[T/L]*นับจากตอนที่ 15 ขอเปลี่ยนคำว่า หมู่บ้านสายรุ้ง ลานประลองสายรุ้ง เป็น หมู่บ้านเฟยหงส์และลานประลองเฟยหงส์ นะครับ เพื่อให้ได้อรรถรสในการเสพ ขอใช้ชื่อบ้างชื่อของสถานที่ในการทับศัพท์แทนการแปลเป็นความหมายแล้วแต่ความเหมาะสมครับ

 

“ แซดๆ —— “

 

หลังเสียงหัวเราะได้หยุดลง เพียงลมหายใจเดียว ก็พบว่าความเร็วของซูหยี่ได้เพิ่มขึ้น ร่างกายตอนนี้ก็อยู่ในสภาวะเตรียมพร้อม การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของนางทำให้ผู้คนไม่อาจเห็นร่างของนางได้ชัดเจน อีกทั้งนางยังยืมใช้สภาวะของร่างกายเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ทันทีที่ระเบิดพลังออกมา นางก็โจมตีออกด้วยความรุนแรง

 

“ ปัง ปัง ปัง ——“

 

ซูหยี่ราวกับได้ทิ้งร่างเงาออกมาหลายร่าง ตอนนี้ราวกับมีพายุอัคคีพัดไปทางจุดที่เยี่ยจง ทั้งหมัด เท้า ข้อศอกต่างก็เคลื่อนไหวนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อที่จะให้การโจมตีรุนแรงมากที่สุด พลังที่เหมือนดั่งการพลิกฟ้าทลายดินมุ่งตรงไปราวกับกำลังกุมขังในจุดที่เยี่ยจงยืนอยู่ ยากจะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้

 

“ ว้าว —— “

 

ทางด้านล่างลานเฟยหงส์ นักเรียนหลายคนต่างกำลังจ้องมองไปที่ซูหยี่ที่กำลังปลดปล่อยพลังการโจมตีที่รุนแรงออกมา แต่ละคนต่างก็ส่งเสียงออกมาอย่างวุ่นวาย ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวนางนี้อายุเพียงมากกว่าพวกตนเพียงไม่กี่ปี แต่ว่า ฝีมือที่มีมันมากเกินกว่าที่พวกเขาที่อยู่ในวัยเดียวกันซะอีก พลังยุทธ์เช่นนี้ เพียงพอที่จะให้ผู้คนผวาได้แล้ว

 

บนใบหน้าของหวังโม่แสดงอาการเป็นห่วงอยู่หลายส่วน ระดับความเก่งกาจของซูหยี่จากลัทธิแห่งดวงดาวนั้นยิ่งกว่าความคาดคิดของเขา

 

“ เยี่ยจง…..เจ้าคงไม่แพ้เช่นนี้หรอกนะ “

 

จากอีกด้านหนึ่ง หลิวชิงม้งไม่ทราบว่ามาถึงสนามประลองแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นางจ้องมองบนลานประลองยุทธ์ตาไม่กระพริบ นัยน์ตาของนางปรากฏประกายตา ราวกับด่ำดิ่งเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน นางเคยพบเห็นเยี่ยจงลงมือมาแล้วก่อนหน้า แต่ทว่าคู่ต่อสู้ของเขาในเวลานั้น แน่นอนว่ามิอาจเทียบกับระดับของซูหยี่ได้เลย

 

“ ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว ความจริงหากเทียบกับพวกเราเหล่าศิษย์แห่งหมู่บ้านโรงฝึกยุทธ์เฟยหงส์แล้วละก็ คงห่างชั้นกันอยู่หลายขั้นอย่างแน่นอน….. “ ในจุดที่เหล่าอาจารย์รวมตัวกันอยู่ อาจารย์มู่ก็ได้พกความแปลกใจมองไปทางผู้ที่กำลังประมือกันอยู่ที่ลานประลองยุทย์ หากกล่าวถึงเยี่ยจงแล้วละก็นางถือว่าเป็นบุคคลที่ทราบรายละเอียดอยู่ไม่น้อย ดังนั้นนางจึงตกใจที่เยี่ยจงมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้อย่างไร หากจะว่ากล่าวตามตรง พลังของซูหยี่นั้นยิ่งน่าตระหนกเข้าไปใหญ่

 

“ ไม่แน่ว่า…..ซูหยี่ถึงจะแข็งแกร่ง แต่ว่าหากนางจะเอาชนะเยี่ยจงได้ก็มิใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้จะเก็บซ่อนความสามารถไว้ได้ขนาดนี้ “ ด้วยระดับพลังของม่อไห่ที่ว่าแข็งแกร่งที่สุดในที่แห่งนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นเขาที่ตกใจมากที่สุด เพราะเขานั้นทราบดีใจอยู่แล้ว ว่าการโจมตีของซูหยี่นั้นเป็นดั่งพายุฝุ่นพัดผ่านมุ่งไปทางด้านหน้าถ่ายเดียว แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือการที่เยี่ยจงสามารถทนยืนอยู่ท่ามกลางพายุฝุ่นนี้โดยที่ไม่ขยับเขยื้อนหรือสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

 

“ เปรี้ยง — — “

 

ผู้คนมากมายมองไปที่การต่อสู้ อัคคีสีแดงบนร่างที่ถูกสร้างออกมาเพื่อจะโจมตีเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ทว่าบุคคลอีกคนที่ยืนอยู่อีกทางฝั่งหนึ่งยืนนิ่งราวกับกำลังอยู่ในสมาธิ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นซูหยี่จึงเปลี่ยนกระบวนท่าเป็นกระบวนท่าที่น่าหวาดกลัวกว่าเดิม การโจมตีนั้นเป็นเหมือนดั่งพลังเส้นตรง ตรงเข้าจู่โจมแล้วระเบิดออกอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ถึงกระนั้น ก็เหมือนกับว่าเยี่ยจงมองการโจมตีของซูหยี่ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

 

เวลาผ่านไปไม่นาน ม่อไห่และคนอื่นในโรงฝึกยุทธ์เฟยหงส์รวมทั้งอาจารย์ ใบหน้าของแต่ละคนต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนก จากที่หน้าเปลี่ยนสีอยู่แล้วก็ยิ่งคล้ำยิ่งกว่าเดิม ความแข็งแกร่งของซูหยี่ มันมากกว่าการคาดคิดของพวกเขา แต่ทว่าพลังฝีมือของเยี่ยจง ไม่เพียงทำให้พวกเขาตื่นตระหนก รับมือคู่ต่อสู้อย่างช่างเรียบง่าย อีกทั้งยังการโจมตีที่ดูแสนจะธรรมดา ราวกับตกอยู่ในมนต์สะกด จนกระทั้งซูหยี่ตัดสินใจที่จะหยุดมือ

 

“ ท่านอาจารย์มู่ เจ้าเด็กน้อยนี้ไปฝึกฝนวิชาเหล่านี้มาจากที่ใดกัน กับพลังฝีมือเช่นนี้ ทั้งพลังใจ ยังมีการตอบสนองของการรับมือสถานการณ์เปลี่ยนไปตามสภาวะเสียเปรียบเป็นโอกาสในระหว่างการต่อสู้ ราวกับร่างกายของบุคคลที่เคยผ่านศึกมานับไม่ถ้วน “ จากนั้นก็มองไปที่ลานประลองต่อ อาจารย์ใหญ่ม่อไห่อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

อาจารย์ท่านอื่นก็พยักเห็นด้วย ทำให้อาจารย์มู่ฝืนยิ้มคำหนึ่ง ตอนนี้นางรู้สึกกระวนกระวายอยู่หลายส่วน ในระหว่างการสอนนางก็ไม่เห็นเยี่ยจงอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ เบื้องหน้านี้คือเจ้าเด็กน้อยนั้นจริงหรือ

 

“ เปรี้ยง —— “

 

 

