2/2

 

Ep.243 – ตกหลุมพรางบอสฮัง

 

ภูติมายาเสี่ยวไป๋ , มนุษย์ปลาชาลู่ และลิซ …. สิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณต่างตบเท้าเข้าสู่โลกมนุษ์!

 

มันพึ่งผ่านมานานแค่ไหนเอง

 

แต่เจียงเฉิงกลับเป็นถึงขนาดนี้แล้ว!

 

ทั่วโลกมีสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณข้ามมิติเข้ามากี่ตนแล้วกันแน่!?

 

แต่ในบรรดาพวกมัน คงมีทั้งแบบเสี่ยวไป๋ที่บังเอิญเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจ หรือพวกที่วางแผนรุกรานอย่าชาลู่ ไม่ก็พวกที่พยายามผสมผสานเข้ากับมนุษย์อย่างลิซ

 

ซึ่งการที่ลิซหนีไปได้

 

แน่นอนนั่นไม่ใช่เรื่องดี

 

มันอาจนำปัญหาใหญ่ตามมา

 

อย่างไรก็ตาม ฮังอวี่ไม่หวั่นกลัวการแก้แค้น

 

เขาอยู่บ้านกับนักสู้ที่แข็งแกร่งอย่างเสี่ยวไป๋ มีต้นไม้วิญญาณสองต้นเป็นบอดี้การ์ดและสุนัขที่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้า หากลิซมีความกล้ากลับมาแก้แค้น ก็ปล่อยให้มันเข้ามาเถอะ!

 

ฮังอวี่กังวลเรื่องสถานที่อื่นมากกว่า

 

จะเกิดอะไรขึ้นหากลิซโจมตีร้านของอ้วนต้าไห่?

 

จะเกิดอะไรขึ้นหากลิซโจมตีร้านโพชั่นมังกรฟ้า?

 

แน่นอน เรื่องแบนนี้อาจเกิดขึ้นแต่ยังไม่ในทันที เพราะท้ายที่สุดแล้วลิซเองก็มาจากโลกวิญญาณ

 

มันไม่สามารถสืบเสาะข้อมูลของฮังอวี่ได้ในทันที รอให้ฮังอวี่กลับไปโลกวิญญาณในวันพรุ่งนี้และเตรียมการบางอย่างก่อน เขาสัญญาว่าจะกลับมาเก็บกวาดเจ้าหมอนี่แน่นอน!

 

แล้วอีกอย่าง หวังเอ๋อจดจำกลิ่นอายของมันได้แล้ว

 

หากยังอยู่ในเจียงเฉิง มอนสเตอร์ลิซอย่าหวังเลยว่าจะหนีพ้น

 

“อันตรายจริงๆ ฉันไม่นึกเลยว่าในสมาคมโลกวิญญาณจะมีสายลับจากโลกวิญญาณหลุดเข้ามา” ซูเจิ้งเฉิงไม่เคยเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้จึงรู้สึกกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ฉันจะกลับไปบอกคนอื่นๆทันที แล้วรีบระดมคนเพื่อค้นหา ‘หวงจื่อหมิง’ !”

 

ซูเจิ้งเฉิงยังไม่ตาย

 

คนอื่นๆก็ต้องไม่ตายเช่นกัน

 

อัตลักษณ์มนุษย์ของมอนสเตอร์ลิซไม่อาจถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป

 

โดยรวมแล้ว ผลลัพธ์นี้ก็ไม่เลวร้าย หวงหยุนหลงถูกฆ่าสำเร็จ และสถานะของลิซถูกเปิดโปง

 

ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของซูเจิ้งเฉิงได้หายไปแล้ว และลูกสาวเขาได้พบกับผู้สนับสนุนรายใหญ่ ดังนั้นในที่สุดเขาค่อยมีเวลาให้ถอนหายใจโล่งอกได้เสียที

 

ฮังอวี่ผู้นี้ไม่เพียงมีศักยภาพในการพัฒนาอันน่าทึ่ง แต่เขายังมีพลังรบสูง ด้วยความคุ้มครองของบุคคลเช่นนี้ ซูเจิ้งเฉิงเชื่อว่าในอนาคตลูกสาวเขาจะปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้นในโลกอันแสนวุ่นวายนี้

 

ด้วยพลังรบของฮังอวี่

 

ด้วยความสามารถของซูหยุนปิง

 

ทั้งสองจะช่วยเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี

 

โอกาสในอนาคตไร้ขีดจำกัด ฮ๊าาาาาา!

