…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชายกว่าสิบคนได้กระโจนไปหาเขาอย่างกล้าหาญ พวกเขามีประสบการณ์การต่อสู้มากมายและแต่ละคนเองก็เป็นหัวกะทิของสำนักเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดปล่อยหมัดและลูกเตะไปยังชายรูปร่างกำยำ
“มาฆ่าตัวตายชัดๆ”
ชายร่างกำยำไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อยและไม่พยายามที่จะหลบด้วยซ้ำ เขาเหวี่ยงหมัดออกไปตรงหน้าเพื่อส่งชายคนหนึ่งลอยออกไปและเคลื่อนไหวอีกครั้งไปทางด้านข้างพร้อมใช้ศอกโจมตีไปที่อีกคนจนกระเด็นออกไปเช่นกัน
ถังซิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นหันหน้าไปมองที่คังเซี่ยนแล้วถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“เป็นยังไงบ้าง ? พวกเขาแข็งแกร่งหรือเปล่า ?”
คังเซี่ยนได้ยกนิ้วขึ้นมาสี่นิ้วพร้อมพูดออกมาว่า
“เขามีโอกาสที่จะฆ่าคนเหล่านั้นถึงสี่ครั้ง ฉันสังเกตเห็นได้ว่าหากเขาขยับเมือไปอีกเพียงนิดหน่อยก็สามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างงายดายแต่เขากลับเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี”
ถังซิ่วถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า
“เธอมองการเคลื่อนไหวของพวกเขาทันด้วยหรอ ? ”
คังเซี่ยนตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า
“สายตาของฉันนั้นดีกว่าคนธรรมดาประมาณ2.5เท่าแต่อย่างไรก็ความเร็วของเขานั้นเร็วเป็นอย่างมากและไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะสามารถมองได้ทัน หากว่าไม่ใช่เป็นเพราะแสงสะท้อนของดวงจันทร์แล้วฉันเองก็คงที่จะมองตามเขาไม่ทันเช่นกัน”
ถังซิ่วถามออกมาว่า
“ดวงตาของเธอนั้นเป็นตามธรรมชาติหรือได้มา ? ”
คังเซี่ยนตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า
“ตามธรรมชาติ!”
ถังซิ่วพยักหน้าแต่ในใจของเขานั้นกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ ในสมัยที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งนิรันด์นั้นเขาได้เจอเข้ากับเทคนิคชั้นสูงในการฝึกดวงตาและชายคนหนึ่งที่ได้บ่มเพาะเทคนิคนี้นั้นจะมีสายตาที่รวดเร็วกว่าคนธรรมดาถึงหลายสิบเท่า ผ่านไป1800ปีเขาก็สามารถขึ้นเป็นจักรพรรดิเนตรสวรรค์ของดินแดนแห่งนิรันด์
และตอนนี้!
ดวงตาของคังเซี่ยนนั้นเหมือนกับจักรพรรดิเนตรสวรรค์นั้นและเธอสามารถฝึกเทคนิคดวงตานั่นได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดกันอยู่นั้น ชายทั้งสิบคนก็ได้ถูกจัดการหมดเรียบร้อยแล้วและแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการชีวิตของพวกเขาแต่ทุกคนก็ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นที่แขนและขาหักกันทั้งหมดพร้อมนอนส่งเสียงโหยหวนออกมา
ถังซิ่วได้มองไปที่เจียงเฟิงที่หน้าของเขากำลังแดงก่ำพร้อมถามออกมาว่า
“เด็กของถูกตบไปหมดแล้ว คงถึงเวลาที่คนแก่จะออกโรงได้แล้ว ? ได้ยินมาว่านายนั้นแข็งแกร่งมากงั้นฉันจะส่งคนไปเล่นกับนายดีไหม ? ”
เจียงเฟิงได้ก้าวออกมาพร้อมพ่นลมหายใจและพูดว่า
“ฉันได้บรรลุถึงระดับปรมาจารย์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ หากว่านายคิดว่าคนของนายนั้นมีความสามารถพอก็ส่งออกมาได้เลย”
ถังซิ่วมองไปที่ซ่งไทกุยก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า
“นายออกไปเล่นกับเขาสิ ถึงเจ้าแก่นี่จะสั่งสอนลูกศิษย์ได้ไม่ดีนักแต่ได้ยินมาว่าเขาเองก็เป็นคนที่ดีใช้ได้ เพลาๆมือหน่อยหละ”
“รับทราบ !”
