Ep.997 – ผู้ใช้อบิลิตี้ 9 ธาตุ

บางทีอาจเป็นเพราะฉินเฟิงไม่เหมือนใคร บางทีอาจเป็นเพราะกฏของต้นไม้ปัญญานิรันดร์ ทำให้ผลแห่งปัญญาร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง

ฉินเฟิงไม่ได้หลบสายตาคนอื่นๆ แต่กลืนกินผลแห่งปัญญาเข้าไปโดยตรง ในจักรวาลแห่งจิตสำนึก อีกสามแก่นอบิลิตี้ปรากฏขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ฉินเฟิงได้กลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ 9 ธาตุอย่างสมบูรณ์

แม้เหลือรูนแสงที่ยังไม่สามารถครอบครอง แต่แค่นี้นับว่าเพียงพอแล้ว!

แม้ว่าแก่นอบิลิตี้ของแต่ละธาตุจะมีขนาดแตกต่างกันกัน แต่อย่างไรเป็นเรื่องง่ายหากคิดสะสมรูนไปเรื่อยๆจนถึงเลเวล S ด้วยทรัพยากรทางการเงินของฉินเฟิง นี่ไม่นับเป็นปัญหา

“อยากรู้จังว่าในพันธมิตรมนุษย์ เคยมีผู้ใช้อบิลิตี้ 9 ธาตุปรากฏตัวขึ้นมาก่อนรึเปล่า” ฉินเฟิงคิด

ภายในระยะเวลาสามปี ฉินเฟิงสามารถทิ้งห่างความแข็งแกร่งในชีวิตก่อน แม้จะใช้เวลาไปบ้าง แต่ไม่มากเหมือนกับสิบปีในชีวิตที่แล้ว

ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินเฟิง ไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงยังได้เห็นทิวทัศน์และมุมมองมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

อย่างเรื่องการดำรงอยู่ของพันธมิตรมนุษย์ที่แท้จริง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในดาวทะเลดอกไม้ พวกมันราวกับเบิกเนตร ช่วยขยายขอบเขตความรู้ของฉินเฟิงให้กว้างไกล ช่วยให้เขาได้มองโลกในแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ให้รู้ว่าในมิติอื่นก็มีคนนะ และเหนือฟ้ายังมีฟ้า

ดังนั้น ฉินเฟิงต้องทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อปีนป่ายไปยังสถานที่ที่เขาต้องการจะไปให้ถึง!

ฉินเฟิงออกจากเกาะนรก กลับไปยังเมืองเฟิงหลี

เขาไม่ได้อยู่ในเมืองเฟิงหลีมาระยะหนึ่งแล้ว ด้วยทรายธารเวลาที่ฝังไว้ใต้ดิน ขับหนุนให้เมืองเฟิงหลีเปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานอย่างหาที่ใดเปรียบ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ดึงดูดผู้แข็งแกร่งเข้ามามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

เมืองเฟิงหลียังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีเมืองเฟิงหลีเป็นรากฐานและศูนย์กลาง พื้นที่รอบๆเริ่มมีสถานชุมชนถูกก่อตั้งขึ้น

ฉินเฟิงกลับมาอย่างเงียบๆ แต่เขาได้บอกกล่าวคนอื่นๆเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าไม่จำเป็นต้องมารายงานผลการทำงาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากลับมา ก็ดันมีคนไม่เชื่อฟังมาเคาะประตูถึงที่พักเขา

มิใช่ใครอื่น เป็นชูฟ่าน!

“มีเรื่องอะไรสำคัญรึเปล่า?” ฉินเฟิงถาม

“งานวิจัยยาปลุกพลังรูปแบบใหม่ สามารถพัฒนาจนประสบความสำเร็จแล้ว! ” ชูฟ่านเอ่ยปากกล่าว

จิตใจของฉินเฟิงสั่นสะท้าน ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งผ่านพ้นประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายของดาวทะเลดอกไม้มาหยกๆ เมื่อย้อนนึกไปถึงฉากที่พลเมืองทุกคนได้กลายเป็นผู้ใช้พลัง ฉินเฟิงก็เริ่มสนใจ ถามไถ่ชูฟ่าน ไม่คิดว่าที่มาเยือน เพราะอีกฝ่ายจะพูดเรื่องนี้

ชูฟ่านเคยศึกษาเชื้อราในมิติต้องห้ามมาก่อน เพื่อนำมาใช้ผลิตยาการปลุกพลัง เพียงแต่ว่าตอนแรกยาปลุกพลังของแซดได้รับการพิจารณาว่ามีช่องโหว่มากเกินไป

อีกอย่างที่ต้องให้ความสนใจก็คือ หากยาปลุกพลังถูกแจกจ่าย แล้วพลเมืองทั้งโลกสามารถปลุกพลังขึ้นได้จริงๆ พลังงานจากมิตินี้คงไม่พ้นถูกสูบกลืนอย่างมหาศาล เร่งระยะเวลาแตกดับเร็วขึ้น

