Ep.962 – เทพไร้ลักษณ์

 

ปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของมีดกษัตริย์คราม ได้กระโดดขึ้นไปอยู่ในระดับสุดยอดของอาวุธเทวะเลเวล S แล้ว

 

การดำรงอยู่ของสัตว์เทวะเลเวล S นั้น จะไม่เหมือนกับในระดับอื่นๆ ท่ามกลางโลกพันธมิตรมนุษย์นับไม่ถ้วน มันเป็นวัสดุที่ยากนักจะครอบครอง ประการแรกเลยก็คือ เพราะในมิติของพวกเขาไม่ได้มีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังถึงขนาดนั้น นอกจากนี้ หากอ้างอิงตามปกติ คนที่จะสามารถสู้กับมันได้คือเลเวล SS แต่คนที่คิดลงมือมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เพราะกว่าที่พวกเขาสามารถปีนป่ายได้ถึงขั้นนั้นช่างลำบากลำบน ฉะนั้นไม่ยินยอมที่จะเสี่ยงภัย

 

เนื่องจากถูกหลอมละลายด้วยวัสดุชั้นดีเลิศ มีดกษัตริย์ครามในตอนนี้จึงคมมาก มันเกือบไปถึงในจุดที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึง

 

แน่นอน ฉินเฟิงจะอัพเกรดมีดกษัตริย์ครามอีกครั้งในภายหลัง จะให้มันทะยานเข้าสู่ขอบเขตอาวุธเทวะเลเวล SS ให้จงได้ แม้แต่เลเวล SSS ก็จะทำ

 

มีดกษัตริย์ครามถูกนำออกจากรูบิควิเศษ ลักษณะของมีดกษัตริย์คราม ได้รับฟังก์ชั่นแหวกมิติเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง สามารถใช้งานหากต้องการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระหว่างต่อสู้

 

จากนั้น ฉินเฟิงใช้วัสดุจากจ่าฝูงตั๊กแตน สร้างฝักมีด ในที่สุดมีดกษัตริย์ครามก็สามารถเก็บซ่อนคมของมันได้

 

“สร้างอาวุธชิ้นอื่นเตรียมไว้ด้วยดีกว่า เพราะอีกไม่นานน่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้น!”

 

ฉินเฟิงยังมีอีกสถานะคือจอมมารซวนเฟิง และในวันนี้เขาอาจต้องประมือกับคนอื่นๆ ในกรณีนี้ มันจะดีกว่าหากสร้างอาวุธเผื่อเอาไว้

 

อาวุธที่ใช้ลอบสังหารเหอเทียนสิงครามก่อน เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะที่จะใช้ในตอนนี้

 

หลังจากคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก ฉินเฟิงหยิบเอาฟันของสองจ่าฝูงหมาป่าที่เขาล่าได้ในเกาะมังกรออกมา

 

ฟีนิกซ์เพลิงทราบว่าเขาเคยไปยังเกาะมังกรมาก่อน และที่นั่นมีสัตว์ร้ายสายพันธุ์หมาป่าอยู่เป็นจำนวนมาก หากใช้อาวุธที่ทำจากวัสดุนี้ น่าจะไม่ดลใจให้ผู้คนผิดสังเกตมากเกินไป

 

ฉินเฟิงเริ่มรวบรวมวัสดุที่เหลือจากจ่าฝูงตั๊กแตน รวมไปถึงของเหลือที่ฟีนิกซ์เพลิงจัดหามาให้ ทำการหลอมรวมเพื่อสร้างกริซสีขาวราวหิมะสองเล่ม

 

กริซทั้งสองเล่มนี้มีลวดลายสีเงิน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติของมิติ ทั้งส่งกลิ่นอายของสัตว์ร้ายเลเวล S แต่สองหมาป่าอยู่ในระดับราชันย์เท่านั้น พวกมันไม่อาจเข้าถึงระดับจักรพรรดิ ถ้าฉินเฟิงไม่ได้ซ่อนกลิ่นอายของมัน กริซสองเล่มที่มีแสงสีเงินนี้ มันจะพอเหมาะให้ผู้คนคิดว่านี่คืออุปกรณ์รูนที่ทำจากวัสดุระดับราชันย์เลเวล S พอดี (อุปกรณ์ที่สร้างจากรูบิควิเศษจะไม่มีแสงที่ใช้ระบุระดับเรืองออกมา)

 

เจ้าสิ่งนี้ แม้อาจไม่ดีเท่าอาวุธเทวะ แต่ก็ถือว่ามันก้าวล้ำไปกว่าเทคโนโลยีการประดิษฐ์ในโลกปัจจุบันไปแล้ว

 

มันคือสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ฉินเฟิงแขวนสองกริซไว้ที่เอว ปัจจุบัน การรับรู้ของฉินเฟิงเฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง เขาค้นพบว่ามีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์สามสายได้รุกรานเข้ามายังอาณาเขตของตน

 

“ไม่นึกเลย ว่าเพิ่งสร้างอาวุธเสร็จ ก็มีคนมาให้ทดสอบมันทันที ประเคนเลือดของตัวเอง มาเจิมให้กริซของฉันถึงที่!” ฉินเฟิงยิ้มเยาะ

 

“ไป๋หลี เธอเล่นที่อยู่ที่นี่แหละ ฉันจะแวะไปเจอเพื่อนเก่าข้างนอกซะหน่อย!”