ซ่งไทกุยรีบตอบรับโดยทันทีพร้อมก้าวออกไปยังลานกว้าง
เจียงเฟิงได้หรี่ตาลง ถึงแม้ว่าเขาจะแก้นั้นแต่พลังของเขานั้นไม่ได้ด้อยลงไปเลยแต่กลับเพิ่มมากขึ้นเมื่อใช้เวลาฝึกฝนมาหลายสิบปีจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าบรรลุแล้ว
หยางเซียนหยูที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั้นได้เห็นความแข็งแกร่งของลูกน้องของถังซิ่วนั้นก็ได้เอ่ยปากเตือนเพื่อนเก่าของเขาออกมาว่า
“ระมัดระวังด้วยหละ อีกฝ่ายนั้นไม่สามารถหยั่งถึงได้เลยแม้แต่ฉันเองก็ยังมองไม่เห็นเงื่อนงำแม้แต่น้อย”
เจียงเฟิงพ่นลมหายใจเยาะเย้ยพร้อมพูดออกมาว่า
“ดูอายุของเขาสิ อย่างมากก็แค่40ปีและต่อให้เขาฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่ในท้องแม่นั้นก็ไม่สามารถไปถึงระดับปรมาจารย์ได้อย่างแน่นอนส่วนเรื่องจัดการกับเขานั้นง่ายยิ่งเสียกว่าปลอกกล้วยเข้าปากด้วยซ้ำไป”
หยางเซียนหยูได้ฝืนยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า
“นายจะต้องไม่ประมาทโดยเด็ดขาดมิฉะนั้นชื่อเสียงของนายจะต้องถูกทำลาย ณ ที่นี้อย่างแน่นิน ”
เจียงเฟิงไม่ได้สนใจในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย
ถังซิ่วได้มองไปที่หยานเซียนหยูพร้อมกับถามออกมาว่า
“นายคงไม่ใช่คนจากสำนักสินะ ? ถ้าไม่ใช่ก็ช่วยหุบปากหน่อย”
หยางเซียนหยูได้มองไปที่ถังซิ่วพร้อมกับส่ายหัวและถอนหายใจออกมา
“เด็กเดียวนี้นี่ทำไมมันไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่กันแล้วหรอ ฉันหวังว่าเธอจะมีฝีมือเหมือนฝีปากเธอนะ ไม่อย่างงั้นวันนี้เธอจะต้องแพ้อย่างแน่นอน ”
ใกล้ๆนั้น
ซูวเทียนเขวียนได้คนพยุงตัวเองขึ้นมาพร้อมกับพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“ท่านอาจารย์ คนที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่ชายที่อยู่ตรงหน้าท่านแต่เป็นไอเด็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คนนั้น พวกเราทั้งห้าคนนั้นถูกเขาจัดการโดยไม่ถึงสิบวิด้วยซ้ำ”
“อะไรนะ ? ”
ท่าทางของเจียงเฟิงและหยางเซียนหยูเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามองไปที่ถังซิ่วด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อเพราะพวกเขาเชื่อว่าเทียนเขวียนจะต้องไม่โกหกอย่างแน่นอน ตัวของพวกเขาเองนั้นยังไม่สามารถล้มเทียนเขวียนและชายทั้งห้าภายในสิบวินาทีได้แน่ๆ แล้วเด็กคนนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกัน ?
ถังซิ่วพูดเยาะเย้ยออกมาว่า
“ไม่จำเป็นต้องกลัวไปหรอกเพราะว่าฉันนั้นอ่อนแอมากและต่อให้ฉันฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ก็คงไม่สามารถประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักหรอก”
ท่าทางของเจียนเฟิงนั้นแข็งทื่อโดยทันที
เขาเข้าใจดีว่าถังซิ่วนั้นได้ตบหน้าเขาด้วยคำพูดของเขาเอง
ถังซิ่วมองไปที่เจียงเฟิงก่อนที่จะพูดว่า
“พวกนายสองคนรีบๆเริ่มกันได้แล้ว ฉันยังต้องกลับไปทบทวนบทเรียนให้แก่เพื่อนร่วมชั้นอีกและไม่มีเวลาว่างมากนัก”
ช่วยทบทวนบทเรียนให้เพื่อนร่วมชั้น ?
เจียงเฟิงได้จ้องอญู่อย่างนั้นพร้อมกับศิษย์ของสำนักคนอื่นๆที่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขามองอย่างไม่อยากจะเชื่อไปที่ถังซิ่วเพราะชายที่มีลูกน้องที่แข็งแกร่งขนาดนี้นั้นเป็นเพียงแค่นักเรียนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม !
เจียงเฟิงนั้นเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากและมองไปที่ซ่งไทกุยพร้อมป้องมือและพูดว่า
“ฉันนั้นมีอายุมากแล้วและสามารถบรรลุอยู่ในระดับปรมาจารย์ดังนั้นฉันจะต่อให้นายสามกระบวนท่าและหากว่านายยังไม่สามารถล้มฉันได้ก็ถือว่านายไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะชนะฉัน”
ซ่งไทกุยได้พ่นลมหายใจพร้อมเยาะเย้ยออกมาว่า
“ไม่จำเป็นต้องต่อให้ บอสของเรานั้นต้องการจะดูโชว์และนายจำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมด แม้ว่าบอสของเราจะกำชับว่าว่าห้ามฆ่านายแต่ฉันจะทำให้นายเป็นขันทีไปตลอดชีวิต”
“นาย……..!!!!”
เจียงเฟิงนั้นโกรธเป็นอย่างมาก ความคิดที่เขาจะต่อให้สามกระบวนท่านั้นหายไปทันที เขานั้นยืนอยู่อย่างสงบนิ่งพร้อมเริ่มโน้มตัวเหมือนสายธนูที่กำลังถูกดึงให้ตึงและพุ่งออกไปยังซ่งไทกุยอย่างรวดเร็วและปล่อยหมัดใส่เขาอย่างไม่หยุดหย่อน
“ปึ้ก เปรี้ยง โคร๊ม”
ซ่งไทกุยนั้นถือว่าการต่อสู้นี้นั้นเป็นเหมือนอาหารธรรมดาๆเท่านั้น มือทั้งสองของเขาเหวี่ยงออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับปะทะกับหมัดของเจียงเฟิงตรงๆด้วยความเร็วที่เหนือกว่าพร้อมกับหลบหมัดของเขา เจียงเฟิงนั้นได้หลบไปด้านข้างพร้อมกับไปปรากฏอยู่ด้านข้างของซ่งไทกุยแต่เขาก็ถูกสวนกลับไปที่แขนเข้าอย่างจัง
“ตู้มมม”
แขนขวาของเจียงเฟิงนั้นเคลื่อนทันทีที่ถูกปะทะพร้อมกับร่างกายที่ส่ายไปมาและถอยหลังกลับไป4ถึง5ก้าว
ตัวของซ่วไทกุยนั้นไม่ได้ไล่ตามเขาไปขณะที่เขาขยับคอไปมาและส่งเสียง “กร๊อบ”พร้อมกับแสดงท่าทางกวักนิ้วเรียกเจียงเฟิง
“แข็งแกร่งอย่างมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวของฉันอีกและประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็สูงเป็นอย่างมากพร้อมมือทั้งสองของเขาต้องชโลมด้วยเลือกมานับไม่ถ้วน คนพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ? เด็กคนนั้นมีภูมิหลังและสถานะอะไร ? ”
สมองของเจียงเฟิงนั้นกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่พร้อมกับระงับอาการบาดเจ็บที่แขนของตัวเองและเคลื่อนกระดูกที่หลุดไปด้านแขนอีกข้างพร้อมพูดออกมาว่า
“นายนั้นแข็งแกร่งมาก ฉันเองก็ไม่ค่อยจะได้เจอผู้เชี่ยวชาญนักและหวังว่านายจะยังคงยืนไหวนะ”
“อืดอาด !”