ฉินเฟิงเคยไปที่หัวใจโลกมาก่อน เขาค้นพบว่าพื้นที่ในหัวใจโลกแห้งเหือดลงไปมาก เกรงว่าหากเกิดเหตุการณ์ดังที่กล่าวคงไม่ดี ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว จึงมีแค่ผู้อาสาเป็นกลุ่มทดลองเท่านั้นที่ได้รับการฉีดยา หลังจากนั้น คนเหล่านั้นก็ถูกส่งไปยังมิติธารโลหิตหรือมิติลาวาเดือด

ไม่ต้องกล่าวถึงคราวนี้ที่ฉินเฟิงไปยังดาวทะเลดอกไม้ และเข้าร่วมการต่อสู้ในระดับมิติ ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ร้าย

อย่างแรกเลยคือขนาดร่างกาย!

ในฐานะมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้เทคนิคเปลี่ยนร่าง แม้ว่าจะมีในกรณีที่เป็นกระบวนท่าวรยุทธ หรืออบิลิตี้พิเศษบางอย่างก็ตาม แต่มันก็ไม่มีทางเปลี่ยนรูปร่างมนุษย์ให้กลายเป็นยักษ์สูงใหญ่นับพันเมตรได้

ยังไงก็ตาม สิ่งที่แซดคิดจะทำ ต้องขอยอมรับ ว่าแซดเป็นอัจฉริยะจริงๆ!

และตอนนี้ ชูฟ่านก็กำลังเริ่มค้นคว้าด้านนี้เช่นกัน

“ผลเป็นยังไงบ้าง?” ฉินเฟิงถามอย่างอดรนทนไม่ไหว

“แล้วคุณจะสนใจไปทำไมว่าผลเป็นอย่างไร?”

“แน่นอน เพราะอัตราการปลุกพลังขึ้นอยู่กับเจ้าสิ่งนี้ อีกอย่าง ถ้าฉีดเข้าไปแล้ว คนที่ถูกฉีดกลายพันธุ์ขึ้นมาจะเป็นยังไง?” สิ่งที่ฉินเฟิงต้องการคือน้ำยาปลุกพลังที่ไม่เป็นอันตราย ไม่ใช่ยาที่น่ากลัวแบบของแซด

ชูฟ่านพอถูกถาม ก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “อัตราการปลักพลังมีสูงมากถึง 98.9% แต่นี่เป็นเพราะความล้มเหลวในช่วงต้น ตัวเลขเลยอออกมาเกือบถึง 100% ”

ชูฟ่านแนะนำผลของน้ำยาปลุกพลัง X ให้แก่ฉินเฟิง

ภายในกลุ่มเฟิงหลี เดิมมีการดำรงอยู่ของผู้ใช้พลังที่สามารถปลุกจิตวิญญาณนักรบขึ้นมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะสุดท้ายพวกเขาถูกทิ้งไว้ในปราการชาตงเก่าเมื่อครั้งโดนองค์กร Z โจมตี

ผ่านพ้นไปสองปีนับจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามฉินเฟิงมาตั้งแต่ช่วงต้นๆ ผู้ใช้พลังเลเวล E หานน่วน!

อีกฝ่ายเป็นมือปืน แต่หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ร่างกายของเธอกลับสามารถครอบครองกระบวนท่าวรยุทธ รวมไปถึงสามารถปลุกอบิลิตี้ธาตุสายฟ้าได้

ในช่วงสองปีมานี้ ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายพัฒนาแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันเธอได้กลายเป็นผู้ใช้พลังเลเวล B และรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ในเมืองเฟิงหลี

อีกทั้งเธอยังมีส่วนร่วมในการช่วยชูฟ่านทำการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน

“เราได้ใช้วิธีการสแกนที่ค่อนข้างพิเศษ และค้นพบว่าตำแหน่งหัวใจของหานน่วน ราวกับมีจักรวาลแห่งจิตสำนึก ขณะเดียวกันในตำแหน่งตันเถียน มีแก่นพลังงานอันบริสุทธิ์แฝงอยู่ อย่างหลังไม่ใช่กำลังภายใน อย่างแรกก็ไม่ใช่พลังสมาธิ แต่น่าจะเป็นจิตวิญญาณนักรบธาตุสายฟ้าของเธอ”

ชูฟ่านอธิบายมัน กล่าวต่อว่า “นี่ก็เหมือนกับพลังพิเศษที่ก่อกำเนิดขึ้นจากจิตวิญญาณ ปัจจุบันหานน่วนสามารถสร้างทักษะการต่อสู้ของตัวเองได้มากมาย นอกจากนี้เธอยังสามารถย่อยสลายแก่นอบิลิตี้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ สามารถดูดซับแก่นอบิลิตี้ธาตุสายฟ้าได้เลยอัตโนมัติ และพลังสมาธิภายในแก่นอบิลิตี้เหล่านั้น ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งภายในร่างกายของเธอเช่นกัน”

“อีกอย่าง ความสามารถที่เธอปลดปล่อยออกมา จะสลายไปหลอมรวมเข้ากับพลังงานฟ้าดิน แทนที่จะกลับคืนสู่เจ้าของ!”

ตามปกติ ผู้ใช้อบิลิตี้จะปลดปล่อยพลังงานออกมาเพื่อก่อให้เกิดการโจมตี จากนั้นค่อยดูดกลืนรูนกลับมาในภายหลัง ในความเป็นจริงนี่คือวัฏจักร

ในขณะที่ยาปลุกพลังที่ได้รับจากมิติต้องห้ามก่อนหน้านี้ หลังจากฉีดไปแล้วมันจะหายเข้าไปในเซลล์โดยตรง ถ้าเซลล์ตาย พลังงานนี้ก็จะหายไปด้วย ที่ไม่ใช่วัฏจักรที่เลวร้าย แต่มันคือการทำลายล้าง

ฉินเฟิงรู้เรื่องนั้นดี แต่ยาปลุกพลังในครั้งนี้ มันคือยาปลุกพลังที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

“ยิ่งไปกว่านั้น ตัวยานี้ยังได้รับการทดลองกับผู้ใช้อบิลิตี้และผู้ใช้วรยุทธโบราณ ผลลัพธ์ปรากฏว่า มันมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสามารถได้เป็นอย่างมาก  ถ้าใช้มัน นับจากนี้ไป อาชีพผู้ใช้วรยุทธโบราณ , ผู้ใช้อบิลิตี้ และมือปืน ทั้งหมดจะสาบสูญ กลายเป็นอดีต และอนาคตจากนี้ ผู้คนจะจดจำได้แต่เฉพาะอาชีพนักรบวิญญาณเท่านั้น แต่จิตวิญญาณนักรบดวงใดจะถูกปลุกขึ้นมา อันนี้ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ยิ่งคนๆนั้นมีศักยาภาพมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถปลุกจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งได้มากเท่านั้น!”

ชั่วเวลานี้ จู่ๆชูฟ่านก็มองฉินเฟิงด้วยตาเป็นประกาย กล่าวว่า “ท่านประธาน คุณสนใจที่จะลองไหม?”

ตอนนี้ ไม่ว่าจะชูฟ่านหรือแซด แม้ทั้งสองไม่ถูกกัน แต่ในความเป็นจริงกลับมีความคิดเห็นในเชิงเดียวกัน

ทั้งสองคนนี้ ต่างเห็นพ้องว่าคนที่มีศักยภาพมากที่สุดคือฉินเฟิง ดังนั้นทั้งคู่ต้องการจะทราบ ว่าจิตวิญญาณนักรบประเภทใดกันที่ฉินเฟิงจะสามารถปลุกได้

มันอาจเป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษไม่เหมือนใคร สามารถเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของโลกเลยก็ได้ ฉะนั้นตอนนี้ควรค่าแก่การลองใช่หรือไม่?

ฉินเฟิงก็ถามตัวเองในใจเช่นกัน ว่าอยากลองดูไหม?

“ไม่ล่ะ รออีกหน่อยดีกว่า” ฉินเฟิงตัดสินใจในที่สุด

มุมปากของชูฟ่านยกยิ้ม เกรงว่าจะเป็นรอยยิ้มเยาะ

“นวัตกรรมมักเป็นที่รังเกียจและถูกปฏิเสธโดยผู้คนเสมอ!”

เมื่อใดก็ตามที่สิ่งใหม่ๆปรากฏขึ้น ผู้คนมักตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน ชูฟ่านคิดว่าฉินเฟิงก็เป็นเช่นนั้น ขลาดเขลาเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็พอเข้าใจฉินเฟิง เพราะตอนนี้ฉินเฟิงมีทุกสิ่งที่คนอื่นได้แต่แหงนมอง อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงใดๆ

ต้องทราบนะว่า หลังจากปลุกจิตวิญญาณนักรบได้แล้ว ไม่ว่าจะตันเถียนหรือพลังสมาธิ ทั้งหมดจะหายไป และมิอาจคาดเดาได้ ว่าจิตวิญญาณนักรบประเภทใดจะถูกปลุกขึ้นมา

ฉินเฟิงส่ายหัวและกล่าว “ซักวันฉันจะทดลองมันแน่ๆ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้!”

“งั้นบอกมาสิว่าเมื่อไหร่?” ชูฟ่านถาม

แววตาของฉินเฟิงกลายเป็นหนักแน่นมั่นคง เอ่ยปากว่า “ก็เมื่อฉันมีความสามารถมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลก เมื่อตอนที่ฉัน … ได้กลายเป็นเจ้าของมิติโลกมนุษย์แห่งนี้! ”