 

“เจ้าเทพวูดูคนนั้นอะนะ? เอาเลยลุยโลด!” ไป๋หลีโบกมือลาโดยไม่แม้จะเงยหน้าขึ้น หากเป็นเมื่อครั้งในตอนลอบสังหารเหอเทียนสิง ไป๋หลียังมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ เวลาผ่านไปได้ไม่นาน ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงและเธอยกระดับไปอีกขั้นแล้ว

 

มันอยู่ในระดับที่ว่า หากเขาและเธอคิดสังหารเหอเทียนสิงด้วยความแข็งแกร่งที่มีในปัจจุบัน เกรงว่าคงจะไม่ยุ่งยากเช่นคราก่อน ที่ต้องมาคอยแอบซุ่ม และคำนวณหาจังหวะให้ดี ตราบใดที่ลงมือ เหอเทียนสิงย่อมตายอย่างไม่ต้องสงสัย

 

นับประสาอะไรกับเทพวูดู ต่อให้ชายคนนี้มาพร้อมกันสามหรือห้าคน สำหรับฉินเฟิงในปัจจุบัน ผลลัพธุ์ก็ไม่ต่างกัน

 

“อืม อยากซื้ออะไรก็ซื้อได้เลยนะ แต่อย่าระบุที่อยู่ให้มาส่งของที่นี่ ให้ไปส่งที่เมืองเฟิงหลี!”

 

“รู้แล้วน่า!”

 

ฉิินเฟิงเฝ้ามองไป๋หลีที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการช้อปปิ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจากไปอย่างเงียบๆ

 

 

บนสะพานข้ามทะเล ทั้งสามคนที่ในตอนแรกสนทนาหารือกันอย่างออกรส เวลานี้กลับมีสีหน้าฟุ้งไปด้วยความมืดมน อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก

 

เพราะพวกเขาติดแหง่กอยู่บนสะพานมานานแล้ว

 

เนื่องจากการกลับมาของฉินเฟิง คลับมังกรดำจึงปล่อยข่าวลือออกไป ว่าสินค้าประมูลในปีนี้จะมีมากขึ้นกว่าในอดีต คุณภาพดีกว่า ดังนั้นทุกคนจึงเดินทางมายังเมืองหลวงแห่งความมืด

 

มีคนเพิ่มขึ้นหนึ่ง ก็เท่ากับมีรถเพิ่มอีกคัน ฉากที่ปรากฏขึ้นในเวลานี้ ในสมัยที่โลกยังสงบสุขเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน มันเรียกกันว่า–

 

–การจราจรติดขัด!

 

ในตอนแรกที่เทพวูดูและสหายของเขาเมื่อเห็นฉากนี้ ก็พาลจินตนาการไปถึงสถานการณ์ที่พวกตนทั้งสามได้กลายเป็นเจ้าเมืองในอนาคต ถ้าฉากอันคึกคักนี้เป็นของพวกเขา มันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน แต่หลังติดอยู่ในรถเป็นเวลาสองชั่วโมง ใบหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง

 

แต่ในเมื่อรอมานานขนาดนี้แล้ว หากจู่ๆระเบิดอารมณ์แล้วบุกเข้าไป มันจะไม่น่าอายไปหน่อยหรอ?

 

ณ จุดนี้ มันได้กลายเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก!

 

เทพไร้ลักษณ์เป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว เอ่ยปากว่า “แยกกันเถอะ เอาไว้เจอกันข้างในนะ!”

 

เทพไร้ลักษณ์เป็นนักฆ่า ดังนั้นเชี่ยวชาญที่สุดในการซ่อนร่องรอยตน เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ติดแหง่กจากทุกทิศทาง ในความคิดของเธอมันเป็นสภาวะที่น่าอึดอัดซะจริงๆ

 

“เข้าใจแล้ว เธอไปเถอะ ยังไงก็ตาม อย่าลืมตรวจสอบจอมมารซวนเฟิงคนนั้นด้วยล่ะ ว่าเขาอยู่ข้างในรึเปล่า” เทพวูดูกล่าว

 

เทพไร้ลักษณ์พยักหน้ารับ ดีดตัวกระโดดออกจากรถ

 

เนื่องจากสถานการณ์การจราจรติดขัด ทำให้มีผู้คนเป็นจำนวนมากติดอยู่บนสะพาน หลายคนตัดสินใจเก็บรถศึกล่องเวหา เดินเท้าเข้าเมือง ด้วยเหตุนี้การกระทำของเทพไร้ลักษณ์จึงไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก

 

สะพานถูกขวางเอาไว้โดยผู้ใช้พลังเลเวล B ห้าคน ในขณะที่ผู้ถูกหยุดเอาไว้ เกรงว่าจะมีเลเวล A เป็นร้อยๆ แต่ไม่มีใครกล้าผลีผลาม

 

ภายใต้ร่มเงาของผู้มีชื่อเสียง หากคิดตีสุนัขจำต้องดูเจ้าของ

 

มาที่นี่ ทุกคนต้องทำตามกฏ มิฉะนั้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของเลเวล S ผลลัพธ์ที่เหอเทียนสิงจะมอบให้ คงไม่ใช่การพบจุดจบที่ดี

 

แต่ละคนถูกเรียกเก็บค่าผ่านทาง แล้วปล่อยผ่านเข้าเมือง แต่มิใช่แค่คิวรถที่ยาว หลังจากเดินมาถึงคิวคน จะพบว่าแถวช่องทางเดินเท้าเข้าเมืองก็ยาวไม่แพ้กัน หากคำนวณให้คนพวกนี้เข้าไปหมด เทพไร้ลักษณ์จะต้องรอครึ่งชั่วโมง

 

ทว่าในฐานะเลเวล S ที่ภายนอกมีอำนาจล้นฟ้า ตอนนี้กลับถูกขวางโดยผู้ใช้พลังเลเวล B แค่ห้าคน คิดแล้วเป็นเรื่องตลกสิ้นดี

 

ยิ่งไปกว่านั้น จอมมารซวนเฟิงมิได้อยู่ในสายตาเธอ ร่างของเทพไร้ลักษณ์กลายเป็นพร่ามัว หายวับไปจากจุดเดิม เธอตัดสินใจทะยานขึ้นจากพื้น คิดหมายจะบินฝ่าด่านไป!

 

ในความสูงระดับนี้ติดตั้งไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการผ่านมันจำเป็นต้องมีตราเฉพาะ ณ จุดนี้ต่อให้เทพไร้ลักษณ์ว่องไวมากแค่ไหน แต่ก็ยังถูกสแกนเจอ เมื่อระบบตรวจพบว่าไม่มีตรา สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นทันที

 

【ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!】

 

เสียงไซเรนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ดึงดูดสายตาของผู้คนทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะมีไอ้ตัวประหลาดกล้าได้กล้าเสียโผล่ออกมาซะแล้ว

 

เทพวูดูที่อยู่ไกลออกไป แน่นอนสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของเทพไร้ลักษณ์ เจ้าตัวฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็นั่นล่ะนะ พอสามารถปีนป่ายขึ้นสู่เลเวล S ถึงเวลานั้น หากคิดทำอะไรย่อมทำตามใจตนเองอยู่แล้ว

 

ต่อให้สัญญาณเตือนตรวจพบเทพไร้ลักษณ์แล้วอย่างไร? สุดท้ายก็ไม่มีใครไล่ตามเธอทันอยู่ดี!

 

ยังไงก็ตาม ในเวลานั้นเอง เส้นแสงสีดำทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ตรงมายังทิศทางการเคลื่อนไหวของเทพไร้ลักษณ์ พุ่งมาดักหน้าเธอ

 

รูม่านตาของเทพวูดู เบิกกว้างขึ้นทันที

 

นั่นเพราะเขาจดจำกระบวนท่าวรยุทธนี้ได้

 

มันคือทักษะก้าวทะลวงมิติ! เมื่อครั้งเหอเทียนสิงถูกฆ่า อีกฝ่ายก็ใช้วิชาตัวเบานี้เช่นกัน

 

แต่ตอนนี้ซวนเฟิงดูเหมือนจะเชี่ยวชาญมันยิ่งกว่าครั้งก่อนซะอีก!

 

ในอากาศ ร่างทั้งสองพุ่งเข้าหากันในพริบตา

 

ฉินเฟิงใช้กลเม็ดของนักฆ่า เทพไร้ลักษณ์ก็เช่นกัน ความเร็วของทั้งสองดูเหมือนจะเท่ากัน แต่เทพไร้ลักษณ์เชื่อมั่นในตนเอง ว่าเธอต้องไวกว่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

 

ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็นชา ชักคู่กริซออกมา ตัดกวาดเป็นเครื่องหมายกากบาทไปข้างหน้า

 

ประกายของความเหยียดหยามสะท้อนในแววตาเทพไร้ลักษณ์ ร่างเธอขยับวูบ คว้ากริซมากุมในมือ ตัดกวาดเข้าหาศัตรูในทำนองเดียวกัน

 

ชนิดที่ว่าเทพไร้ลักษณ์ได้ปรากฏความคิดขึ้นในใจเธอแล้ว ว่าหลังจากกริซของฉินเฟิงกับเธอประสานงากัน เธอจะสะท้อนวูบไปอีกทิศทางหนึ่ง ถึงเวลานั้น ย่อมไม่มีใครสามารถหยุดเธอได้