ซ่งไทกุยได้พ่นลมหายใจออกมาพร้อมกระโจนเข้าใส่เจียงเฟิงอย่ารวดเร็วและเพิ่มความเร็วและพลังของเขาขึ้นอย่างมหาศาล ภายในพริบตานี้นั้นเท้าข้างหนึ่งของซ่งไทกุยได้กระทืบไปที่แขนของเจียงเฟิงพร้อมตีลังกากลับหลังแล้วเตะไปที่แก้มของเขา
“โคร๊ม”
โหนกแก้มของเจียงเฟิงนั้นไม่ได้ถูกเตะแต่ตอนนี้เขาเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เขาไม่มีสติไปเพียงแค่2วิแต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญนั้นแค่ครึ่งวินาทีก็สามารถฉวยโอกาสและสามารถตัดสินผลการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว ซ่งไทกุยนั้นเป็นคนที่มีประสบการณ์และไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอนพร้อมกับปล่อยหมัดนัวใส่หน้าอกของเจีงเฟิงอย่างรุนแรง
อีกครั้ง
ร่างกายของเจียงเฟิงนั้นลอยไปกระแทกพื้นที่ห่างออกไปหลายเมตรพร้อมกระอักเลือดออกมาไม่หยุด เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้เลยแม้แน่น้อย
ซ่งไทกุยไม่ได้มองไปที่เขาด้วยซ้ำพร้อมเดินกลับไปข้างถังซิ่วขณะที่ป้องมือจากนั้นก็พูดว่า
“บอส ภารกิจลุล่วง ! ”
ถังซิ่วยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้าเพื่อให้เขากลับไปประจำตำแหน่งก่อนที่จะมองไปที่เจียงเฟิงแล้วพูดว่า
“นายแพ้แล้วและตามกฎการประลองของสำนัก นายก็น่าจะรู้นะว่าควรจะทำอะไร ? ”
เจียงเฟิงได้ถูกพยุงขึ้นมาโดยศิษย์จากสำนักหลายคนพร้อมรูปลักษณ์ที่ดูแก่ลงอย่างมาก เขาพูดออกมาว่า
“ฉันจะเอาป้ายสำนักออกและเขาให้คุณผู้สูงส่ง วันนี้นั้นสำนักของเราอ่อนแอกว่าอย่างแท้จริงและหากว่าคนของคุณไม่ได้ยั้งมือไว้ละก็ ฉันคงจะถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว”
ถังซิ่วโบกมือพร้อมพูดว่า
“ฉันไม่มีความสนใจอะไรกับป้ายสำนักของนายเลยแม้แต่น้อย ฉันมีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือให้ศัตรูของฉันชดใช้ ไอ้ซูวเทียนเขวียนอะไรนั่นไม่ใช่แค่เอาศิษย์จากสำนักมารุมฉันเท่านั้นแต่ยังเอาอันธพาลมาด้วยหลายสิบคน ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่ดีนักและต้องการที่จะให้ช่วยบอกเขาให้โทรเรียกผู้หญิงนั่นมาและจบปัญหานี้กัน”
เจียงเฟิงได้มองไปที่ซูวเทียนเขวียน
ซูวเทียนเขวียนตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า
“วันนี้คงเป็นไปไม่ได้ ดี่ขวินนั้นได้ไปที่เมืองหลวงเมื่อเช้านี้เพราะมีปัญหาสำคัญทางธุรกิจที่เธอต้องจัดการ นายรอหน่อยได้ไหม ? หลังจากที่เธอกลับมาแล้วฉันจะรีบพาเธอมาขอโทษนายโดยทันที”
ถังซิ่วเงียบไปครู่หนึ่งและกำลังจะตอบตกลงแต่คังเซี่ยนก็พูดขัดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“ในเมื่อผู้หญิงของนายมาไม่ได้งั้นเรามาเปลี่ยนวิธีกันเพราะว่าพวกนายได้แพ้ให้กับบอสของเราและเวลาของเขานั้นก็มีค่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นนายก็จำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าชดเชย……..”
“………..”
เจียงเฟิงและหยางเซียนหยูได้มองที่กันและกัน พวกเขาได้มองไปที่ฝ่ายตรงข้ามของเขาและคิดว่าการที่ถังซิ่วมาที่นี่นั้นก็เพื่อที่จะมาไถเงินอย่างแน่นอน
“ต้องการเงินเท่าไหร่ ?”
ซูวเทียนเขวียนรีบตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
คังเซี่ยนตอบแบบสบายๆว่า
“100ล้านหยวน”
“อะไรนะ !? เธอต้องการจะปล้นกันหรือไง ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ซูวเทียนเขวียนก็โกรธจัดเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะสามารถจ่ายเงิน100ล้านนี้ได้แต่เขาก็จะต้องลำบากในการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างแน่นอน
คังเซี่ยนได้แสดงออกถึงรอยยิ้มที่หน้าหลงไหลพร้อมมองไปที่ซูวเทียนเขวียนและพูดออกมาว่า
“เคยได้ยินคำนี้หรือเปล่า ? พิษที่ร้ายแรงกว่าตัวต่อต่อยก็คือจิตใจของผู้หญิงและโชคดีที่บอสของฉันนั้นใจกว้างและไม่ต้องการที่จะเอาชีวิตใครแต่ฉันเป็นผู้ช่วยของเขาและต้องแก้ไขปัญหานี้ หรือพวกนายคิดว่าชีวิตทั้งห้าคนนั้นไม่คุ้มค่ากับเงิน100ล้าน ? ”