จางลั่วเฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วระยะ แล้วถามต่อว่า“แล้วตอนนี้หลินเฉิงยวู่ถูกฆ่าแล้ว ? ”
“ไม่ !ไม่มีทางที่องค์ชายเจ็ดจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ ”อวินเอ๋อร์ตอบ “หลินเฉิงยวู่ ถูกตอนตามกฎวัง กลายเป็นขันที และเป็นคนรับใช้คนองค์ชายเจ็ดไปแล้ว ! ”
จางลั่วเฉิงกล่าว “อัจฉริยะอันดับหนึ่งตระกูลหลิน กลับต้องกลายเป็นขันที แล้วยังต้องมาเป็นคนรับใช้ของศัตรูอีก สำหรับตระกูลหลินแล้ว นี่คือความอัปยศอดสูอย่างมาก”
อวินเอ๋อร์ขมวดคิ้วแล้วกล่าว่า “แต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้งๆที่ตระกูลหลินได้รับความอัปยศขนาดนี้ ทำไมผู้นำตระกูลหลินยังจะให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานกับองค์ชายเจ็ดอีก ? ”
จางลั่วเฉินตอบ “เรื่องนี้ไม่ยากเลย !เพราะดูจากความสามารถขององค์ชายเจ็ดแล้ว ในภายหน้าคงได้เป็นฮองเต้ต่อแน่ แล้วกลายเป็นผู้ปกครองประเทศอวินอู่จวิน ตระกูลหลินนั้นอยากจะมีที่อยู่ในประเทศนี้ ยังไงก็จำเป็นต้องพยายามกระชับความสัมพันธ์กับองค์ชายเจ็ดเอาไว้ แล้วการแต่งงานก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด”
“จริงๆแล้ว อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหลิน เมื่อกลายเป็นคนรับใช้ขององค์ชายเจ็ดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายเจ็ดกับตระกูลหลิน อาจจะไม่ได้เป็นศัตรูกันอย่างที่เราคิดก็ได้ ไม่แน่ว่า การแต่งงานของหลินหนิ่งซานกับองค์ชายเจ็ดครั้งนี้ หลินเฉิงยวู่อาจจะเป็นคนจัดการก็ได้ ”
อวินเอ๋อร์มองตรงไปที่จางลั่วเฉิน นึกไม่ถึงเลยว่า องค์ชายเก้าจะสามารถวิเคราะห์ได้เป็นข้อ ๆ ขนาดนี้ ไม่เหมือนองค์ชายเก้าคนที่อ่อนแอคนนั้นเลยซักนิด กลับทำให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่เก่งกาจและเฉลี่ยนฉลาดเป็นอย่างมาก
“ดู ๆ แล้วพอเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ ทำให้องค์ชายเก้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ” อวินเอ๋อร์แอบคิดในใจ ถ้าหากว่าสนมหลินรู้ว่าองค์ชายเก้าเปลี่ยนไปขนาดนี้ล่ะก็ จะต้องปลาบปลื้มเป็นอย่างมากเป็นแน่
กลับมาที่ห้องตัวเอง จางลั่วเฉินก็รีบเข้าไปในมิติของหินผลึกมิติทันที
“ตอนนี้เขาเริ่มทะลวงจุดชีพจรเส้นที่สอง!”
จางลั่วเฉินเปิดจุกขวดหยก แล้วดื่มน้ำล้างกระดูกลงไป
ภายใต้ฤทธิ์ยาของน้ำล้างกระดูก เลือดลมทั้งหมดในร่างกายก็เหมือนจะเดือดพล่านขึ้นมา ด้วยความช่วยเหลือของฤทธิ์ยา จางลั่วเฉินรีบทำตามวิธีที่เก้าวิถีจักรพรรดิ์หมิงบันทึกไว้ แล้วเริ่มทะลวงชีพจรเส้นที่สอง
ยิ่งเปิดจุดชีพจรในร่างกายมาก การซึมซับหลิ่งชี่ก็ยิ่งเร็ว การโคจรลมปราณในร่างกายก็ยิ่งเร็วขึ้น
ยิ่งเส้นชีพจรในร่างกายมาก ท่ายุทธ์ที่ฝึกฝนก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ในระดับขั้นเดียวกันนั้น จะยิ่งสามารถแสดงอานุภาพที่แข็งแกร่งกว่าได้
การใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ในการฝึกฝน ไม่นานจางลั่วเฉินก็สามารถทะลวงชีพจรเส้นที่สองได้ ความเร็วในการโคจรลมปราณในร่างกายเร็วขึ้นอีกหนึ่งเท่า !