พลังโจมตีราวกับพายุเข้ามา ทันใดนั้น ได้ยินเสียงกระดูกดังออกมา ก็พบว่าที่แท้ต้นตอของเสียงนั้นดังมากจากทางเยี่ยจง เพียงอึดใจเดียว สองมือนั้นประดุจดั่งหอกยาว แหลมคมไร้ที่เปรียบจนเจาะเข้าไปยังการโจมตีที่รุนแรงนั้น จากนั้นความเร็วของนิ้วได้ส่งผลให้ปกคลุมไปด้วยพลังอัสนีทั่วทั้งฝ่ามือตรงไปยังร่างอีกฝ่าย

 

“ เปรี้ยง —— “

 

เสียงค่อยๆดังอย่างเงียบๆ ร่างซูหยี่ค่อยๆสั่น  จากนั้น นางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เดินถอยหลังไปประมาณสิบก้าว อีกทั้งผ้าบริเวณข้อมือขวาของนางมีลักษณะฉีกขาด เผยให้เห็นสิ่งที่มีสีขาวราวกับรากบัว เพียงแต่ว่าสิ่งนั้นเพียงมาปรากฏบนข้อมือ บวกกับลายนิ้วมือที่มีสีแดงเล็กน้อยเผยออกมา

 

“ อะไรกัน “

 

“ เป็นไปไม่ได้ “

 

ระหว่างนั้นเองก็ปรากฎเสียงตกใจดังออกมาสายหนึ่ง รอบด้านลานประลองเฟยหงส์ ใบหน้าเหล่าศิษย์ของหมู่บ้านเฟยหงส์ต่างอยู่ในอาการตกใจ ความจริงพวกเขานั้นคิดไม่ถึงว่า ผู้ที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาวอันแข็งแกร่ง จากที่คอยไล่ต้อนคู่ต่อสู้ด้วยพลังโจมตีอันดุดันและโหดร้าย จะยังไม่อาจทำให้เยี่ยจงไม่แม้แต่หลีกหนีเลยหรือ

 

ดูจากสีหน้าของเยี่ยจงแล้ว ไม่มีแม้กระทั่งหวาดกลัวเลย อีกทั้งยังดูเหมือนได้ล่วงเกินสาวงาม นี้เป็นไปได้อย่างไร[T/L:แต๊ะอั่งนั้นแหลาะครับ]

 

“ ศิษย์น้องเยี่ยจงเจ้าชั่งไม่รู้จักทะนุทนอมบุพผาเลยจริงๆ “

 

สีหน้าของซูหยี่ในเวลานี้ได้เปลี่ยนเป็นปั้นยากอยู่หลายส่วน จากนั้นนางก็ก้มศีรษะมองลงไปมองที่แขนของตน หลังจากนั้นนางก็ฉีกแขนเสียตนเองออกมา จากนั้นก็เผยให้เห็นหัวไหล่แขนขวาอันขาวผ่องที่อาจทำให้ผู้คนตกใจจนจิตใจล่องลอยได้ จากนั้นนางก็ได้เงยหน้าขึ้น ยิ้มขึ้นน้อยๆมองไปทางที่เยี่ยจงที่กำลังยืนอยู่

 

ทางด้านตรงข้าม ตอนนั้นเองเยี่ยจงก็ได้ชักมือกลับ ค่อยๆขมวดคิ้ว นั้นเพราะว่าเขารู้สึกว่าตนเองล่วงเกินนางไป ถึงแม้พลังลมปราณจะสูงกว่าตนเองถึงหนึ่งขั้น ดังนั้นด้านพลังฝีมือคงไม่ทางที่จะด้อยกว่าอย่างแน่นอน อีกทั้งด้านประสบการณ์การต่อสู้ ผ่านศึกและการตอบสนองต่างๆ ก็ไม่เหมือนกับที่เคยเจอพวกเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของบ้านตระกูลเยี่ย ตระกูลซู ก็ยังเทียบไม่ได้ เทียบกันแล้ว ชั่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เยี่ยจงคงต้องงัด ไม้ตายก้นหีบออกมาใช้แล้ว หากใช้แค่พลังที่ตนมีอยู่แล้วละก็ แค่เสมอยังถือว่าง่าย แต่ถ้าอยากชนะคงเป็นไปได้ยาก อีกทั้ง หากไม่ระวังแล้วละก็ ตนเองอาจจะพ่ายแพ้ก็เป็นได้

