1/3

Ep.76 – เงื่อนไขเข้าทีม

หวังฉงคือใคร?

เขาคือลูกคนรวยที่โด่งดังที่สุดในแวดวงชาวเน็ตจีน!

ในโลกจริง คนที่กล้าไม่ไว้หน้าเขา มีแทบนับนิ้วได้!

หากคนที่กล่าวประโยคเมื่อครู่คือจ้าวหมิงก็แล้วไป แต่ตอนนี้มันกลับถูกเอ่ยโดยชายหนุ่มผู้ไร้ชื่อเสียง

การปฏิเสธอย่างเฉียบขาดเช่นนี้ มันทำให้นายน้อยฉงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ที่นี่คือโลกวิญญาณ!

ในโลกจริงคุณจะมีอิทธิพลแค่ไหน ก็ไม่อาจใช้มันได้ในโลกแห่งนี้ได้!

หรือถ้าให้พูดตรงๆ หากฮังอวี่เกิดไม่พอใจขึ้นมา แล้วลงมือฟันเขา หวังฉงคงไม่สามารถขัดขืนได้ ​

ปัจจุบันสถานการณ์ซับซ้อนมาก ไม่ต้องกล่าวถึงในโลกวิญญาณ แม้จะกลับไปสู่โลกจริง ก็ไม่สมควรอย่างที่จะล่วงเกินคนอย่างฮังอวี่

นั่นเพราะระบบการขนส่งเป็นอัมพาต เมืองใหญ่ถูกแยกตัวเป็นเกาะโดดเดี่ยว ถ้าต้องติดแหง่กอยู่กับศัตรูที่แข็งแกร่ง คงยากจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

“ฉันไม่เอาสินสงครามก็ได้ อุปกรณ์หรือไอเท็มที่ดรอปฉันไม่เอาซักชิ้นเดียว แบบนี้โอเคไหม?”

สินสงครามไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป! เวลานี้นายน้อยฉงคิดแค่ว่าต้องอัพเลเวลให้ได้เท่านั้น!

เขาพบว่าแม้ตนจะมีเงินมหาศาล แต่ในโลกวิญญาณมันไม่มีค่าอะไรเลย

อันที่จริงก่อนเข้าสู่โลกวิญญาณในครั้งนี้ หวังฉงใช้เงินไปแล้ว 70 – 80 ล้านหยวน นำไปซื้ออุปกรณ์ดีๆมาสวมใส่

และหนึ่งในอุปกรณ์ที่แพงที่สุดคือเสื้อสีขาวคุณภาพดีเยี่ยม แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของนายน้อยฉงก็คือ ตอนออกจากโลกวิญญาณครั้งก่อนเขาไม่ได้กลับมายังเซฟโซน ครั้งนี้พอเข้ามาเลยถูกมอนสเตอร์ตบตาย

และผลลัพธ์ก็คือ เสื้อกับรองเท้าหล่นหาย! แต้มวิญญาณที่พยายามสะสมแทบตายก็หายไปเช่นกัน

ตอนนี้เจ้าตัวเลยยังติดอยู่ที่เลเวล 1 และขาดแต้มวิญญาณอีกถึง 38 แต้ม!

เมื่อรวมกับเงินที่ใช้จ้างคนอื่นพาเก็บเลเวลกับที่ใช้ซื้ออุปกรณ์ ทั้งหมดนายน้อยฉงจ่ายไปแล้วกว่า 100 ล้านหยวน!

แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับสูญเปล่า!

อย่างไรก็ตาม ความประมาทครั้งนี้ทำให้เขาคิดได้เช่นกัน ว่าหากอยากรักษาอุปกรณ์ดีๆเอาไว้ มีแต่ต้องแข็งแกร่งเท่านั้น!

เพราะงั้นครั้งนี้ต่อให้เขาไม่ได้รับสินสงครามก็ช่างประไร ขอแค่ได้รับแต้มวิญญาณมาก็พอ!

