GOS ตอนที่ 92 – เส้นทางเดินเรือ

 

ณ ท่าเรือฐานสาขาที่ 1 เขตทะเลเวสต์บลู

 

เจ้าหน้าที่กองทัพกำลังลำเลียงอาวุธปืนลงจากเรือรบ ซึ่งเรือรบที่โรจานั่งมานั้นนอกจากได้รับภารกิจขนส่งยุทโธปกรณ์แล้ว ภายในเรือยังบรรทุกเหล่าโจรสลัดที่จับมาได้ระหว่างทางแล้วถ่ายโอนพวกมันไปยังฐานทัพอีกด้วย

 

เหล่าทหารเรือกำลังวุ่นอยู่กับการลำเลียงและถ่ายโอน จนกระทั่งทหารเรือสองคนได้ยกลังกระสุนปืนลังสุดท้ายขึ้นฝั่ง ในที่สุดภารกิจขนส่งก็สิ้นสุดลง ก่อนที่พวกเขาจะไปรายงานเรื่องนี้ให้แก่เหล่า นาวาโทและนาวาเอกที่ประจำการอยู่ในสาขาที่ 1

 

“รายงาน! การขนส่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”

 

“ดีมาก อย่าลืมตรวจสอบและนับจำนวนอีกครั้งก่อนย้ายเข้าไปในฐาน”

 

นาวาเอกที่ประจำการอยู่ในสาขาที่ 1พยักหน้าให้กับทหารเรือทั้งสองนาย ก่อนที่จะหันไปมองนาวาโทและนาวาตรีอีกหลายคนที่อยู่บนเรือรบแล้วกล่าวว่า

 

“ขอบคุณที่ลำบาก”

 

“ไม่ได้ลำบากอะไรเลย พวกคุณสุภาพมากเกินไปแล้ว งานขนส่งนั้นเป็นภารกิจของพวกเราอยู่แล้ว นอกจากนี้ ผลงานการจับโจรสลัดทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือของพลเรือตรีโรจา พวกเราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย”

 

นาวาโทที่ประจำการบนเรือรบได้กล่าวกับนาวาเอกที่ประจำการอยู่ในสาขาที่ 1 พร้อมกับหัวเราะออกมา

 

“พลเรือตรีโรจา …”

 

เหล่านาวาเอกและนาวาโทที่ประจำการอยู่ในสาขาที่ 1 เคยได้ยินนาวาโทบนเรือรบกล่าวถึงโรจา เมื่อได้ฟัง ดวงตาของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหว

 

หลังจากที่เงียบกันไปครู่หนึ่ง​ ในที่สุดนาวาเอกจากฐานสาขา ก็อดไม่ได้เลย จนถามออกไปด้วยความสงสัยว่า

 

“พลเรือตรีโรจา เขายังดูหนุ่มอยู่เลย … เขาแข็งแกร่งจริงๆงั้นหรือ?”

 

สถานะของโรจานั้นคือญาติของการ์ป และการ์ปก็เคยใช้กำปั้นของเขาสยบมาแล้วทั่วท้องทะเล แม้แต่ดอน จินเจ่า* ก็ยังเคยถูกสยบโดยเขา ซึ่งนั่นทำดอน จินเจ่าโกรธแค้นสายเลือดตระกูล D เป็นอย่างมาก

 

ถึงแม้โรจาจะไม่ใช่ครอบครัวของการ์ป แต่มันก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ดังนั้นทางศูนย์ใหญ่มารีนฟอร์ดจึงเก็บข้อมูลของโรจาไว้เป็นความลับ เพื่อปกป้องเขาในตอนนี้ที่ยัง ‘ไม่เติบโตถึงขีดสุด’

 

(*ดอน จินเจ่า คือคนที่มีหัวสว่าน เครายาวๆ เป็นยอดฝีมือแห่งกองทัพฮัปโป ที่โผล่มาในมังงะตอนโคลอสเซี่ยมที่เดรสโรซ่า ในอดีตเคยใช้หัวสว่านปะทะกับกำปั้นเหล็กของการ์ป และพ่ายแพ้ต่อพละกำลังของการ์ปจนหัวสว่านอันแหลมโดดเด่น กลายเป็นหัวสว่านทู่)

 

(**ดอน จินเจ่า ภาษาจีนแปลว่าพริกเขียว)

 

“พลเรือตรีโรจานั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย”

 

นาวาโทบนเรือรบกล่าว พร้อมกับเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนที่จะกล่าวอีกครั้งด้วยความเคร่งขรึมว่า

 

“อย่าใช้อายุ มาเป็นตัวตัดสินความแข็งแกร่งของพลเรือตรีโรจาเด็ดขาด”

 

นาวาเอกและนาวาโทจากฐานสาขา เมื่อเห็นท่าทีที่เคร่งขรึมของนาวาโทบนเรือรบ จิตใจของพวกเขาก็ค่อยๆรู้สึกสงบลงเล็กน้อย เพราะหากโรจาแข็งแกร่ง … พวกเขาคงวางใจฝากชีวิตและฐานทัพแห่งนี้ไว้กับเขาได้

 

อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงมีคนที่ยังสงสัยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของโรจาอยู่ดี ร่างกายของโรจานั้นก็ดูเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ไม่สูง ไม่บึกบึน และยังหนุ่มอยู่มาก จนพวกเขาดูไม่ออกเลยว่าคนที่เช่นนี้จะแข็งแกร่งอย่างที่ทหารบนเรือรบกล่าวจริงๆน่ะหรือ?

 

หลังจากพาโรจามาส่งยังฐานสาขาที่ 1 ในเขตทะเลเวสต์บลู และส่งมอบยุทโธปกรณ์จากศูนย์ใหญ่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เติมเสบียงขึ้นไปบนเรือรบ จากนั้นก็แล่นเรืออกจากฐาน และหายไปในทะเล

 

….

 

ณ ชั้นบนสุดของฐานสาขาที 1

 

โรจาและหัวหน้าสาขาไทกะ กำลังเดินอยู่บนระเบียงทางเดิน จนในที่สุดก็มาหยุดหน้าประตูบานหนึ่ง

 

“นี่เป็นสำนักงานของผู้บัญชาการฐาน ส่วนสำนักงานของฉันนั้นอยู่ตรงข้าม ถ้ามีอะไรสงสัยอย่าลังเลที่จะเรียกหาฉัน”

 

ทัศนคติของไทกะที่มีต่อโรจานั้นจะบอกว่าไม่แยแสก็ไม่ใช่ จะกระตือรือร้นก็ไม่เชิง โรจานั้นยังดูหนุ่มอยู่ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ เมื่อต้องอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าโรจา แต่ไทกะก็ยังพาโรจาเยี่ยมชมฐานทัพด้วยท่าทีที่ไม่หยิ่งยโสแต่ก็ไม่อ่อนน้อมเช่นกัน เรียกได้ว่าเขารู้จักวางตัวได้ดีทีเดียว

 

“เข้าใจแล้ว คุณไปเถอะ”

 

โรจาไม่ใส่ใจว่าไทกะจะมีทัศนคติอย่างไรต่อเขา เพราะเวลานี้เขานั้นเป็นเพียงพลเรือตรีที่ไร้ชื่อเสียงในเขตทะเลแห่งนี้ เพียงแค่ไทกะยอมเคารพเขาแบบปลอมๆ แค่นี้โรจาก็รู้สึกซาบซึ้งมากพออยู่แล้ว

 

โรจาผลักประตูสำนักงาน ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างใน

 

ภายในสำนักงานได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่กว้างมากสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีโซฟาและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆครบครัน แถมยังมีระเบียงเล็กๆไว้ให้แสงอาทิตย์ส่องมาจากภายนอก ซึ่งสำหรับโรจาแล้ว เขารู้สึกว่ามันโอเคมากๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าห้องของเขาบนเรือรบ

 

หัวหน้าสาขาไทกะ เมื่อเห็นโรจาเดินเข้าไปในสำนักงาน เขาก็หันหลังแล้วเดินกลับเข้าไปในสำนักงานของเขาด้วยความสงบ

 

ในฐานทัพสาขาที่ 1 มีเขาและโรจาเพียงสองคนเท่านั้นที่มีสำนักงานเป็นของตัวเอง ส่วนนาวาเอกทั้ง 6 คน ใช้สำนักงาน 2 ห้องอยู่รวมๆกัน ส่วนนาวาโทนั้นไม่ต้องพูดถึง

 

ในที่สุดโรจาก็ได้มาประจำการที่ฐานสาขาที่ 1 ในเขตทะเลเวสต์บลูอย่างเป็นทางการ

 

 

ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ในช่วงเวลานี้ มีเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นเท่านั้น และโรจาก็ขี้เกียจเกินไปที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นเขาจึงโยนภาระทั้งหมดให้แก่พลเรือตรีไทกะและเหล่านาวาเอกเป็นคนจัดการ

 

ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำสมควรจะกระทำ

 

ไทกะจึงมีความสุขกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดว่าโรจาไม่สามารถจัดการมันได้ ดังนั้นโรจาจึงเป็นมีตำแหน่งเป็นผู้นำ(ผู้บัญชาการ)เพียงแค่ในนามเท่านั้น แต่อำนาจที่แท้จริงนั้นตกอยู่กับไทกะ

 

อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงมีบ้างเป็นครั้งคราวที่โรจาเป็นคนออกไปจัดการปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้โรจาอดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันดีแล้วจริงๆหรือที่ปล่อยโรบินไป

 

บางทีในตอนนั้นเขาน่าจะจับเธอมาทำหน้าที่เป็นเลขาสาวสวยให้ก็คงจะดี

 

แค่ก แค่ก–!

 

ไม่สิ นี่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย!

 

นอกเหนือจากงานข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ตั้งแต่มาประจำการฐานสาขาที่ 1 โรจาก็ยังไม่เคยที่จะละเลยการฝึกฝนเพื่อเพิ่มแต้มสเตมิน่าซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบจิตวิญญาณแห่งดาบ

 

ฐานสาขาที่ 1 นี้มีพื้นที่สำหรับฝึกฝน แต่อุปกรณณ์ที่มีเป็นเพียงอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานเท่านั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับอุปกรณ์ฝึกฝนที่ศูนย์ใหญ่

 

แต่ก็ยังนับว่าโชคดี

 

โรจาใช้เวลาอยู่หลายวันอยู่บนเรือรบกว่าจะมาถึงฐานในเขตทะเลเวสต์บลู ระหว่างนั้นเขาก็ได้เข้าสู่ห้วงสมาธิเพื่อตระหนักรู้ถึงวิชาดาบ

 

เขาพบว่าแม้การฝึกฝนฮาคิจะเพิ่มแต้มสเตมิน่าได้เยอะ แต่การเข้าสู่ห้วงสมาธิเพื่อตระหนักรู้ถึงวิชาดาบก็ยังสามารถเพิ่มแต้มสเตมิน่าได้อย่างมหาศาลเช่นกัน และแต้มสเตมิน่าที่เพิ่มนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการฝึกนรกของเขาเลย

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะการฝึกนรกของเขาในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องยากมากๆที่จะยกระดับพละกำลังร่างกายที่มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เขาควรจะเน้นการฝึกฝนไปทางด้านจิตวิญญาณ และควรจะเริ่มมันตั้งแต่พื้นฐาน

 

ครึ่งเดือนมานี้หลังจากที่โรจาได้มาประจำการที่ฐาน สาขาที่ 1

 

ระบบจิตวิญญาณแห่งดาบของโรจา ก็ได้เสริมความแข็งแกร่งขึ้นจนมันได้มาถึงระดับสุดท้ายของขั้นสามแล้ว

 

ขั้นสาม :จิตวิญญาณดาบแห่งความรอบรู้ +10

 

สถานะ: พลังโจมตี +300, พละกำลัง +100, ว่องไว +100

 

สกิลพิเศษ :  บันโช อิซไซ ไคจิน โตะ นาเสะ จงเผาสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน — การโจมตีด้วยดาบจะเสริมความเสียหายด้วยไฟ (ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการวิวัฒนาการ)

 

สกิลพิเศษ : เก็ทสึงะ เท็นโช (เขี้ยวจันทรา ทะลวงสวรรค์) — เมื่อใช้สกิลนี้ จะเกิดคลื่นพลังเป็นรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งตรงไปยังทิศทางที่ฟาดฟันดาบออกไป

 

สเตมิน่า: 18/220

 

“ตราบใดที่ฉันเพิ่มแต้มสเตมิน่าจนเต็ม ฉันก็จะสามารถวิวัฒนาการเป็นขั้นสี่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย”

 

หลังจากที่โรจาจ้องมองหน้าต่างสถานะ เขาก็ปิดมันลง ก่อนที่จะชักโฮโนะสึกิออกมา แล้วจ้องมองไปยังใบดาบของมันอย่างระมัดระวัง คิ้วของเขาก็พลันขมวดเข้าหากันทันที

 

“ความเสียหายตรงใบดาบของโฮโนะสึกิเริ่มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันควรจะรีบหาดาบที่มีชื่อเสียงมาแทนที่มัน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สามารถครอบครอง 12 ดาบชั้นเลิศได้ แต่อย่างน้อยก็ควรที่จะหา 21 ดาบ … ไม่สิ ตอนนี้มันเหลือ 20 แล้ว ฉันควรจะหา 20ดาบชั้นยอด หรือ 50 ดาบชั้นดีมาใช้ทดแทนไปก่อนไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สามารถวิวัฒนาการระบบจิตวิญญาณแห่งดาบไปเป็นขั้นสี่ได้”

 

แต่เมื่อโรจากำลังจ้องมองใบดาบอย่างครุ่นคิด

 

ในตอนนั้นเอง

 

ก๊อก ๆ

 

เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

 

“เข้ามา”

 

โรจากล่าวอย่างสงบ พร้อมกับเก็บโฮโนะสึกิลงในฝัก

 

ทหารเรือยศนาวาเอกได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับรายงานว่า

 

“รายงาน! พวกเรือได้ค้นพบเส้นทางการเดินเรือของกลุ่มโจรสลัดเก็กโคแล้ว!”

 

“กลุ่มโจรสลัดเก็กโค …”

 

โรจารู้สึกว่าชื่อนี้มันคุ้นๆ แต่สักพักเขาก็จำได้ทันทีว่า นี่มันคือกลุ่มโจรสลัดที่สังหารอดีตผู้บัญชาการฐานคนก่อนไปไม่ใช่หรอกหรือ? มันคือโจรสลัดที่มีค่าหัว 70 ล้านแบรี่ และถ้าหากรวมกับค่าหัวลูกเรือคนอื่นๆของมัน ทั้งหมดน่าจะอยู่ราวๆ 100 ล้านแบรี่!