 

เอาจริงๆ เหตุการณ์นี้เป็นประโยชน์ต่อฮังอวี่เช่นกัน แม้ลิซคืออันตรายที่ซ่อนเร้น แต่เพราะเจ้าหมอนี่ ทำให้อาจารย์ซูเข้าร่วมกับเขาเร็วกว่าที่คาดไว้มาก และนั่นส่งผลต่อนัยสำคัญอย่างใหญ่หลวง

 

“อาจารย์ซูเป็นยังไงบ้าง?”

 

หลินหลานกับเฉารุ่ยวิ่งออกมา แต่หากสังเกตดีๆจะพบว่าทั้งคู่ตัวสั่นเทา

 

เพราะลิซที่อยู่ในสถานะของหวงจื่อหมิงนั้นทรงพลังเหลือเกิน

 

ซูหยุนปิงยืนข้างฮังอวี่ เธอพยักหน้าเล็กน้อยให้กับทั้งสอง “พวกเธอพาตาแก่กลับไปก่อน ฉันจะพักที่บ้านฮังอวี่ซักพัก ”

 

ซูหยุนปิงขอพักที่บ้านของฮังอวี่?

 

คำนี้ย่อมทำให้ผู้คนจินตนาการไปไกล

 

ซูหยุนปิงกระแอม กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ทีมพึ่งรวมเข้าด้วยกัน มีรายละเอียดมากมายต้องปรับปรุง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจัดการชาลู่ ฉันจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกซักพัก …. นักศึกษาฮังคิดว่ายังไง?”

 

ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ

 

“ไม่มีปัญหา”

 

“ผมมีห้องว่างเยอะแยะ”

 

“อาจารย์เลือกหนึ่งในนั้นได้ตามสบาย”

 

ซูเจิ้งเฉิงเหลือบมองลูกสาว ก่อนสลับไปมองฮังอวี่ เขาผุดยิ้มขึ้นมา อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก

 

“ดูท่าฉันคงแก่แล้วจริงๆ” เขาเดินมาหาฮังอวี่ “เสี่ยวฮัง ตั้งแต่นี้ไป ฉันหวังว่าเธอจะดูแลลูกสาวของฉันให้ดี”

 

ฮังอวี่พยักหน้าอย่างไม่เก้อเขินเอินอาย “นั่นคือสิ่งที่ผมควรทำ”

 

“ตาแก่ พูดมากไปแล้ว รีบกลับซักทีเถอะ!” ซูหยุนปิงเหลือบมองซูเจิ้งเฉิง “นี่ก็ดึกแล้ว ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับฮังอวี่ ”

 

ลูกสาวโตจนเข้าวัยต่อต้านพ่อเสียแล้ว อาาาา!

 

ซูเจิ้งเฉิงมองฮังอวี่ด้วยสายตาให้กำลังใจ

 

หลินหลาน เฉารุ่ยพาเขาจากไปพร้อมกับมีฮัสกี้ไปส่ง

 

ฮังอวี่กลัวว่าลิซจะลอบกลับมาฆ่าทั้งสาม ดังนั้นขอให้หวังเอ๋อส่งร่างแยกไปคุ้มกัน

 

หลังจากเก็บกวาดพื้นที่

 

ฮังอวี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

 

“เชี่ยเถอะ!”

 

“สวนพืชวิญญาณของฉัน”

 

“เจ้าลิซตัวนี้ต้องตาย!”

 

ฮังอวี่ตรวจสอบและนับความสูญเสียที่เกิดขึ้น

 

สมุนไพรล้ำค่า 20 – 30 ชนิดได้รับความเสียหายจากการต่อสู้

 

สมุนไพรที่เสียหายเหล่านี้นำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้อีก มันกลายเป็นของราคาถูกและสุดท้ายคงถูกส่งเข้าท้องสุนัข

 

ฮังอวี่พาอาจารย์ซูเข้าไปในห้อง

 

ทั้งสองนั่งลง ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

 

ซูหยุนปิงนึกขึ้นได้อีกคำถามนึงในเวลานี้

 

“ตอนนี้พลังรบและอำนาจทำลายล้างของผู้คนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ง่ายๆอาจสร้างความเสียหายต่อสถานที่ใกล้เคียง ฉันคิดว่านี่คืออันตรายอย่างใหญ่หลวงที่หลายคนมองข้าม”

 

“ร้านโพชั่นกับบาร์ของพวกเรายังไม่มีมาตรการป้องกันสำหรับเรื่องนี้ ในกรณีที่มีคนอาละวาดและปลดปล่อยสกิลออกมา เกรงว่ามันจะสร้างความเสียหายมากมาย”

 

“ฉันคิดว่าพวกเราควรเตรียมการล่วงหน้า”

 

ฮังอวี่เอ่ยถาม “พูดแบบนี้แสดงว่าอาจารย์ซูมีทางแก้แล้ว?”

 

ซูหยุนปิงนั่งหลังตรงดูสง่างาม ขาคู่ยาวไขว้กันเป็นภาพที่น่าพึงพอใจ เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่เต็มไปด้วยเส่นห์ของผู้หญิง

 

“จากข้อมูลที่มี”

 

“ตอนอยู่กับสมาคมโลกวิญญาณฉันได้ยินว่าสกายเน็ตมีนักก่อสร้างอยู่”

 

“นักก่อสร้างเป็นอาชีพหนึ่งในสายผลิต พวกเขาสามารถใช้พิมพ์เขียวเพื่อสร้างอาคารที่มีฟังก์ชั่นพิเศษเช่นเดียวกันการสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ ว่ากันว่ามีใครบางในในสกายเน็ตเชี่ยวชาญในการสร้างค่ายกลต้องห้ามแล้ว”

 

“ฉันคิดว่าจะลองติดต่อกับพวกเขาและจ่ายเงินเพื่อขอให้พวกเขาสร้างค่ายกลในร้านอาหาร ร้านโพชั่น และบาร์ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาตราบใดที่เลเวลของพวกเขาไม่เกินระดับของค่ายกลมนต์ต้องห้าม พวกเขาจะไม่สามารถใช้สกิลได้”

 

“นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นต้องร่ายมนต์และเสริมพลังให้กับพวกสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญ ไม่ก็ใช้วัสดุจากโลกวิญญาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพวกมันใหม่ ฉันขอแนะนำให้จัดตั้งทีมรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะบนถนนมังกรฟ้า พวกเขาจะได้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว”

 

“ … ”

 

บลา บลา บลา

 

ซูหยุนปิงพูดน้ำไหลไฟดับ

 

แต่ยิ่งฮังอวี่ได้ฟังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกพอใจมากเท่านั้น แม้เธอพึ่งเข้าร่วม แต่ก็เริ่มมีบทบาทแล้ว

 

ทั้งซูหยุนปิงและหวังเอ๋อสามารถเป็นผู้จัดการได้

 

อย่างไรก็ตาม สไตล์ของทั้งสองแตกต่างกัน ขุนศึกฮัสกี้ของเขาไม่ละเอียดอ่อน ขณะที่อาจารย์ซูพิถีพิถันมาก หากทั้งคู่ร่วมมือ ชดเชยข้อด้อยของกันและกัน สมาคมมังกรฟ้าย่อมเติบอย่างก้าวกระโดด!

 

มีผู้จัดการเป็นหนึ่งคนหนึ่งสุนัข นี่ช่วยแบ่งเบาความกังวลของเขาได้เยอะ

 

ฮังอวี่สามารถนั่งในสถานะเถ้าแก่ได้อย่างสบายใจ

 

รับผิดชอบเฉพาะการควบคุมทิศทางโดยคร่าวๆเท่านั้น

 

ทั้งสองเปิดอกคุยกัยาวตลอดทั้งคืน

 

ความกังวลในหัวใจของซูหยุนปิงคล้ายถูกปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิง

 

สิ่งที่เธอวิตกมากที่สุดก็คือ หลังจากเข้าร่วมแล้ว เธอจะถูกฮังอวี่กลืนกินและกลบรัศมีไป

 

แต่เมื่อได้สนทนา เธอกลับพบว่า ฮังอวี่ไม่เพียงตั้งใจที่จะนำซูหยุนปิงมาใช้งานอย่างเต็มที่ แต่ยังปล่อยให้เธอมีอิสระ มอบอำนาจมหาศาลในการควบคุมสมาคมแก่เธอ

 

นี่คือสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด

 

หากรากฐานของสมาคมมังกรฟ้ายินดีปฏิบัติตามเธอ

 

ซูหยุนปิงมั่นใจมากว่าจะสามารถพามันเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

 

เธอต้องการสิทธิ์

 

และฮังอวี่ให้สิทธิ์นั้นแก่เธอ

 

การได้รับสิทธิ์นี้

 

ทำให้ฮังอวี่ได้รับการยอมรับจากเธอเช่นกัน

 

ซูหยุนปิงยอมรับว่าค่อนข้างพอใจและรู้สึกประทับใจเล็กน้อย

 

กลับกลายเป็นว่าฮังอวี่ไม่กังวลจริงๆว่าอิทธิพลของเธอจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและสุดท้ายตัวเองถูกเขี่ยทิ้งไป

 

เรื่องประมาณนี้คือสิ่งที่ผู้นำในทุกยุคทุกสมัยวิตกกังวล จักรพรรดิไม่กล้ามอบอิทธิพลมากเกินไปแก่ขุนนาง นักธุรกิจชั้นนำไม่กล้ามอบหน้าที่สำคัญมากเกินไปแก่ลูกน้อง นักการเมืองไม่กล้ามอบอำนาจมากเกินไป แก่ประชาชน

 

สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นอยู่เสมอ

 

แต่ฮังอวี่ไม่กังวลในเรื่องนี้

 

มีสามเหตุผลหลัก

 

ข้อแรก ยุคสมัยมันต่างกัน

 

ประสบการณ์ในสมัยเก่าก่อนไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงกับสถานการณ์ปัจจุบันได้

 

อนาคตนับจากนี้จะไม่เหมือนเดิม

 

ยุคต่อไปคือยุคของผู้แข็งแกร่ง!

 

ด้วยพลังรบของคนๆเดียวสามารถสร้างความห่างชั้นชนิดโค่นล้มทั้งกองกำลังใหญ่ลงก็ยังเป็นไปได้

 

ดังนั้นการมีพลังรบแข็งแกร่งมันถือเป็นการรับประกันที่ดีกว่า

 

ข้อสอง เขายังมีหวังเอ๋ออยู่ไม่ใช่หรอ?

 

ฮังอวี่ไม่ได้เลินเล่อ แต่เพราะเขามีตัวถ่วงดุลอยู่

 

แม้ซูหยุนปิงจะขึ้นเป็น CEO แต่สถานะของเธอยังด้อยกว่าหวังเอ๋อเล็กน้อย

 

หวังเอ๋อยังคงเป็นผู้นำหลัก ความสามารถในการแยกร่างอันทรงพลังของมันมากพอที่จะทำงานหลายอย่างด้วยตัวเอง บวกกับการประมวลผลอันทรงพลังของสมอง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูง ดังนั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรมาก

 

ข้อสาม ฮังอวี่เชื่อในตัวอาจารย์ซู และเชื่อในตัวเองเช่นกัน

 

เขาเชื่อว่าซูหยุนปิงคนนี้แม้มีความทะเยอทะยาน มีพลังรบ และเพียบพร้อมในทุกๆด้าน แต่ขณะเดียวกันยังคงเชื่อถือได้

 

นอกจากนี้ เขาเชื่อในความคิดของตัวเอง

 

ว่าอาจารย์ซูเป็นคนฉลาด

 

ในไม่ช้าเธอจะพบว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการติดตามตนเองนั้นไม่ใช่แค่เท่ากับที่เธอคาดหวัง แต่จะนำมาซึ่งเซอร์ไพรส์อีกมากมายให้เธอคาดไม่ถึง

 

ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในอำนาจ

 

หรือการเติบโตด้านพลังรบของบุคคล

 

ฮังอวี่มั่นใจว่าสามารถสร้างหลุมพรางให้เธอตกลงไปและไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้อีก

 

หากกระทั่งอาจารย์ซูยังพิชิตไม่ได้ แล้วความหวังที่จะพิชิตโลกวิญญาณของฮังอวี่จะเป็นจริงได้อย่างไร?