แล้วอีกอย่าง หวังฉงคิดว่าทีมสี่คนของฮังอวี่ไม่น่าดรอปอุปกรณ์จากมอนสเตอร์ได้มากมายอะไรขนาดนั้น เขาเลยตัดสินใจบอกว่าไม่ขอรับไว้

สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการอัพเลเวลและเพิ่มพลังรบ ตราบใดที่เลเวลอัพ แค่ใช้เงินในโลกจริงซื้ออุปกรณ์มาใส่มันก็จบแล้วไม่ใช่หรอ?

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนครั้งนี้หวังฉงจะคำนวณพลาดไป

เพราะถ้าฮังอวี่ต้องการสมาชิกทีมเพิ่มจริงๆ มีหรือที่ว่างจะตกมาถึงเขา?

ไอ้เรื่องใช้เงินเพื่อจ้างคนน่ะ เหล่าจ้าวเองก็ทำเหมือนกัน!

ตอนนี้จ้าวหมิงชักชวนคนมมากมายในค่ายมารวมกลุ่มกับเขา และหลายคนในนั้นอยู่ในเลเวล 2 ประสิทธิภาพการต่อสู้ค่อนข้างสูง

ถ้าอยากได้สมาชิกเพิ่ม ฮังอวี่บอกจ้าวหมิงให้เอาพวกเขาเข้าร่วมทีมไม่ดีกว่าหรือ?   แถมทำแบบนั้นยังเป็นการช่วยฝึกฝนลูกน้องของจ้าวหมิงไปในตัวด้วย มองมุมไหนก็มีแต่ประโยช์เห็นๆ

อย่างไรก็ตาม ฮังอวี่ไม่เอ่ยถาม และจ้าวหมิงก็ไม่เอ่ยปากขอ

นั่นเพราะเขารู้ดีว่าฮังอวี่จะไม่เห็นด้วย เนื่องจากเมื่อสมาชิกในทีมเยอะขึ้น แต้มวิญญาณและของดรอปที่แต่ละคนได้รับจะยิ่งลดน้อยลง

ดังนั้นต่อให้หวังฉงไม่เอาสินสงครามก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมทีม

แล้วอีกอย่าง ฮังอวี่ไม่ขาดเงินในตอนนี้ แต้มวิญญาณมีความสำคัญกว่ามาก

“ขอโทษด้วย นายน้อยฉง ทีมเราไม่รับคนเพิ่ม นายควรไปหาทีมอื่นดีกว่า”

“รอก่อน!” หวังฉงตะโกนอีกครั้ง

ในโลกจริงเขามีหรือเขาจะถูกปฏิบัติเช่นนี้?

แม้ในหัวใจจะหดหู่ แต่เมื่อคิดอาศัยใต้ชายคาบ้านคนอื่น เขาไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหัว!

ฮังอวี่เริ่มมีน้ำโห

จะให้รออะไรอีก ทำแบบนี้มันเสียเวลาฉัน!

เชื่อไหมว่าถ้ายังช้าอีกนาทีเดียวฉันจะเชือดแก!

หวังฉงเห็นฮังอวี่แสดงท่าทีไม่พอใจ รีบอธิบายทันที “นายกำลังหาซื้อหินสกิลตาเหยี่ยวอยู่ถูกไหม? ฉันสามารถหามันมาให้นายได้นะ”

ฮังอวี่ตกใจแต่ก็สงสัยในเวลาเดียวกัน “จริงหรือ?”

เขาไม่ได้ถามหวังฉงว่าทำไมถึงรู้เรื่องนี้

ครั้งก่อนฮังอวี่ฝากจ้าวหมิงให้ช่วยกระจายข่าว การที่หวังฉงทราบข้อมูลนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

“จริงแท้แน่นอน ในโลกจริงฉันอยู่ที่เมืองหัวเฉิง ตอนนั้นเดินทางไปคัดนางแบบ … แต่อย่าพูดถึงมันเลย ในหัวเฉิงมีผู้อาวุโสคนหนึ่งทุ่มลงทุนอย่างหนักไปกับทรัพย์สินจากโลกวิญญาณ เขาคือประธานชูหยิงแห่งเหิงไท่ พวกนายน่าจะรู้จักเขาใช่ไหม? ชูหยิงรับซื้อหินสกิลมาสองก้อนในราคาสูง และหนึ่งในนั้นคือหินสกิลตาเหยี่ยวที่นายกำลังตามหา!”