“ลมปราณไม่ได้เพิ่มขึ้น ! ยังไปไม่ถึงขั้นอเวจีระดับกลาง ดูแล้วน่าจะต้องทะลวงจุดชีพจรอีกหนึ่งเส้น ! ”
จางลั่วเฉินกินเสวี่ยตันไปหนึ่งเม็ด เพื่อฟื้นฟูกำลัง แล้วพักอีก 1 ชั่วยาม ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด แล้วรีบกินน้ำล้างกระดูกทันที จากนั้นเริ่มทะลวงชีพจรเส้นที่สาม
ผู้ฝึกฝนคนอื่น เมื่อทะลวงชีพจรสายใหม่แล้ว ปกติจะต้องพัก 1 ถึง 3 เดือน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับชีพจร แล้วจึงจะเริ่มทะลวงชีพจรต่อ
แต่ว่าจางลั่วเฉินกลับรอไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาจะต้องเริ่มทะลวงชีพจรตอนนี้เลย เพื่อไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับกลางให้ได้
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ความยากก็จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า !
“ข้าจะต้องทำให้ได้ จะต้องทำให้สำเร็จ คืนนี้จะต้องไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับกลางให้ได้ ! ”
ในมือของจางลั่วเฉินกำหินผลึกเอาไว้ แล้วซึมซับหลิงชี่ที่อยู่ในหินผลึก พร้อมกับกระตุ้นลมปราณในร่างกายทั้งหมด แล้วทะลวงชีพจรเส้นที่สามทันที
“ตูม!”
ตรงกลางระหว่างคิ้วของจางลั่วเฉิน มีสียงดังขึ้นมา ?
เดิมทีบ่อลมปราณมีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเก็ตบอล ตอนนี้ใหญ่ขึ้น 10 เท่า กลายเป็นขนาดใหญ่เท่ากับบ่อน้ำ คล้ายกับบ่อน้ำขนาดสามฉื่อ
ตอนนี้ บ่อลมปราณของจางลั่วเฉิน ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นบ่อลมปราณจริง ๆ แล้ว
นี่ถึงจะเป็นการฝึกฝนของขั้นอเวจีระดับกลาง!
“ตอนนี้ นับได้ว่าพึ่งจะถึงขั้นอเวจีระดับกลาง ลมปราณในร่างกายยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ แน่นอนว่า ตอนนี้ข้ามีมิติเวลา ถ้าหากข้าฝึกฝนลมปราณจนกระทั่งเต็มบ่อ ลมปราณในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ”จางลั่วเฉินรู้สึกดีใจอย่างมาก การฝึกฝนในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นอีกระดับแล้ว
ทุกครั้งที่เพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น ความจุของบ่อลมปราณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย แล้วก็จะสามารถเก็บลมปราณได้มากขึ้น
ถ้าหากไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ ถึงจะฝึกฝน 10 ปี ลมปราณในร่างกายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะบ่อลมปราณมีขนาดใหญ่เท่าเดิม ลมปราณก็กักเก็บได้เท่านั้น !
เมื่อเลื่อนถึงขั้นอเวจีระดับกลาง สิ่งปนเปื้อนต่างๆในร่างกาย ก็จะถูกขับออกมาทางรูขุมขน คล้ายกับคราบขี้ไคลสีดำๆ แล้วมีกลิ่นเหม็นจางๆ
จางลั่วเฉินรีบไปตักน้ำร้อนมาหนึ่งถัง เพื่ออาบ พออาบน้ำเสร็จเขาก็เปลี่ยนชุดใหม่ แล้วก็รีบกลับเข้าไปในในมิติของหินผนึกมิติ
ในมือของเขากำปากกาไว้แล้ววาดรูปคนลงบนกระดาษอย่างราบรื่น
จากนั้น เขาก็ใช้ความทรงจำในหัว วาดรูปเส้นชีพจรทั้ง 36 สายลงบนรูปคน การโคจรของชีพจรทุกๆเส้นนั้น จะมีการโคจรที่ไม่เหมือนกัน
แต่จะมีจุดที่เหมือนกันอยู่ก็คือ ชีพจรทั้ง 36 สาย จะต้องมารวมกันอยู่ที่บ่อชีพจรตรงกลางระหว่างคิ้ว
ครั้งแรกที่จางลั่วเฉินอ่านเก้าวิถีจักพรรดิ์หมิง หน้าแรกที่เห็นก็คือ “ภาพเส้นชีพจร” ที่ไม่มีคำอธิบาย เขานั้นต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง
ยิ่งฝึกฝนกระบวนท่าระดับสูงมากเท่าไหร่ ก็ต้องทะลวงจุดชีพจรในร่างกายมากขึ้นเท่านั้น ลมปราณก็จะยิ่งโคจรเร็วขึ้น!
“กระบวนท่าของขั้นปุถุชนระดับต่ำนั้นต้องทะลวงจุดชีพจรถึง 7 เส้น”
ในคัมภีร์เก้าวิถีจักรพรรดิ์หมิงมีบันทึกไว้ว่ามีเส้นชีพจรทั้งหมด 36 เส้น ทุกครั้งที่ฝึกเพิ่มหนึ่งเส้น กำลังก็จะเพิ่มขึ้นอีกส่วน ถ้าหากว่าทะลวงทั้งหมด 36 เส้น ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนกัน ?
ขั้นอเวจี คำว่าขั้นนั้นหมายถึงขีดจำกัดของชีพจร
จางลั่วเฉินในชีวิตที่แล้วเองก็ฝึกไปแค่ 33 เส้นเท่านั้น ยังเหลืออีกสามเส้น ที่ไม่ว่าทำยังไงก็ทะลวงไม่ได้!
ร่างกายเก่าที่เขาทะลวงชีพจรทั้ง 33 เส้นในชีวิตที่แล้วของจางลั่วเฉิน เขาสามารถเอาชนะทุกคนที่อายุเท่ากันได้อย่างไม่มีใครเทียบได้แล้ว แม้กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันอย่างฮองเต้หญิงซือเหยายังด้อยกว่าเขาขั้นหนึ่ง เพราะนางสามารถทะลวงชีพจรได้แค่ 31 สาย !
“ตอนนี้ข้าสามารถทะลวงชีพจรได้แล้ว 3 สาย อยู่ในขั้นอเวจีระดับกลาง ถ้าอยากจะไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับปลาย จะต้องทะลวงอีกอย่างน้อย 3 สายถึงจะสำเร็จ”
จางลั่วเฉินม้วนกระดาษภาพชีพจร แล้ววางไว้บนแท่นหิน
และถ้าอยากจะไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับปลาย ก็จำเป็นต้องฝึกฝนให้ลมปราณเต็มบ่อซะก่อน
ถ้าหากว่าทำตามกฎการฝึกในนั้นถึงแม้จะใช้หลิงชี่ในหินผลึกช่วย ก็ต้องฝึกถึงหนึ่งปีครึ่งถึงจะสามารถเติมลมปราณให้เต็มบ่อได้ !
จางลั่วเฉินไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้ ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องใช้“ยารวมปราณ”
ยารวมลมปราณหนึ่งเม็ดราคาหนึ่งพันเหรียญเงิน สำหรับจอมยุทธ์ทั่ว ๆ ไปแล้ว ยานี้เท่ากับของล้ำค่าที่มีไม่มากนัก ถึงจะเป็นลูกศิษย์ทั้งหลายของตระกูลขนาดกลาง ก็ยากที่จะได้มันมาซักเม็ด !
แต่ว่าจางลั่วเฉินนั้นกลับซื้อทีเดียวถึง 10 เม็ด เพราะเขาตั้งใจจะเอามาเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของตัวเอง!
ยารวมปราณ มีขนาดใหญ่เท่ากับเม็ดไข่มุก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ถึงจะใช้ตาเปล่ามองก็สามารถมองเห็นหลิงชี่เป็นสายๆที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ภายในเม็ดยาได้
จางลั่วเฉินกลืนเม็ดยาเข้าปาก
จากนั้นไม่นาน…!
เสียง“ตูม” ยามรวมปราณระเบิดอยู่ในร่างกาย แล้วกลายเป็นกลุ่มพลังหลิงชี่ที่บ้าคลั่ง อยู่ภายในร่างของจางลั่วเฉิน
ชีพจรทั้งสามเส้นเริ่มดูดซึมพลังหลิงชี่ที่ได้จากยาอย่างรวดเร็ว แล้วเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายในร่างของจางลั่วเฉิน หลิงชี่เปลี่ยนเป็นลมปราณแล้วกักเก็บไว้ในบ่อลมปราณ
แม้ว่า จางลั่วเฉินจะพยายามซึมซับเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังใช้หลิงชี่ได้แค่สามส่วนอีกเจ็ดส่วนนั้นออกมาทางรูขุมขน เขาจึงสามารถซึมซับได้เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น
เขาใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งวันเต็ม ๆ เขาถึงจะสามารถเปลี่ยนหลิงชี่ที่ซึมซับได้สามส่วนนั้นมากลายเป็นลมปราณได้ทั้งหมด
พอเปลี่ยนหลิงชี่ทั้งสามส่วนเสร็จแล้ว จำนวนลมปราณในบ่อก็เพิ่มขึ้นมาอีกสองเท่า
“ข้าทะลวงชีพจรไปแค่สามเส้น การเปลี่ยนหลิงชี่เป็นลมปราณยังช้าอยู่มาก แล้วยังสิ้นเปลืองไปถึง 7 ส่วน ถ้าหากว่าเป็นจอมยุทธ์ขั้นอเวจีระดับสูงต้น พอใช้ยารวมปราณ ก็จะสามารถเปลี่ยนหลิงชี่ในยาให้เป็นลมปราณได้ทั้งหมด ไม่ต้องสิ้นเปลืองเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ช่างมันเถอะ!ขอแค่สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกได้ ถึงจะต้องสินเปลืองเงินอีกแค่ไหนก็ถือว่าคุ้มค่า จากฤทธิ์ยารวมปราณ ข้าใช้อีกสี่เม็ด ก็จะสามารถฝึกฝนลมปราณจนเต็มบ่อได้”
โชคดีที่ตอนนี้จางลั่วเฉินมีเงินมาก ไม่ต้องทุกข์เพราะเงินอีก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ยารวมปราณ 1 เม็ด ราคาหนึ่งพันเหรียญเงิน ทุกครั้งที่กินยาคงทำให้เขาปวดใจมาก
เขาไม่ได้กินยารวมปราณต่อ เขากับหยุดฝึกฝน แล้วออกมาจากมิติของหินผลึกมิติ แล้วกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
เขาฝึกฝนอยู่ในมิติของหินผลึกมิติไปหนึ่งวันกว่า ด้านนอกพึ่งจะผ่านไปครึ่งวันเท่านั้น
ตอนนี้ คือเวลาเที่ยง
จางลั่วเฉินไม่ได้รบกวนสนมหลินและอวินเอ๋อร์ เขาไปตักน้ำร้อนมาหนึ่งถัง แล้ววางไว้ในห้อง
เขาไม่ได้จะอาบน้ำ แต่จะอาบน้ำยา
จอมยุทธ์ ไม่เพียงแต่ต้องฝึกฝนลมปราณ แต่ยังต้องหล่อหลอมร่างกายตัวเองอีกด้วย
ร่างกายของจางลั่วเฉินนั้นเมื่อเอาไปเทียบกันคนรุ่นเดียวกันแล้ว อ่อนแอกว่าอย่างชัดเจน ถ้าอยากจะให้ร่างกายของตนเองแข็งแกร่งขึ้นภายในเวลาไม่กี่เดือน ไม่เพียงแต่ต้องฝึกฝ่ามือ ยังต้องแช่น้ำยาด้วย
จางลั่วเฉินซื้อน้ำยาฝึกฝนร่างกายมาทั้งหมด 5 ชุด ทุกชุดราคาหนึ่งพันเหรียญเงิน
เขาเอายาฝึกฝนร่างกายออกมาหนึ่งชุด แล้วใส่ไปในถัง
ในถัง มีเสียง“แครกแครก ”ออกมาทันที พร้อมมีควันสีขาวพุ่งออกมา !
จางลั่วเฉินนั่งลงในถัง น้ำยามิดท่วมหัวเขา..
น้ำยาร้อนมาก เหมือนกับน้ำเดือด มีฟองผุดขึ้นมา..
ผิวหนังเริ่มรู้สึกเจ็บปวด จากนั้นความเจ็บปวดแผ่นไปตามร่างกาย จนสุดท้ายเจ็บเข้าไปถึงกระดูกและอวัยวะทุกส่วน
ร่างทั้งร่าง เจ็บปวดทรมาน ถ้าหากเป็นจอมยุทธ์คนอื่น คงจะทนความเจ็บปวดระดับนี้ไม่ได้คงจะออกมานอกถังไปแล้ว
แต่จางลั่วเฉินนั้นเหมือนดั่งกับก้อนหิน เขานั่งขัดสมาธิอยู่ล่างสุดของถัง อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย อดทนต่อความเจ็บปวดนิ่ง ๆ
ทุกคนต้องเคยลำบากมากที่สุดมาก่อน ถึงจะสามารถอยู่เหนือคนอื่นได้
(จบแล้วครับ)
สามาอ่านก่อนใครได้ที่เพจ BOXKINGS หรือเพจหลัก WGSD เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล – จีนแปลไทย ฝากกดไลค์เพจกันด้วยนะครับ