1/4

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.167 – เผาไร่

โชคยังดีที่ฉินเฟิงผ่านอะไรมามาก ไหนจะครอบครองพลังสมาธิที่ทรงประสิทธิภาพ หลังจากอุดหูด้วยกำลังภายใน อารมณ์เดือดพล่านในร่างกายของเขาก็ค่อยๆุถดถอยลง แล้วจมสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

ตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ ในค่ำคืนนั้น เสียงกระเส่าช่างปลุกเร้าอารมณ์ ชวนให้จินตนาการเลยเถิดไปไกล!

เช้าวันต่อมา ฉินเฟิงออกมารวมตัวกับกลุ่มนักเรียนจากสถาบันเฉิงเป่ยอีกครั้ง เขาพบว่าใต้ตาของหลายคนปรากฏรอยดำคล้ำ เส้นเลือดแตกระแหงไปทั่วลูกตาขาว คล้ายคนอดหลับอดนอน

“เมื่อคืนหลับไม่สบายงั้นหรอ?” ฉินเฟิงหันไปถามเพื่อนๆของเขา

สำหรับโจวฮ่าว แม้จะปรากฏรอยคล้ำใต้ตา แต่เขากลับดูกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก

“เปล่า ตอนนี้บอกตามตรงว่าฉันรู้สึกดี ดีมากสุดๆไปเลย!”

มุมปากของจางเทียนกระตุก ในสมองเกิดความคิด ‘จะไม่รู้สึกดีได้ยังไง เมื่อวานไอ้บ้าที่ไหนกันที่ลากตัวเขา พาเอาหูไปแนบผนัง แอบฟังห้องอื่นเกือบทั้งคืน?’

โจวฮ่าวขยิบตา เขาต้องการแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้ยินมาเมื่อวานแก่ฉินเฟิง ดังที่กล่าวกันว่าชายชาตรีมักหยิบยื่นไมตรีให้แก่กัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉินเฟิง และมองไปทางไป๋หลีที่อยู่ข้างๆ โจวฮ่าวก็อดรู้สึกเศร้าเสียดายไม่ได้

“นายมันเป็นผู้ชนะในชีวิตจริงโดยแท้ เข้าใจความรู้สึกทุกข์ทรมานของหมาป่าเดียวดายบ้างไหม เมื่อคืนคงนอนหลับสบายเลยล่ะสิ!”

แม้ที่อีกฝ่ายกล่าวจะไม่ผิดก็จริง แต่เมื่อคืนฉินเฟิงไม่ได้ทำอะไรเลย

“ไอ้เสียงพวกนั้น ต่อให้ไม่ใช้พลังสมาธิก็ยังได้ยิน ฉันเลือกใช้กำลังภายในบดบังการได้ยินเลยหลับสบาย แต่นายคงตรงกันข้าม นายน่าจะใช้กำลังภายในเร่งเร้าประสาทการได้ยินตลอดทั้งคืนซะมากกว่า!” ฉินเฟิงแซวโจวฮ่าว

ลู่เหมิงกับจ้าวหยูมองโจวฮ่าวเป็นสายตาเดียว ในสายตาส่อประกายดูแคลน

“อะแฮ่ม ฉินเฟิงนายอย่าเผาฉันซี่!” โจวฮ่าวกระซิบ “ช่วยไว้หน้าฉันหน่อย! หลังจากนี้ฉันยังต้องออกไปดื่มด่ำกับสาวๆ ช่วยกันสู้อยู่นะ!”

ฉินเฟิงหัวเราะตัวงอและกล่าว “เออๆ งั้นจบเรื่องกันแค่นี้ ไปกินข้าวแล้วเตรียมออกสู้กันดีกว่า”

เหล่าชายฉกรรจ์อดใจไม่สนทนาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งหมดนั่งลง หยิบอาหารอัดแท่งขึ้นมากัดกิน

แต่ท่าทีของทุกคนดูคล้ายกับว่าไม่ได้กระหายอาหารเลย

【ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!】

อุปกรณ์สื่อสารของทุกคนดังขึ้น ฉินเฟิงก้มหน้าลง และพบว่าเป็นภารกิจทีมถูกส่งมา แต่ละภารกิจกระจายกันออกไป มีตำแหน่งที่แน่นอนของตัวเอง สามารถเลือกรับได้ตามความสมัครใจ

ภารกิจดังกล่าวมักจะออกในทุกๆเช้า และหลังจากกวาดล้างตำแหน่งที่ภารกิจกำหนดแล้ว ก็ต้องโรยต่อด้วยผงขับไล่สัตว์ร้าย เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเข้ามารุกรานอีก

นี่ต้องอาศัยการประสานงานอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ยังทำให้การกู้คืนเมืองหานเป็นระบบระเบียบมากขึ้น แต่ข้อเสียที่เด่นชัดเลยก็คือ ในกรณีที่โรยผงสัตว์ร้ายไม่ดี แล้วมีแมลงสัตว์ร้ายวกกลับมารุกราน ดักขวางเส้นทางเก่า นั่นอาจหมายถึงคนที่รับภารกิจนี้ มีโอกาสตายได้

แน่นอน ทุกตำแหน่งภารกิจอย่างน้อยจะถูกจัดให้มีอย่างน้อย 2 – 3 ทีมร่วมเดินทางไป เผื่อกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

ฉินเฟิงยกมือขึ้นและคลิกลงตรงปฏิเสธ

เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเขา มันไม่จำเป็นต้องทำภารกิจร่วมกับใคร

แต่ทางฝั่งโจวฮ่าวกับคนอื่นๆ ทั้งหมดเริ่มหารือกัน และในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าร่วมหนึ่งในภารกิจดังกล่าว

จากนั้น แผนที่การกระจายตัวของแมลงสัตว์ร้ายในเมืองหานของวันนี้ก็ได้รับการอัปเดต ซึ่งช่วงเช้า ถือว่าเป็นช่วงที่ข้อมูลมีความถูกต้องมากที่สุด

【ข้อมูลล่าสุด ทางทิศตะวันออกและทิศใต้ของเมืองหาน บนถนนหมายเลข 55 – 58 ได้รับการกวาดล้างเสร็จสิ้นแล้ว ทีมอื่นที่ยังไม่เข้าร่วมภารกิจนี้ โปรดหลีกเลี่ยงและไปทำการกวาดล้างในตำแหน่งอื่น】

“ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

ฉินเฟิงโยนอาหารแท่งคำสุดท้ายเข้าปาก ปัดๆมือตบเศษของมันออก และผุดยืนขึ้น

“เออ ระมัดระวังตัวด้วยแล้วกัน” โจวฮ่าวโบกมือร่ำลา เฝ้ารอคำสั่งส่งถึงทีมของเขา

“พวกนายเองก็เหมือนกัน ถ้าเจออันตรายอะไร ขอให้รีบโทรหาฉันทันที เข้าใจไหม?”

“ได้เลย ไม่มีปัญหา!” โจวฮ่าวพยักหน้า

ฉินเฟิงเรียกม้าศึกออกมา อุ้มไป๋หลีขึ้นไปนั่งหน้า

ม้าศึกยกสองขาหน้าขึ้นสูง เริ่มควบวิ่งออกไป เพียงไม่กี่ฝีเท้าก็ออกมาถึงนอกสถานชุมชนชั่วคราว

ระหว่างทาง

“อี๋ ทำไมถึงเหม็นแบบนี้!” ไป๋หลีย่นจมูก มองไปยังรถขนาดใหญ่หลายคันที่บรรทุกถุงส่งกลิ่นเหม็นฉุน

“อ๊ะจริงสิ เธอรอแปปนึงนะ” ฉินเฟิงที่หันมองตาม ก่อนจะลงจากหลังม้า เขาเดินไปที่หน้ารถ

“ฉันขอรับผงขับไล่สัตว์ร้าย 20 ถุง” ฉินเฟิงกล่าวพลางชี้ไปทางไป๋หลี ว่าเขาและเธอมาด้วยกัน

คนเฝ้าเสบียงกวาดตาสำรวจฉินเฟิง แต่พอได้เห็นโลโก้เลเวล F บนหน้าอก เขาก็เริ่มขมวดคิ้ว

“แต่ไปกันแค่ 2 คนใช่ไหม? นั่นมันไม่มากเกินไปหน่อยหรอ?” ชายคนนั้นเอ่ยถาม

“ไม่มากเลย เพราะเมื่อวานพวกเรากวาดล้างไปได้มากกว่าตั้ง 10 ถนน” ฉินเฟิงอธิบายถึงภารกิจเมื่อวาน

ชายคนนั้นมองมาทางฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ

สุดท้ายก็เอ่ยปาก “ตกลง และถ้าหมด คุณสามารถกลับมาหยิบมันเพิ่มได้”

จากนั้น ฉินเฟิงก็ใส่ผงขับไล่สัตว์ร้าย 20 ถุง ลงในอุปกรณ์รูนมิติ

ผงขับไล่สัตว์ร้ายเหล่านี้ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ มันส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสาทรับกลิ่นของแมลงสัตว์ร้าย ทว่าหากมันโกรธจนคลั่งหรือได้รับคำสั่งมา ก็อาจเกิดกรณีย่ำฝ่าผงขับไล่ได้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผงขับไล่ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆต่อพวกมัน เพียงแต่ว่าส่งกลิ่นฉุนที่พวกแมลงไม่ชอบก็เท่านั้นเอง

ไม่ต้องกล่าวถึงแมลง กระทั่งมนุษย์ยังไม่ชอบกลิ่นมันเลย ดังนั้นไป๋หลีที่มีประสาทรับกลิ่นที่แข็งแกร่งมาก เลยยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่

โชคยังดี ที่พอเก็บใส่อุปกรณ์รูนมิติแล้ว มันไม่ส่งกลิ่นออกมา

ฉินเฟิงนำไป๋หลีมุ่งหน้าสู่พื้นที่ภายนอกทางเข้าสู่ประตูทางทิศเหนือ

คราวนี้ มันแตกต่างจากเส้นทางก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เพราะประตูทางทิศเหนือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด มันคือตำแหน่งที่เชื่อมต่อกับพื้นที่เพาะปลูกเมืองหาน

แต่พืชพันธ์ในไร่ กระทั่ง 1 / 10 ของประชากรเมืองหานก็ยังไม่พอปลูกกินให้อิ่มท้อง ดังนั้นทุกๆปีพวกเขาเลยจำเป็นต้องซื้อสินค้าจากฟูเฉิง นี่เองคือสาเหตุที่ทำให้เมืองหานไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้

เพราะเมืองของพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาตนเอง และไม่มีกระแสเงินไหลเข้าผ่านทางการค้า นับวัน มันเลยมีแต่แย่ลง และแย่ลง

การปรากฏตัวของไป๋หลีและฉินเฟิง ดึงดูดความสนใจของเพชฌฆาตที่ซ่อนตัวอยู่ในไร่ทันที

ในเสี้ยวพริบตา ร่างเงาสีเขียวเหลืองก็โฉบเข้าหาฉินเฟิงและไป๋หลี วาดสะบัดเคียวแหลมมือ เล็งใส่กลางลำคอทั้งสอง

“ลำแสงเปลวเพลิง!”

เปรี้ยง!

ลำแสงเปลวเพลิงปะทุออก ระเบิดสังหารแมลงสัตว์ร้ายที่กระโจนเข้ามา ตัวตนของเพชฌฆาตถูกเผยโฉม–

—เป็นตั๊กแตนใบมีด!

ปัจจุบัน ในตำแหน่งนี้ ได้กลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ล่าที่ดีที่สุดสำหรับพวกมันไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง บริเวณพื้นที่เพาะปลูกจึงกลายเป็นเขตอันตราย ผู้ใช้พลังไม่มีใครอยากรับภารกิจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เผ่าตั๊กแตนใบมีดในตอนนี้ มันพัฒนาการ เติบใหญ่จนครอบครองสถานะถึงเลเวล F

เมล็ดข้าวตอนนี้กลับกลายเป็นอาหารแมลงไปหมดแล้ว ไร่นายิ่งแย่ลงเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ฝนห่าใหญ่มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เมื่อมันตกลงมา และอาหารไม่ได้รับการดูแล น้ำเลยท่วมต้นข้าวที่ยังหลงเหลือทั้งหมดของพื้นที่เพาะปลูก

“ในเมื่อยังไงก็เก็บมากินไม่ได้อยู่แล้ว งั้นเผามันทั้งไร่เลยก็แล้วกัน!”

เมื่อเอ่ยมันออกมา ฉินเฟิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เริ่มปลดปล่อยพรมโลกันต์ทันที

เพลิงโลกันต์วิ่งไปตามซากพืชที่เสียหาย แผดเผามันอย่างเกรี้ยวกราด

ไม่นาน เปลวเพลิงกองใหญ่ก็พวยพุ่ง ควันดำทะมึนลอยขึ้นฟ้า เนื่องจากการกระทำนี้สะดุดตาเกินไป โดรนตรวจตราหลายลำจึงบินเข้ามาเพื่อเก็บภาพ

ภายในกองบัญชาการ

ผู้บัญชาการสูงสุด มือปืนเลเวล E3 ยืนอยู่ที่นั่น

เขาคือผู้บัญชาการของหนึ่งในหน่วยรักษาการณ์ภายนอกของเมืองฟูเฉิง มีชื่อเรียกว่า ‘ชิหลง’

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในภารกิจกู้คืนเมืองหานในครั้งนี้ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ เขามักจะคอยสอดส่อง ควบคุมดูแลสนามรบ

เพราะรอยแยกมิติในครั้งนี้แม้จะทรงพลัง แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นส่งผลกระทบมากจนเกินไป กล่าวได้ว่าหากมิได้ลงมือด้วยตนเองก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ราชันย์อัศวินสามารถแพร่เชื้อ ปล่อยโรคระบาดได้

ดังนั้น หากเขาคิดว่ามันถึงจุดที่ไม่อาจกู้คืนเมื่อไหร่ เมืองหานทั้งหมดอาจถูกทิ้งร้างได้ทันที

ด้วยเหตุนี้เอง เลเวล E เพียงคนเดียวในภารกิจนี้อย่างชิหลง จึงไม่สนใจการออกไปสู้ด้วยตนเอง

และยังมีอีกคนหนึ่ง ที่ได้กลายเป็นผู้บัญชาการภารกิจนี้ เขาคือเทศมนตรีของเมืองหาน ชิเทียนไห่

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” ชิหลงสั่งระดมโดรน บินไปจับภาพทางตอนเหนือของเมืองหาน

ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง ตั๊กแตนใบมีดนับไม่ถ้วนพยายามหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง แต่ในไม่ช้ามันก็ถูกแผดเผาลงด้วยเปลวเพลิง

ปัจจุบันฉินเฟิงไม่ได้ลงมือมากมายอะไร

เขาเพียงนำไป๋หลีขึ้นขี่ม้าศึก เดินฝ่าไร่นาโดยทั้งๆที่เปลวไฟยังไม่มอดดับลง ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาสังหารตั๊กแตนใบมีดไปกี่ตัวแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้นับ เพราะที่นี่มีพวกมันอยู่เยอะมากเกินไป

ไม่นานเกินรอ ตั๊กแตนใบมีดที่ทนไฟได้ ครอบครองสถานะนายพลสัตว์ร้าย และมีเลเวลอย่างน้อย F8 ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา!