โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.147 – ได้ที่หนึ่ง

 

แต่ช่างน่าสงสาร เพราะนักเรียนระดับสูงที่กำลังร้องโวยวาย ปัจจุบันล้วนตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช

 

ว่ากันตามตรง ผลลัพธ์ของงานสวนล่าใบไม้ผลิปีนี้เองก็น่ากังขาจริงๆนั่นแหละ เพราะทีมอัจฉริยะเหล่านี้มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าจะคว้าชัยชนะ แต่น่าแปลกที่พวกเขาทั้งหมดดันถูกกำจัดลงอย่างกระทันหัน

 

ในขณะที่หากอิงตามปีก่อนๆ นักเรียนส่วนมากที่ถูกกำจัด ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ค่อยโดดเด่น

 

แต่แน่นอน ว่าต่อให้เป็นเรื่องร้ายแรงกว่านี้ อย่างเช่นทีมของนักเรียนทั้งสถาบันถูกทำลายลง พวกครูและอาจารย์ใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแทรกแซงอยู่ดี

 

ทว่าเมื่อปรากฏกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่ กระเรียนก็ย่อมตกเป็นเป้าเป็นธรรมดา

 

“เกิดอะไรขึ้น?” อาจารย์ใหญ่ฉูคุนแห่งสถาบันระดับสูงเมืองเฉิงหยางก้าวออกมา เอ่ยถามเสียงหม่น ก่อนจะรับฟังเรื่องร้องเรียนจากทางสถาบันต่างๆ

 

ชายผู้นี้ คือชายชราในตอนแรกที่กล่าวกฏและเปิดพิธีงานสวนล่าใบไม้ผลิ และเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล E9

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ … อาจารย์ใหญ่เติ้ง พวกเราควรได้รับคำอธิบาย!”

 

“นักเรียนของพวกเราได้รับบาดเจ็บโดยกำลังภายใน นักเรียนคนนี้ ตกลงแล้วเขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณหรือผู้ใช้อบิลิตี้กันแน่!”

 

คนอื่นๆที่ตั้งคำถาม เมื่อเห็นฉากที่ตัวตนเลเวล E สองคนกำลังปะทะคารมกันก็แทบลืมหายใจ

 

นอกจากนี้ท่ามกลางฝูงชน ยังมีคนบางคนที่เริ่มชักไม่แน่ใจ ว่าคิดถูกแล้วจริงๆหรือไม่ที่ร้องเรียนออกไป

 

อย่างไรก็ตาม เติ้งเหนียงกลับไม่แสดงออกถึงความโกรธเคืองใดๆเลยแม้แต่น้อย เพราะในสมองของเขา มัวแต่จดจ่ออยู่กับฉินเฟิง ที่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาได้มากมาย ไหนจะสามารถกำจัดเหล่าต้นกล้าชั้นยอดจากสถาบันอื่นได้อีก ตอนนี้คงไม่ต้องบรรยายว่าเขามีความสุขขนาดไหน

 

“นี่ฉันต้องรับผิดชอบเรื่องที่มีนักเรียนเก่งเกินไปงั้นหรือ? เรื่องเป็นรุ่นพี่ปลอมตัวมาตัดไปได้เลย เพราะเขาเป็นคนที่ได้รับการฉีดยากระตุ้นในปีนี้แน่นอน และคุณคงเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนเช่นกัน” เติ้งเหนียนหัวเราะ “เด็กคนนี้คือฉินเฟิง!”

 

“เธอคือฉินเฟิงงั้นหรอ?” ฉูคุนขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จากนั้นก็เพ่งมองฉินเฟิงด้วยความสนใจ “งั้นเธอก็คือผู้ว่าการคนใหม่ประจำสถานชุมชนเฟิงหลี?”

 

ไม่นานมานี้ มีตัวตนทรงพลังในเลเวล E หลายคนของเมืองเฉิงหยาง พยายามสยบรอยแยกมิติแห่งใหม่ที่เกิดขึ้น เร่งทำคะแนนเพื่อหมายจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าสถานชุมชนแห่งใหม่ แต่ทั้งหมดไม่คาดคิดเลย ว่าสุดท้ายจะถูกปล้นไปโดยวัยรุ่นชายคนหนึ่ง

 

ไม่เพียงแค่นั้น แต่ผลงานการต่อสู้อีกฝ่ายยังเป็นเลิศ สามารถสังหารซากศพในระดับเดียวกันได้โดยลำพัง ครอบครองความแข็งแกร่งที่เฉิดฉาย จนได้รับความสนใจจากพวกระดับสูง

 

ทั้งหมดได้ข้อสรุปว่า ฉินเฟิงในตอนนั้นน่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F แล้ว และอีกไม่นาน ในอนาคตอันใกล้ คงสามารถทะยานขึ้นมาได้ถึงเลเวล E ดังนั้นเรื่องที่เขาสามารถโค่นนักเรียนคนอื่นๆได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

ฉินเฟิงได้ยินฉูคุนกล่าวกับตนเอง ก็เอ่ยปากตอบ

 

“เป็นผมเอง ยินดีที่ได้รู้จักอาจารย์ใหญ่ฉู” ฉินเฟิงมิได้แสดงท่าทีถ่อมตนใดๆ หากเป็นก่อนหน้านี้คงใช่ เพราะยังเป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงสถานชุมชนเฟิงหลี ดังนั้นเขาเลยสนทนาด้วยในฐานะของหัวหน้าของสถานชุมชน

 

“ที่แท้ก็เป็นเธอ แต่ว่านะ ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องที่ว่าเธอเป็นผู้ใช้อบิลิตี้มาก่อนเลย” ฉูคุนกล่าว สายตาที่ตกลงบนป้ายชื่อขอบทองปรากฏร่องรอยของความสงสัย

 

ฉินเฟิงแข็งแกร่งกว่าในข่าวลือ ดังนั้นฉูคุนเลยต้องการจะตรวจสอบไพ่ในมือของอีกฝ่าย

 

ฉินเฟิงกล่าว “ด้านอบิลิตี้ของผมมันไม่คุ้มค่าจะให้กล่าวถึงหรอกครับ ผลการทดสอบผมก็ทำออกมาได้ไม่ดีเหมือนกัน ดันโจมตีสัตว์ร้ายยางด้วยพลังวรยุทธโบราณ ดังนั้นครูฝึกเลยตัดสินคะแนนให้ผมอยู่ลำดับที่ 21 ”

 

หลินเหมาและคนอื่นๆจ้องมองฉินเฟิงด้วยความเกลียดชังจากด้านข้าง โพล่งขึ้นด้วยความโกรธ

 

“แกโกหก! ไม่คุ้มค่าให้กล่าวถึงได้ยังไง! อบิลิตี้ของแกทรงพลังชนิดต่อต้านสวรรค์! พลังไฟที่แกปลดปล่อยออกมา สามารถโค่นพวกเราลงได้กว่า 20 คนในคราวเดียว! ไอ้คนขี้โกงหน้าไม่อาย!”

 

โจวฮ่าวที่ยืนอยู่ข้างๆหัวเราะออกมา

 

“ถึงแกจะกำลังพูดความจริง แต่ฉันรู้สึกว่า … ยิ่งพูดมันจะยิ่งเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองนะ ฉะนั้นหุบปากเงียบไปดีกว่า”

 

ใบหน้าของหลินเหมากลายเป็นแดงก่ำ

 

นั่นก็จริง ยิ่งพูดเหมือนยิ่งป่าวประกาศว่าฉินเฟิงทรงพลังเพียงใด ในขณะเดียวกันก็เป็นการประกาศว่าตนก็แค่หมูที่ถูกเชือด!

 

ใบหน้าของอาจารย์ใหญ่สถาบันซิต๋าเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ เร่งเอ่ยแทรก

 

“ลืมมันซะ! เดิมการจัดอันดับของนักเรียน เหตุผลก็เพื่อเป็นตัวเลือกให้นักเรียนแต่ละคนได้สมาชิกทีมที่ดีเท่านั้น ถึงฉินเฟิงจะอยู่ลำดับที่ 21 แต่เธอก็ไม่ควรประมาทศัตรู เพราะการเคารพศัตรู นั่นหมายถึงการเคารพชีวิตของตัวเธอเองเหมือนกัน!”

 

สิ้นประโยค อาจารย์ใหญ่ซิต๋าก็สะบัดหน้าหนีไป ฉูคุนก็ไม่คิดทำอะไรอีก ยินยอมปล่อยผ่าน ให้เรื่องมันจบลงเพียงเท่านี้!

 

ต่อมา ก็ถึงเวลานับจำนวนป้ายชื่อ หรือก็คือคะแนนรวม

 

และย่อมเป็นทีมของฉินเฟิงที่ชนะขาดลอย คว้าอันดับหนึ่งไปครอบครอง

 

“ทีมที่ได้รับสิบอันดับแรกในงานสวนล่าใบไม้ผลิ จะได้รับตราสัญลักษณ์ โลโก้ผู้ใช้พลังเลเวล G ไปครอบครองในทันที!”

 

“ทีมอันดับหนึ่ง จะได้รับอุปกรณ์รูนสีม่วงเลเวล G , มีสิทธิ์เลือกทักษะวรยุทธโบราณ , ทักษะผู้ใช้อบิลิตี้ ,ทักษะการฝึกพลังสมาธิ หรือทักษะการใช้ปืน และทุนการศึกษาอีก 100,000 เหรียญ!”

 

“อันดับสองและสาม จะได้รับอุปกรณ์รูนสีฟ้าเลเวล G , มีสิทธิ์เลือกทักษะวรยุทธโบราณ , ทักษะผู้ใช้อบิลิตี้ ,ทักษะการฝึกพลังสมาธิ หรือทักษะการใช้ปืน และทุนการศึกษาอีก 50,000 เหรียญ!”

 

“อันดับสี่ถึงสิบ จะได้รับรางวัลเป็นชุดต่อสู้ T3 มีสิทธิ์เลือกทักษะวรยุทธโบราณ , ทักษะผู้ใช้อบิลิตี้ ,ทักษะการฝึกพลังสมาธิ หรือทักษะการใช้ปืน และทุนการศึกษาอีก 10,000 เหรียญ!”

 

พิธีมอบรางวัลยังคงดำเนินต่อไป ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องยินดี คนที่ไม่ได้รับรางวัลก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด เพราะช่วงอยู่ในสวนล่า พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวสมุนไพรและวัตถุดิบต่างๆมาได้มากมาย ซึ่งบางทีมันอาจจะมีมูลค่ามากกว่ารางวัลด้วยซ้ำ

 

ระหว่างที่ครูฝึกกำลังเดินแจกอุปกรณ์สื่อสารคืน ฉินเฟิงตัดสินใจเดินไปหาอาจารย์คลาสมือปืน และบอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ของเฉินหมิง

 

“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง ผมแค่หวังว่าอาจารย์จะมอบอุปกรณ์สื่อสารของเฉินหมิงให้กับผม”

 

อาจารย์ที่เขาสนทนาด้วยเป็นแค่มือปืนเลเวล F เขาจ้องมองไปยังใบหน้าของฉินเฟิงที่ดูสงบนิ่ง ไม่แสดงออกถึงห้วงอารมณ์ใดๆ ทว่ากลิ่นอายความแข็งแกร่งยังคงแผ่ออกมา ประจวบกับประสิทธิภาพที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ และสถานะอย่างผู้ว่าการเขตเฟิงหลี อาจารย์คลาสปืนจึงไม่อาจทำเป็นเพิกเฉยได้

 

“นี่ … ก็ได้ ฉันจะให้อุปกรณ์สื่อสารของเขาแก่เธอ แต่เธอต้องบอกเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่เติ้งเหนียนด้วยนะ เพราะปัญหาอย่างมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นี่ยังไม่พูดถึง … ” หน้าผากของอาจารย์คลาสปืนเริ่มปรากฏรอยเหี่ยวย่นจากความตึงเครียด “ไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับรองผู้ว่าการหลิน!”

 

หลังจากหลินไคตาย ศพก็ถูกแยกออกมาจากสวนล่า เรื่องนั้นอาจารย์รู้ตั้งนานแล้ว ขณะนี้ในสมองของเขา วนอยู่กับความคิดเดียว นั่นคืออีกไม่นาน คงไม่พ้นมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น!

 

“ครับ ผมจะไปบอกเรื่องนี้กับอาจารย์เติ้งเหนียน” ฉินเฟิงพยักหน้า

 

….

 

การต่อสู้เอาชีวิตรอดได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งหมดไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มเป็นเวลากว่า 3 วัน บางคนได้รับบาดเจ็บ ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ยังตัดสินใจกลับไปยังสถานชุมชนของตัวเองทันที

รางวัลของสิบอันดับแรก สามารถเลือกผ่านได้จากอุปกรณ์สื่อสาร ฉินเฟิงเลือกอุปกรณ์รูนสีม่วงเป็นรองเท้าบูท และมอบมันให้แก่โจวฮ่าว เนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องใช้มัน

 

แต่กระนั้น พอได้เห็นทักษะประเภทต่างๆ สายตาของฉินเฟิงก็สาดประกายวาววับ สุดท้ายตัดสินใจจิ้มลงบนรายชื่อที่เขียนว่าทักษะลับ ‘ท่าร่างก้าวแห่งหมอก’

 

“ท่าร่างก้าวแห่งหมอก ได้รับการปรุบปรุงดัดแปลงโดยคนรุ่นหลัง เป็นท่าร่างที่ทรงพลังดั่งการเคลื่อนไหวของภูติผีและปีศาจ ชวนให้ศัตรูรู้สึกสับสน”

 

“ยิ่งถ้านำไปใช้ร่วมกับทักษะมีด และหลอมรวมเข้ากับรูนมืดแล้วล่ะก็ …. ฤทธิ์เดชที่มันจะสำแดงออกมา คงไม่ต้องอธิบายหรอกกระมัง?”

 

“ก้าวแห่งหมอกเหมาะที่จะใช้คู่กับรูนมืด และอบิลิตี้มืดของฉัน ทั้งยังสามารถนำมันไปดัดแปลงและใช้เป็นประโยชน์ได้อีกมากมาย”

 

“ตัดสินใจแล้ว ฉันเลือกมัน!”

 

หลังจากฉินเฟิงพิจารณาจนมั่นใจแล้ว เขาก็กดรับทักษะนี้โดยตรง ระหว่างนั้นเอง เขาก็เจอกับเติ้งเหนียนเข้าพอดี

 

“ฉินเฟิง ครั้งนี้ฉันต้องขอบคุณเธอนะ” เติ้งเหนียนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เวลานี้จิตใจเขาปลอดโปร่ง มีความสุขเป็นอย่างยิ่งที่สถาบันเฉิงเป่ยมีฉินเฟิง และสามารถโค่นสถาบันอีก 4 แห่งลงได้

 

“เรื่องเล็กน้อยน่ะครับ แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องบางอย่าง อยากรบกวนอาจารย์ใหญ่ครับ” พูดจบ ฉินเฟิงก็บอกเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับเฉินหมิงออกไป ว่าเขาฆ่าหลินไค รวมถึงเรื่องที่ในเวลานั้นมีคนอื่นอยู่เช่นกัน ทุกคนต่างเห็นมันได้อย่างชัดเจน

 

อย่างไรก็ตาม เฉินหมิงได้จบชีวิตลงแล้วด้วยน้ำมือฉินเฟิง ดังนั้นฉินเฟิงเกรงว่าหลินเซิงคงหันมาคิดบัญชีกับเขาแทน

 

แม้ไม่มีเรื่องนี้ หลินเซิงก็เกลียดเขาอยู่แล้ว ยิ่งพอมีเรื่องนี้ เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะเกลียดเขามากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า!

 

เติ้งเหนียนพอได้ยินเรื่องของเฉินหมิง สีหน้าของเขาก็หม่นทะมึนลง