 

เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวเลยจริงๆ

 

เยี่ยจงค่อยๆถอนหายใจ ความพิสดารที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างลึกล้ำปรากฏในสายตา

 

เห็นว่าเยี่ยจงไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจกล่าวมากความกับความตน ซูหยี่ก็เชิ๊ตปากน้อยๆขึ้น จากนั้นก็ได้นางก็สูดลมหายใจลึกๆคำหนึ่ง บนมือก็ส่องสว่างเหมือนดอกบัวบาน เส้นพลังลมปราณสีอ่อนไหลวนไปมา ราวกับงูที่เลื้อยบนผิวหนังจนบาดแผลหายไปอย่างช้าๆ จากที่แสงสว่างสีอ่อนๆรักษาเรียบร้อยแล้ว ผิวของนางก็ราวกับดึงดูดผู้คนให้มองมาอีกครั้ง

 

ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังก็เพิ่มถึงสุดขีด และก็ได้ค่อยๆส่งผลให้ผู้คนอยู่ความตะลึง

 

เสียงจอแจทางด้านล่างลานประลองเฟยหงส์ เสียงที่ดังอยู่ขณะนั้นก็เริ่มเบาลง มีลูกศิษย์ไม่น้อยพึ่งจะมีปฏิกิริยาจากความกดดันอย่างหนักที่แผ่ออกมาจากร่างของซูหยี่ ในขณะนี้ ซูหยี่เตรียมพร้อมที่จะไม่เก็บออมพลังที่แท้จริงไว้อีกแล้ว หรือก็คือกำลังจะปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของผู้ฝึกลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ออกมา

 

“ ฟู่ — — “

 

ขณะที่มองอยู่ เยี่ยจงก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง สายตาปรากฏความมุ่งมั่นออกมา ก็พบว่าเขานั้นใช้ฝ่ามือสองข้างขั้นประกบกัน จากนั้นก็ค่อยๆหมุนวนพลัง ในตอนนี้ราวกับเลือดลมกำลังสูบฉีดขึ้นมา เพียงไม่นาน เยี่ยจงตอนนี้ก็ได้กระตุ้นพลังของวิชาเพลงกระบี่หกสุสานขึ้นมา

 

ในตอนแรกที่ถูกเยี่ยจงดูดซับพลังลมปราณบริสุทธิ์เข้าไป ก็ราวกับว่าถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง  แท้จริงแล้วกำลังภายในของเยี่ยจงก็กำลังเคลื่อนที่ออกมา ในที่สุดก็ได้ก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เคลื่อนไหวราวกับเมฆาไปมาอย่างช้าๆ

 

นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ธรรมดาจะสามารถฝึกปรือการปลดปล่อยกำลังภายในเช่นนี้ออกมาได้ อีกทั้งกำลังภายในของคนผู้นี้ยังเป็นกำลังภายในบริสุทธิ์อีกด้วย ว่ากันตามตรง มีเพียงแค่ฝึกปรือลมปราณถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้าเท่านั้นถึงจะแข็งแกร่งเช่นนี้ได้

 

“ ตูม — — “

 

พลังที่เคยกักเก็บไว้ กำลังภายในของเยี่ยจงทำให้เลือดลมวิ่งพล่าน มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เสียงของกำลังภายในวนรอบร่างกายดังออกมา และหากเทียบกับซูหยี่แรงกดดันยังถือว่าน้อยกว่า แต่ก็กระจายเปิดออกมา

 

“ เจ้า …..เด็กน้อยนี้ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน “

 

ระดับอย่างท่านอาจารย์ใหญ่ม่อไห่พอพบเห็นซูหยี่เร่งใช้พลังทั้งหมดออกมา เยี่ยจงก็ยังพอที่จะสามารถต่อกรกับนางได้ถึงขั้นนี้เลยหรือ ดวงตาของแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยแววตาแปลกใจ พวกเขาสามารถรับรู้ถึง พลังอำนาจเยี่ยจงนั้นเพิ่มความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า นี้ไม่ใช่ลักษณะของผู้ฝึกกำลังภายในที่อยู่ในขั้นปกติธรรมดาแล้ว

 

“การกระตุ้นควบคุมของกำลังภายในหรือ “

 

เห็นว่าเยี่ยจงสามารถต้านทานพลังกดดันที่ออกมาจากร่างกายตนเองได้ สัมผัสได้ถึงความแปลกใจในสายตาของซูหยี่ นางในตอนนี้มีความมั่นใจแล้วว่า เยี่ยจงร้อยก้าวไร้พ่ายที่ได้ยินมานั้น ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าลืออีกต่อไป หลังจากที่ได้ประมือกับเยี่ยจงไป นางแน่ใจว่าเยี่ยจงมีความสามารถเช่นนี้ แต่ซูหยี่เองนั้นเพียงแต่อดไม่ได้อยากที่จะทดสอบดู ว่าเยี่ยจงผู้นี้มีความแข็งแกร่งถึงระดับใดกันแน่

 

“ โฮง —— ”

 

เสียงระเบิดกำลังภายในดังออกมาจากร่างของซูหยี่ อีกทั้งบนร่างของนางยังปรากฏกลิ่นอายบางอย่างออกมา ราวกับกลิ่นอายของการปรากฏตัวของสัตว์เทวะในตำนาน

 

“ ทักษะยุทธ์ขั้นต่ำ ลมปราณดาราคล้อย “

 

อาจารย์ใหญ่ม่อไห่สูดหายใจด้วยความตกใจ หลังจากที่เสียงหายไป เขาคิดไม่ถึงว่า ซูหยี่นั้นถูกเยี่ยจงทั้งแก้กระบวนท่า ทั้งกดดันจนต้องใช้วิชากำลังประจำลัทธิแห่งดวงดาวออกมา

 

“ อะไรกัน นี้คือพลังลมปราณดวงดาวหรือนี้ “

 

หลังจากได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์ใหญ่ม่อไห่ ไม่เพียงแค่เหล่าอาจารย์เท่านั้น เหล่าลูกศิษย์รอบด้านก็ตื่นตะลึงไปตามๆกัน

 

ควรทราบว่า ในราชวงศ์โจวนั้น นอกจากห้าตระกูลใหญ่แล้ว ยังมีทักษะยุทธ์ขั้นสูงชุดหนึ่งที่เป็นทักษะยุทธ์ประจำวิชาลมปราณประจำสำนัก นั้นก็ถือว่าปกติ ถึงแม้จะอยู่ในสำนักเดียวกันก็ตาม ยากนักที่จะสามารถที่จะมีพลังลมปราณเพียงพอที่จะใช้ได้

 

อีกทั้งทั่วทั้งราชวงศ์โจวนั้น หากต้องการที่จะฝึกปรือทักษะยุทธ์ระดับนี้แล้วละก็ มีเพียงแค่เข้าลัทธิแห่งดวงดาวเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมากมายแห่งราชวงศ์โจวต้องการที่จะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาว

 

ดังนั้น ลัทธิแห่งดวงดาวจึงเป็นถึงสถานที่เป็นถึงมรดกทางวัฒนธรรม แต่ที่แน่ๆไม่ใช่สถานที่ที่จะสามารถนำไปเปรียบกับเหล่าตระกูลใหญ่ที่มีประวัติเพียงแค่ร้อยปีเท่านั้น

 

ถึงแม้ต่อให้ได้เข้าลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว ยังจำกัดระดับของลมปราณในการฝึกฝน ถึงแม้วิชาชุดนี้จะมีเพียงแค่ชุดเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ได้รับการขนานนามว่า ลมปราณดาราคล้อย กล่าวได้ว่า การฝึกวิชานี้เพียงแค่ในระดับพลังลมปราณแค่ของขั้นก่อเกิด ก็เพียงพอที่จะจะอยู่ที่ชั้นแนวหน้าได้เลย สามารถเรียกได้ว่าแข็งแกร่งเลยก็ได้

 

ในที่สุด เยี่ยจงก็ได้กดดันให้ซูหยี่ใช้ ลมปราณดาราคล้อยแล้ว

 

ในตอนนี้ ทั่วทั้งลานประลองต่างอยู่ในความตกใจ