“ประธานชูเป็นคนแบบไหน พวกนายน่าจะรู้ดี นอกจากฉัน ไม่มีคนอื่นในค่ายนี้สามารถเข้าพบเขา มีแค่ฉันที่จะช่วยนายได้!” หวังฉงกล่าวต่อ “ตราบใดที่นายพาฉันไปอัพเลเวล ฉันจะพยายามโน้มน้าวเขาสุดความสามารถ ให้เขายอมขายหินสกิลให้นาย ทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยค้ำประกัน!”

เจ้าหมอนี่คงไม่ได้โกหกกันหรอกนะใช่ไหม?

ไม่น่าหรอก ตราบใดที่หวังฉงไม่ใช่คนโง่เง่า เขาไม่น่าโกหกฉัน

เพราะตอนนี้ถึงแม้ในค่ายก็อบลินจะมีคนอยู่ราวๆหลักพัน แต่การหาตัวใครซักคนไม่น่ายากขนาดนั้น หากหวังฉงทำให้ฮังอวี่ขุ่นเคือง แล้วเขาตัดสินใจไล่ฆ่าจริงๆ หวังฉงไม่มีทางหนีพ้น!

ต่อให้พ่อของหวังฉงคือหวังต้าหลิน หรือต่อให้มีประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกามายืนอยู่หน้า ฮังอวี่ก้ไม่มีทางไว้หน้าพวกเขา … อย่างน้อยก็ในค่ายแห่งนี้

ฮังอวี่มีสกิล ‘ขว้างอาวุธ’ และ ‘ล่องหน’ แล้ว  หากเขาได้รับ ‘ตาเหยี่ยว’ มาอีกอัน ก็จะสามารถรับสืบทอดมรดก ‘นักสอดแนม’ ได้อย่างเป็นทางการ เอฟเฟกต์สกิลและพลังรบของเขาจะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น

ฮังอวี่ไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วถามว่า “สกิลพรสวรรค์กับอาชีพของนายคืออะไร?”

ได้การ!

เริ่มมีหวังแล้ว!

หวังฉงรีบอธิบายความสามารถของเขาทันที

เขาบอกว่าตัวเองคือผู้ใช้วิญญาณ สกิลพรสวรรค์คือ ‘กรงเฮอริเคน’ เอฟเฟกต์ของสกิลนี้คือการสร้างกรง ขังมอนสเตอร์เอาไว้ข้างในนั้น

ยิ่งเลเวล , พลังวิญญาณ และพลังโจมตีเวทย์สูงเท่าไหร่  กรงเฮอริเคนก็จะยิ่งทรงพลังเท่านั้น

นี่คือสกิลประเภทกักขังมอนสเตอร์

ไม่เลว  น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง

ฮังอวี่หันไปมองอีกสามคนที่เหลือ คล้ายต้องการถามการยอมรับจากพวกเขา

จางเสี่ยวเฉียงรีบกล่าวประจบทันที “โดยส่วนตัวแล้วฉันยินดีต้อนรับนายน้อยฉง ฉันอยากทำความรู้จักนายน้อยฉงมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสซักที!”

จ้าวหมิงรู้ว่าสกิลตาเหยี่ยวมีความสำคัญกับฮังอวี่มาก ในเมื่อทัศนคติของฮังอวี่ผ่อนคลายลงแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก

ส่วนเจียงหนาน แม้เธอไม่ค่อยชอบหวังฉงเท่าไหร่นัก แต่เธอเชื่อฟังฮังอวี่ “ในเมื่อนายน้อยฉงไม่ต้องการสินสงคราม … งั้นให้เข้าร่วมทีมก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

ฮังอวี่หันมาพูดกับหวังฉง “ตกลง นายเข้าร่วมทีมกับพวกเราได้ แต่ต้องรักษาสัญญา ช่วยฉันตามหาหินสกิลตาเหยี่ยว นอกจากนี้ ระหว่างที่นายอยู่ในทีม จะไม่ได้รับสินสงคราม และลดอัตราการแจกจ่ายแต้มวิญญาณลง น้อยกว่าคนอื่นๆครึ่งหนึ่ง สุดท้าย นายต้องจ่าย 1 ล่านหยวนต่อ 1 แต้มวิญญาณที่เพิ่มขึ้น รับได้ไหม?”

เงื่อนไขทั้งหมดค่อนข้างโหดเหี้ยม ไอ้เรื่องหาหินสกิลตาเหยี่ยวมาให้น่ะไม่มีปัญหา

แต่ต้องจ่าย 1 ล้านหยวนสำหรับ 1 แต้มวิญญาณ? นี่ออกจะหน้าเลือดไปหน่อยไหม?

เงิน 1 ล้านหยวน หากเป็นในช่วงที่ยังสงบสุข มันคือเงินก้อนใหญ่สำหรับคนธรรมดา บางครอบครัวแม้ในจินตนาการยังไม่กล้านึกถึง!

ราคานี้แพงเกินไป เพราะสุดท้ายแม้หวังฉงสามารถร่วมทีม แต่เขาไม่ได้รับส่วนแบ่งสินสงครามใดๆ

มันเหมือนกับโดนเอาเปรียบซ้ำซ้อน อย่างไรก็ตาม หวังฉงกัดฟันยอมรับแม้ไม่เต็มใจ ตอนนี้จะเสียเปรียบแค่ไหน ตราบใดที่มันสามารถช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เขาก็ยินดีทุ่มเงินไม่อั้น!

ฮังอวี่เอ่ยเสริม “นายน้อยฉงกำลังคิดว่าเสียเปรียบโคตรๆเลยใช่ไหม? แต่วางใจเถอะ ครั้งนี้ฉันรับประกันว่านายจะไปถึงเลเวล 2 ได้แน่นอน ถ้าทำไม่ได้ พวกเราไม่ขอรับเงินแม้แต่หยวน”

“จริงๆหรอ?” หวังฉงใจชื้นขึ้นมาก “ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา แค่แต้มวิญญาณละล้านใช่ไหม? ฉันจ่ายให้ได้!”

ในที่สุดหวังฉงก็สามารถเข้าร่วมทีมได้ตามปรารถนา

ฮังอวี่ทำสัญญาแต้มวิญญาณกับทั้งสี่

การทำสัญญาแบ่งแต้มวิญญาณสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ มันมีฟังก์ชั่นช่วยปรับสัดส่วนการกระจายแต้มวิญญาณแก่สมาชิกร่วมทีมได้

ฮังอวี่ จ้าวหมิง จางเสี่ยวเฉียง และเจียงหนานมีอัตราส่วนกระจายแต้มเท่ากัน ส่วนนายน้อยฉงได้เพียงครึ่งหนึ่งจากทั้งสี่คน

แต่เนื่องจากฮังอวี่รับประกันว่าหวังฉงสสามารถอัพเลเวล 2 ได้แน่ๆ เขาจึงตัดสินใจยอมรับเงื่อนไขนี้

อย่างไรก็ตาม ลึกๆในใจเขาเกิดความสงสัย ว่าตนที่ขาดแต้มวิญญาณอีกกว่า 38 แต้ม  ภายใต้การจัดสรรแต้มวิญญาณน้อยกว่าคนอื่นครึ่งหนึ่ง จะสามารถขึ้นเป็นเลเวล 2 ได้จริงๆน่ะหรือ?

เรื่องนี้จะทำได้จริงๆ?

ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่เลย อ๊าาา!

แต่ช่างมันเถอะ ยังไงซะ แค่เข้าร่วมทีมได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว!