห่างออกไป7-8เมตรในพริบตาพร้อมกับกระหน่ำหมัดไปที่พวกเขาอย่างรวดเร็ว เขาอัดไปที่ซี่โครงด้านซ้ายของซูวเทียนเขวียนพร้อมกระหน่ำซ้ำไปที่ซี่โครงด้านขวาเช่นกัน

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

เสียงร้อยโหยหวนได้ถูกส่งออกมาจากซูวเทียนเขวียนและคนอื่นๆ

“หลีกไปซะ !”

ชายวัยกลางคนอีกคนได้เห็นถึงข้าของถังซิ่วที่กำลังฟาดมาที่เขาดังนั้นจึงรีบยกแขนขึ้นมาเพื่อป้องกันเอาไว้แต่เมื่อเกิดการปะทะนั้นก็ได้มีเสียงกระดูกแตกร้าวดังออกมาตั้งแต่แขนไปจนถึงหัวไหล่ของชายคนนั้นพร้อมกับหล่นลงไปนอนอยู่ที่พื้น

“เปรี้ยง ปึ้ก เพรี้ย”

หน้าตาของถังซิ่วนั้นยังคงยิ้มอยู่ขณะที่เขาได้ล้มคนทั้ง5จากสำนักมังกรรุ่งโรจร์ลงภายใน4-5ลมหายใจเท่านั้น การเคลื่อนไหวของเรานั้นดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมากขณะที่คนทั้ง20คนได้จ้องมองการเคลื่อนไหวของเขาโดยไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย

“การแสดงได้จบลงแล้ว !”

ถังซิ่วตบมือพร้อมกับถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“เป็นอย่างไร ? การแสดงของฉันดีไหม ? ”

คังเซี่ยนได้ยกนิ้วโป้งขึ้นมาพร้อมกับสรรเสริญว่า

“สุดยอดไปเลย ฉันไม่เคยเห็นใครที่น่าทึ่งเท่าคุณมาก่อน แม้จะเป็นนักมวยจากต่างประเทศหรือฉากต่อสู้ในหนังก็ไม่สามารถเทียบกับคุณได้แม้แต่น้อย ตอนที่คุณกำลังทุบตีคนอื่นนั้นฉันหลงคิดไปว่าคุณกำลังใช้ศิลปะบางอย่างด้วยซ้ำ”

ถังซิ่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมพูดว่า

“ปากหวานจริงๆ สมแล้วที่เป็นสุดยอดนักธุรกิจ”

คังเซี่ยนได้ยิ้มออกมาเบาๆพร้อมกับพูดว่า

“บอสชมเกินไปแล้ว อ่อใช่ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ ?? คนพวกนี้บอกว่าคุณได้ไปตบผู้หญิงของเขาและนั่นเป็นเหตุให้มาสร้างปัญหากับคุณ”

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างสบายๆว่า

“ฉันไม่ได้มีความเคียดแค้นอะไรกับพวกเขาแต่น้องชายของผู้หญิงคนนั้นมันโอหังเกินไป เขาได้รับบทเรียนไปจากฉันแล้วครั้งนึงแต่ก็ยังคงแค้นฉันอยู่ส่วนผู้หญิงคนนั้นได้แพ้การพนันที่ฉันเป็นคนช่วยหลงเซ้งหยูและฉันได้ไปพบกับพวกเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้แต่ปากของพวกเขานั้นเน่าเสียเกินไปฉันจึงได้ตบเธอแต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะไปหาคนมาจัดการกับฉัน”

คังเซี่ยนพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“บอส ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณนั้นเป็นคนที่จะไม่ไปหาเรื่องใครก่อน ดูเหมือนว่าปากของผู้หญิงคนนั้นคงจะเน่าจริงๆ ”

ถังซิ่วยิ้มพร้อมกับมองไปที่อันธพาลที่เหลือทั้ง30คนพร้อมพูดออกมาอย่างดังว่า

“ทุบพวกมันซะและจำไว้ว่าให้หักขาพวกมันทุกคน หากว่าไม่ได้รับบทเรียนซะบ้างก็คงจะเป็นผู้เป็นคนไม่ได้”

“รับทราบ!”

คนกว่า20คนได้ตอบเป็นเสียงเดียวกันพร้อมพุ่งไปทุบตีอันธพาลเหล่านั้นอย่างโหดร้าย การโจมตีของพวกเรานั้นไม่มีความปราณีแม้แต่น้อยและหลังจากผ่านไปเพียงแต่ครึ่งนาทีนั้น พวกอันธพาลก็ล้มลงพร้อมกับขาที่หักทั้งหมด

ถังซิ่วมองไปที่อันธพาลที่นอนเรียงรายกันพร้อมกับเปล่งเสียงโอดครวญและเดินไปดูพวกของซูวเทียนเขวียนที่นอนเหมือนหมากำลังจะตายและพูดออกมาว่า

“พาพวกมันทั้งห้าไป และตามฉันมา”

พริบตา

ชายรูปร่างกำยำห้าคนได้ลากพวกเขาไปยังรถบัสคันหนึ่งที่ถังซิ่วได้โบกมา คนขับรุนั้นเป็นชายอ้วนคนหนึ่งและหลังจากที่เขาเห็นฉากต่อสู้กันเมื่อกี้และเห็นว่าพวกเขากำลังเดินมาทางนี้นั้นทำให้เขาพูดออกมาอย่างติดๆขัดๆว่า

“ฉะ – ฉันเป็น- แค่คนขับรถ เรื่องของคุณนั้นฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างสงบว่า

“ใช่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณก็จริงแต่คุณนั้นเป็นคนขับรถและหากคิดว่าการกระทำของพวกเรานั้นรุนแรง คุณก็สามารถไปลาออกได้เลยในวันพรุ่งนี้”

ชายอ้วยได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“ไม่ ไม่ ไม่ ฉันชอบงานนี้เป็นอย่างมาก ฉันแค่กลัวว่า ………”

ถังซิ่วได้ขัดคำพูดของเขาทันทีพร้อมพูดว่า

“นายทำงานกับเราก็เป็นพนักงานของบริษัทเราและไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เราจะไม่ข่มเหงคนอื่นก่อนอย่างแน่นอนแต่หากใครกล้ามาข่มเหงเราก็จะตอบโต้ทันที, ดีแล้ว นายรู้ไหมว่าสำนักมังกรรุ่งโรจน์นั้นอยู่ที่ไหน ? ”

คนขับรถอ้วนได้ถามออกมาว่า

“คุณอยากจะไปที่สำนักมังกรรุ่งโรจน์ ? ฉันรู้ ฉันรู้ แต่คุณจะไปที่สาขาหลักหรือสาขาย่อย ? ”

“สาขาหลัก!”

ถังซิ่วตอบออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินคำตอบของถังซิ่ว คังเซี่ยนที่อยู่ข้างๆนั้นได้ถามออกมาด้วยความสงสัยทันทีว่า

“บอส เราจะไปที่สำนักนั่นทำไมกัน ? ”

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างสงบว่า

“คิดบัญชียังไงหละ ไม่อย่างงั้นคนจากสำนักนั่นก็คงจะมาตามราวีฉันอีกและฉันรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ ฉันคิดว่าจะใช้โอกาสนี้แก้ปัญหาซะเลย”

คังเซี่ยนพูดออกมาว่า

“หรือนี่เป็นโชว์หลักของการแสดงนี้ ? ”

“ใช่!”

ถังซิ่วตอบด้วยความสงบเหมือนอย่างเคย

สำนักมังกรรุ่งโรจน์นั้นตั้งอยู่ที่เขตทางตะวันตกของเมืองนี้ มันเป็นเขตที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ตึกสูงตระหง่านพร้อมกับการจราจรที่หนาแน่นพร้อมแสงไฟเหมือนมังกรยักษ์

วันนี้ !

เจียงเฟิงนั้นกำลังมีความสุขมากที่เพื่อนเก่าของเขาได้มาเยี่ยมเยือนหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน เขากำลังจัดงานเลี้ยงฉลองกับเพื่อนเก่าของเขาที่บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย เพื่อนของเขาเหล่านี้นั้นเป็นคนที่พ่ายแพ้แก่เขาในช่วงก่อนหน้านี้

“เฒ่าหยาง ความสามารถของนายตกไปแล้วงั้นหรอ ? ก่อนหน้านี้ฉันได้หยุดพักการฝึกไปแต่ก็ยังสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้นับไม่ถ้วน ถึงแม้นายจะพัฒนาอย่างมากมายแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะชนะฉันได้หรอกนะ ฮ่า ฮา”

เจียงเฟิงได้ลูบหนวดและเคราสีเทาของเขาพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม