หลังจากที่ค่อยๆก้าวเดินเข้าสู่ห้องรับรองแล้ว ก็พบคนมากมายนั่งอยู่ในห้องโถงไม่น้อย อีกทั้งยังนั่งอยู่ระหว่างสองข้างทางเรียงยาวกันเป็นแถวเรียงตอนล้อมตรงและเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางห้อง เยี่ยจงกวาดตาสำรวจอยู่รอบหนึ่ง ก็จำได้ว่าบุคคลเหล่านี้โดยส่วนมากที่นั่งอยู่ต่างก็เป็นอาจารย์ที่สอนอยู่ในโรงฝึกยุทธ์สายรุ้งแห่งนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นสถานะจึงมิได้ต่ำทรามมากมายนัก

 

ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางของห้องโถงนั้น เป็นบุรุษชราผมขาวที่มีอายุอยู่ในช่วงห้าสิบต้นๆผู้นี้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงฝึกยุทธ์สายรุ้งแห่งนี้นาม “ ม่อไห่ “ ส่วนผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นหญิงสาวสวมชุดแดงอายุดูราวยี่สิบปี

 

ร่างกายหญิงสาวถือว่าสูงยาวได้พอดิบพอดี บนศีรษะมีโบว์สีเขียวอ่อนมัดผมอย่างประณีตบริเวณด้านหลังของศีรษะ เผยช่วงคอที่ขาวผ่องราวกับจะทำให้ผู้คนหลงใหล ดูสง่างามราวกับหงส์สวรรค์ก็มิปาน อีกทั้งยังมีใบหน้าที่เรียวยาวไร้ที่ติ ทว่าโดยคุณสมบัติโดยรวมแล้วจะไม่ถึงกับสวยงามมากมาย แต่ถ้านำมารวมกันแล้ว ก็เหมือนให้บรรยากาศที่ไร้ที่ติชนิดหนึ่งแผ่ออกมา หากนับรวมกับผิวพรรณที่ขาวผ่องของนางอีกละก็ อาจทำให้คนที่มองนั้นตาพร่ามัวได้อยู่หลายส่วน

 

ทว่า ในตอนที่พบกับหญิงสาวนั้นเอง เยี่ยจงรู้สึกว่าตกตะลึงที่กับความรู้สึกที่ไม่ดีชนิดหนึ่ง นั้นก็คือบนร่างของนางยังมีกลิ่นอายการฆ่าฟันปกคลุมอย่างหนาแน่น กลิ่นอายการฆ่าฟันชนิดนี้ต่างจากปกติที่ปล่อยออกมานั้นมีหลายส่วนที่ไม่เหมือนกัน แต่ทว่าของนางนั้นเป็นชนิดที่ไม่ต้องให้ตนเองแผ่ออกมา จนกระทั่งในที่สุดนางเองนั้นก็พยายามที่จะปิดซ้อนเอาไว้ แต่ทว่าก็เพียงพอให้เยี่ยจงนั้นสามารถที่จะสัมผัสได้ สิ่งที่สามารถแน่ใจได้อยู่อย่างคือ หญิงสาวนางนี้เป็นที่แน่นอนว่าไม่ธรรมดา หรือควรจะกล่าวว่า เหล่าคนที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาว จะธรรมดาได้ที่ใดกัน

 

“ เยี่ยจงน้อมพบท่านอาจารย์ใหญ่ น้อมพบท่านอาจารย์ทุกท่าน “ เยี่ยจงเดินหน้าต่อไปอีกก้าว จากนั้นก็ทำท่าคารวะเขย่ามือขึ้นลงไปมา ถึงค่อยเริ่มกล่าวคำเหล่านี้ออกมา

 

ความจริงนั้น นับตั้งแต่ที่เยี่ยจงได้เดินเข้ามา ตามปกติอาจารย์เหล่านี้ก็มิได้สนใจเขาอยู่แล้ว แต่ทว่าวันนี้กลับจ้องมองบนร่างของเขาเป็นสายตาเดียวกัน เยี่ยจงตามปกติที่พบนั้นจะมีท่าทางที่หยิ่งผยองไม่ค่อยจะเคารพนอบน้อมเท่าที่ควร มีคนไม่น้อยที่สังเกตเห็น จนสายตาทอประกายคมกล้าออกมา ดูเหมือนว่าเยี่ยจงคนนี้จะดูไม่เหมือนกับเจ้าขยะไร้ประโยชน์ตามเล่าลือกัน

 

“ เหอะ เหอะ เยี่ยจงเอ๋ย เมื่อสักครู่พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องเจ้าอยู่พอดีเลย มา ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จัก ท่านนี้เป็นลูกศิษย์สังกัดในของลัทธิแห่งดวงดาวนาม ซูหยี่ เจ้าจะเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงก็คงมิผิด “ ม่อไห่ยิ้มน้อยๆกล่าวออกมา

 

“ น้อมพบศิษย์พี่หญิงซูหยี่ “ หลังกล่าวจบ เยี่ยจงก็ได้ทำมือราวกับกำลังคารวะซูหยี่ และผู้ที่อยู่ด้านหลังของเขาหวังโม่ ยิ่พัลวันมือพันกันไปพันกันมาอยู่รีบร้อน คารวะมิหยุดหย่อน

 

“ นึกไม่ถึงเลยว่าข้อความเหล่านี้จะเป็นศิษย์พี่หญิงซูส่งให้มา “ เยี่ยจงไม่พูดมากความ ดึงค่อยๆกล่าวทีละนิดเข้าประเด็นโดยตรงจากข้อความที่ตนได้รับ

 

ม่อไห่และซูหยี่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยจงนั้นจะกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ หลังจากที่ซูหยี่รอจนเยี่ยจนกล่าวจบก็ได้ กล่าวตอบด้วยเสียงอันดัง “ ใช่แล้วเป็นข้าเองที่ส่งไปให้ เจ้าคิดทบทวนเสร็จหรือยัง “

 

“ ข้าจะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวก็ได้ “ เยี่ยจงหยุดและกล่าวด้วยเสียงอันดังต่อ “ แต่ทว่าข้ามีข้อเรียกร้องอยู่ประการหนึ่ง “

 

“ เยี่ยจง “ กล่าวจบ ม่อไห่ผู้นั้นก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา การที่จะสามารถเข้าร่วมกับลัทธิแห่งดวงดาว ไม่ทราบเป็นความรุ่งโรจน์ถึงเพียงไหน แต่เจ้าเด็กบัดซบนี้กลับไม่ทราบว่าตนเองนั้นโชคดีถึงขั้นใด คนของลัทธิแห่งดวงดาวมาเชิญด้วยตนเอง แต่เขากลับกล้ายื่นข้อเรียกร้อง เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกันแน่

 

“ ถ้าหากไม่เกินกว่าความสามารถของข้าแล้วละก็ ข้าก็จะตกลง “ ในช่วงที่ม่อไห่ยังไม่สามารถตอบสนองกลับมาได้นั้นเอง ซูหยี่ก็ได้ตอบตามสิ่งที่ตนเองคิดด้วยเสียงที่แผ่วเบา
นางกล่าวคำเหล่านี้ออกมา ไม่เพียงแค่ม่อไห่เท่านั้น รวมทั้งอาจารย์หลายท่านก็ตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงด้วยเช่นกัน ผู้ที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาวนั้นสามารถเจรจาได้เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ ข้าจะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวก็ได้ แต่ทว่าหวังโม่ก็ต้องได้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน นี้ก็คือข้อเสนอของข้า “ เยี่ยจงได้ชี้ไปที่หวังโม่ สีหน้าตั้งอกตั้งใจกล่าวออกมา

 

หวังโม่ก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ทีแรก แต่ทว่าร่างกายของเขากำลังตกอยู่ในอาการตกใจอยู่ แต่ทว่าเขาก็นึกไม่ถึงว่า เยี่ยจงอยู่ๆจะเปิดเผยข้อเสนอนี้ต่อหน้าทุกคนในที่แห่งนี้

 

“ เขาหรือ “ ซูหยี่กวาดสายตาสำรวจมองไปที่หวังโม่ หลังจากนั้นก็ค่อยๆขมวดคิ้วตอบ “ หากเขาต้องการที่จะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวของข้าแล้วละก็ ถ้าหากให้เขาเพียงเข้าร่วมเป็นแค่ศิษย์สายนอกแล้วละก็คงไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่โตอันใด แต่ทว่า เขาเข้าร่วมนั้นย่อมได้  ข้าก็มีข้อเสนอเช่นเดียวกัน “

 

“ ศิษย์พี่หญิงโปรดกล่าวออกมา “ เยี่ยจงพยักหน้าตอบ ขอเพียงแค่หวังโม่ยังมีโอกาสที่จะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวแล้วละก็ ทุกอย่างก็ยังสามารถเป็นไปด้วยดี

 

“ เรื่องของเจ้านั้นข้าก็ได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ว่าเป็นจริงหรือไม่นั้น คงเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจได้ “ ซูหยี่ยิ้มแล้วยิ้มอีก “ ทว่า ข่าวลือก็ยังคือข่าวลือ ก็อาจจะมีส่วนที่ผิดพลาดได้หลายจุด เจ้าต้องการให้เขาเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาว ความจริงนั้นไม่มีปัญหาอันใด แต่ทว่า ข้าก็ยังอยากที่จะทดสอบเจ้าด้วยตนเองว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่หรือไหม “

 

ต้องการที่จะลงมือเองเลยหรือ

 

เยี่ยจงค่อยๆหรี่ตาเล็กลง เขาพอที่จะมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าซูหยี่นั้นควรมีพลังการฝึกปรืออยู่ที่ลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่แล้ว เกรงว่าคงมีเพียงลัทธิแห่งดวงดาวเท่านั้นที่สามารถมอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้แก่ศิษย์ที่แข็งแกร่งมาเพื่อทดสอบตนเอง

 

หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ เยี่ยจงก็พยักหน้าอยู่หลายคราพร้อมกับตอบกลับไป “ เช่นนั้นก็คงต้องให้ศิษย์พี่ซูหยี่ชี้แนะแล้ว “

 

ซูหยี่ค่อยๆหรี่ตาเล็กลงในระหว่างที่อยู่ในความเงียบ จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะเสียงดังออกมา ใบหน้าที่กำลังหัวเราะอยู่นั้นช่างมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ความจริงนั้นการที่จะทดสอบฝีมือเจ้าเยี่ยจงที่เขาลือกันอยู่ นางก็คาดหวังอยู่มากด้วยเช่นกัน ต่อให้เป็นลัทธิแห่งดวงดาวสายใน กับร้อยก้าวไร้พ่ายของเยี่ยจง แม้กระทั่งตอนสังหารผู้คนก็ไม่กระพริบตาเลยนั้น ก็อาจจะมีการกล่าวเกินเลยไปได้หลายส่วน อย่างน้อย เรื่องราวเหล่านี้ก็มิใช่คนปกติธรรมดาจะสามารถกระทำได้

 

“ ท่านอาจารย์ใหญ่ม่อ เกรงว่าคงต้องให้ท่านช่วยจัดการเตรียมสถานที่ให้แล้วละ คงมิคิดว่าพวกเราประลองในเรือนรับรองนี้หรอกนะ “ หลังจากที่ซูหยี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้ว ก็ถามไปด้วยเสียงที่ดังกังวานออกมา

 

หลังจากที่ม่อไห่เงียบงันไปชั่วครู่ ก็ได้ฝืนยิ้มออกมา พร้อมกับส่ายหัวไปมาตอบ “ ในเมื่อเจ้าทั้งสองต้องการที่จะลงมือแล้วละก็ ข้าที่เป็นคนนอกก็ไม่อยากที่จะเข้าไปห้ามพวกเจ้า เอาเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะตีกัน ก็ไปตีกันที่ลานประลองสายรุ้งโดย “

 

กล่าวตามความจริง เกี่ยวกับฝีมือของเยี่ยจงนั้น ม่อไห่ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ก็มีความสนใจอยู่หลายส่วน เจ้าเด็กที่เป็นเหมือนดั่งขยะแห่งตระกูลเยี่ย ความจริงมีคุณสมบัติแค่ไหนกันถึงสามารถดึงดูดความสนใจของลัทธิแห่งดวงดาวได้

 

อาจารย์หลายๆท่านที่นั่งเงียบกันอยู่ต่างก็ค่อยๆพยักหน้า หลังจากที่เห็นท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวออกไปเช่นนั้นแล้ว พวกที่เหลืออยู่ต่างก็อยากเห็นความสามารถของเยี่ยจงด้วยเช่นเดียวกัน

 

………..

 

ลานประลองยุทธ์อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของโรงฝึกสายรุ้ง ทั้งสี่ทิศต่างก็เป็นตึกเรียนล้อมรอบไว้อยู่ อีกทั้งลานประลองยุทธ์สายรุ้งบนพื้นยังทำจากด้วยหินอ่อนสีเขียวเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น รวมความยาวแล้วได้หลายสิบจัง(หลายร้อยฟุต) ให้ความรู้สึกที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ กล่าวตามความจริง มีเพียงในเวลาท่านอาจารย์ใหญ่อนุญาตแล้วเท่านั้นจริงจะสามารถใช้สนามประลองนี้ได้ แต่ทว่าวันนี้มีแขกที่สำคัญอย่างคนของลัทธิแห่งดวงดาว อาจารย์ใหญ่ม่อไห่ที่เป็นเจ้าบ้านมีหรือที่จะทำตัวขี้เหนียวได้

 

หลังจากนั้น ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม(ชั่วยาม = ครึ่งชั่วโมง)ก็ไปถึงลานประลอง อีกทั้งในเวลานี้บริเวณรอบข้างลานประลองยุทธ์สายรุ้งก็ได้อัดแน่นไปด้วยผู้คนมมากมาย

 

“ พวกเจ้าได้ยินมาหรือไม่ ศิษย์พี่หญิงของลัทธิแห่งดวงดาวนั้นมาเพื่อตามหาเยี่ยจงเลยนะ “

 

“ อีกทั้งยัง ได้ยินมาว่าศิษย์พี่หญิงของลัทธิแห่งดวงดาวจะเป็นคนทดสอบเยี่ยจงด้วยตัวเองด้วยละ เจ้าขยะเยี่ยจงคราวนี้ดูเหมือนโชคจะไม่ดีซะแล้วสิ “

 

“ แต่จากที่ได้ยินมาเมื่อไม่นานมานี้ เขาดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนจากเมื่อก่อนเลยนะ คงไม่ใช่เมื่อก่อนนั้นคงแกล้งทำตลอดมาหรอกนะ “

 

บริเวณด้านล่างลานประลองยุทธ์ ต่างเต็มไปด้วยบทสนทนาต่างๆดังฮืออึงออกมาไม่ขาดสาย ถึงกระนั้นเกี่ยวกับมาของลัทธิแห่งดวงดาวในครั้งนี้คือเพื่อตามหาเยี่ยจงเท่านั้น มีคนไม่น้อยที่กำลังอยู่ในสภาวะไม่เชื่ออยู่หลายคน เยี่ยจงผู้อ่อนแอ จะมีคุณสมบัติเพียงพอหรอกหรือ

 

บริเวณด้านข้างลานประลองยุทธ์ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงมองไปที่เยี่ยจง เขารู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว ที่เยี่ยจงตอบรับการทดสอบในครั้งนี้ก็เพื่อให้ตนเองได้สามารถเข้าร่วมกับลัทธิแห่งดวงดาว อีกทั้งในด้านฝีมือของเยี่ยจงในตอนนี้ เขายังคงไม่ค่อยเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม ในวันที่เกิดเรื่องอย่าง “ร้อยก้าวไร้พ่าย” ไปนั้นเยี่ยจงก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย แต่ว่า ในวันนี้คนที่เขาสู้ด้วยเป็นคนจากลัทธิแห่งดวงดาว ไม่เหมือนกับเหล่าเด็กน้อยที่สู้ด้วยเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้

 

ถึงแม้ว่าหวังโม่นั้นจะเป็นห่วงอยู่ ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังพอที่จะมีความเชื่อมั่นในตัวเยี่ยจงอยู่หลายส่วน อีกทั้งในวันนั้นเขาจะมิได้เห็นเยี่ยจงลงมือด้วยตาตัวเอง ดังนั้นเขาจึงยังคงอยากเห็นฝีมือของบุคคลที่เป็นดั่งพี่น้องของตนว่าพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้วเช่นเดียวกัน

 

บริเวณอีกด้านของลานประลองยุทธ์ ท่านอาจารย์ใหญ่ม่อไห่และเหล่าคณะอาจารย์ก็ได้รวมตัวกัน พวกเขาต่างทิ้งสายตาหยุดไว้ที่บุคคลทั้งสองที่กำลังก้าวเท้าขึ้นสู่ลานประลองยุทธ์สายรุ้ง สายตาของพวกเขาในเวลานี้ ปรากฎแววตาที่ใจจดใจจ่อตั้งตารอดูอยู่

 

“ ตึง “

 

เยี่ยจงก้าวเท้าเพียงครั้งเดียวก็ขึ้นสู่ลานประลองยุทธ์สายรุ้ง จากนั้นก็ค่อยๆสูดลมหายใจเข้าไป สายตามองไปยังฝั่งตรงข้ามบนร่างของบุคคลที่กำลังเดินขึ้นลานประลองยุทธ์ยิ้มอย่างร่าเริง ในเวลานั้นเอง หัวใจเยี่ยจงราวกับหยุดเต้น การประลองในครั้งนี้กับซูหยี่ ช่างต่างจากการต่อสู้กับซูเฮ้าครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง ในครั้งนั้น คู่ต่อสู้นั้นภายในใจอยู่ในสภาวะที่กำลังดูถูกตนเอง จึงทำให้พ่ายแพ้ไปในที่สุด แต่ทว่าในครั้งนี้ เกรงว่าซูหยี่จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะง่ายที่จะต่อกรด้วยได้

 

“ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ เชิญ “

 

หลังจากที่เยี่ยจงจ้องไปที่ซูหยี่ ก็ได้ประสานมือคารวะทีหนึ่ง กล่าวเสียงดังกังวาน

 

บนใบหน้าของซูหยี่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ได้ค่อยๆเลือนหายไป ใบหน้าได้เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูจริงจัง ในตอนนั้นเอง นางก็เหมือนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างหนักที่แผ่ออกมาจากร่างของเยี่ยจง แน่นอนว่า เยี่ยจงร้อยก้าวไร้พ่ายในข่าวลือ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องแต่งขึ้นมาซะแล้ว

 

“ ข้าไม่ออมมือให้หรอกนะ “ จากนั้นซูหยี่ก็ได้กล่าวตอบ

 

“ ขอบคุณมาก “ เยี่้ยจงพยักหน้าด้วยความสงบเงียบ สิ่งนี้บ่งบอกว่าคู่ต่อสู้ได้คารพการประลองเพียงใด จากนั้นเขาก็ค่อยๆก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ในเวลานั้นเอง บนสนามก็ปกคลุมไปด้วยไอพลังที่แปรเปลี่ยนไปมาไม่รู้จบ

 

จากการสัมผัสได้ถึงไอพลังที่ก่อตัวขึ้น ความจริงไม่เพียงแค่เหล่าอาจารย์ แม้แต่เหล่าลูกศิษย์ในโรงฝึกต่างก็สัมผัสได้ว่ามาจากบนสนามประลองยุทธ์สายรุ้ง สายตาของทุกผู้คนต่างมองไปด้วยความตั้งใจ พวกเขาต่างตั้งตารอดู ไม่เกี่ยงว่าผลแพ้ชนะจะเป็นของผู้ใดก็ตาม

 

“ เป็นเช่นนี้นี้เอง งั้นพี่สาวจะไม่เกรงใจแล้วละนะ “ ซูหยี่ตาทอประกายคมกล้าสายหนึ่ง จากนั้นก็พบว่านางได้ยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นผสานกัน บนฝ่ามือนั้นปรากฎแสงสีแดงอ่อนๆราวกับเพลิงปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ก้าวเท้าพุ่งไปยังด้านหน้าราวกับธนูหลุดจากแหล่ง มีเสียงระเบิดดังออกมา ราวกับทำให้ผู้คนได้พบเห็นสิ่งที่มิคาดคิด ช่างแตกต่างจากร่างกายที่อ้อนแอ้นของนาง ที่ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมาได้ด้วยพลังของนางเอง

“ บรึม “

 

ฝ่ามือที่ขาวผ่องของนางนั้นช่างอันตรายดุจดาบฟาดฟันเข้ามา เล็งไปที่จุดที่เยี่ยจงยืนอยู่ ฝ่ามือดาบเร็วราวกับวายุ เล็งเข้าสู่บริเวณช่วงคอของเยี่ยจง

 

เยี่ยจงขยับร่างกายของตนไปด้านข้างอย่างช้าๆ ในตอนที่ฝ่ามือดาบของซูหยี่นั้นกำลังจะเข้าถึงคอหอยของเยี่ยจงเวลาเดียวกันนั้นเอง เยี่ยจงก็ได้งอนิ้วชี้แล้วดีดออกไป พอดิบพอดีกระทบใจกลางฝ่ามือของซูหยี่

 

หลังจากที่พบว่าเยี่ยจงนั้นตอบโต้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ซูหยี่ก็ได้หัวเราะคิกออกมาคำหนึ่ง นางนั้นเป็นถึงศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว ความจริงความสามารถรวมทั้งฝีมือก็มิได้อ่อนแอเลย แต่หลังจากที่เมื่อครู่นี้ ที่ฝ่ามือดาบของนาง ถูกแก้การบวนท่าโดยใช้แค่นิ้วเดียวสยบลงได้

 

“ เปรี้ยง — — “

 

เสียงดังราวกับเงินและทองกระทบกันดังกังวาน ในขณะนั้นเองก็มีเสียงระเบิดตามออกมา บุคคลที่เป็นถึงของลัทธิแห่งดวงดาวอย่างซูหยี่ อีกทั้งทักษะยุทธ์ที่ฝึกฝนมานั้นก็มิได้อ่อนด้อย และพลังลมปราณของนางยังอยู่ในขั้นที่สี่ของลมปราณก่อเกิดอีก ความสามารถนั้นถ้ากล่าวออกมาตามตรงก็มิได้อ่อนด้อยเลย แต่ว่าถ้าเทียบกับเยี่ยจงที่ฝึกฝนวิชาเพลงกระบี่หกสุสานโบราณ ที่คอยหนุนพลังลมปราณอีกด้วย ดังนั้นความสามารถระหว่างเยี่ยจงและซูหยี่นั้นกล่าวได้ว่าแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทว่าพลังลมปราณที่ฝึกฝนมานั้น จะสามารถใช้ออกมาได้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง

 

ในเวลาต่อมา หลังจากที่พลังนิ้วและฝ่ามือพอกระทบกันพร้อมกัน จากนั้นก็ถอยหลังไปคนละครึ่งก้าว

 

“ พลังลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สามงั้นหรือ “ ซูหยี่ค่อยๆสะบัดมือที่กำลังชาด้าน อายุเพียงแค่นี้ก็ฝึกฝนได้ถึงขั้นนี้แล้ว จากที่ซูหยี่สังเกตนั้น พรสวรรค์ก็มิได้มีอะไรมากมาย เพียงแค่ฝึกฝนพลังลมปราณจนถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สาม แต่หลังจากที่เขาสามารถรับมือกระบวนท่าเมื่อครู่ของตนไว้ได้ หากไม่นับความสูงต่ำแล้วละก็ สิ่งนี้ก็พอเพียงที่จะบ่งบอกว่าเยี่ยจงนั้นร้ายกาจเพียงใด

 

“ ดูเหมือนว่า จะเริ่มสนุกขึ้นมาซะแล้วสิ ….. “ ซูหยี่แลบลิ้นสีชมพูออกมา อีกทั้งเลีบริมฝีปากไปมา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี