โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.146 – เบาะแสองค์กร Z

 

ทั้งหมดที่ว่ามา ในมุมมองของเฉินหมิง มันก็แค่การแสดงละครใช่หรือไม่?

 

ในช่วงวัยเด็ก เดิมทีฉินเฟิงรู้สึกว่ามิตรภาพของพวกเขาจะคงอยู่ตลอดไป แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเขาเพียงฝ่ายเดียวที่คิดไปเอง!

 

ในหัวใจของฉินเฟิงกลายเป็นด้านชา

 

ทว่าสีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย เพราะคำพูดหลังจากนี้ต่างหาก คือสิ่งที่เขาต้องการจะเอ่ยถามจริงๆ!

 

“ในเมื่อนายได้รับความสามารถนี้มาแล้ว ทำไมถึงต้องยอมติดตามหลินไคอีก?”

 

เฉินหมิงทราบดีว่าตนกำลังจะตาย ปากแสยะยิ้มเย็นชาและกล่าว “ทำไมฉันต้องบอกแกด้วย! ยิ่งแกอยากรู้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งปิดปากไม่ยอมบอกแกมากเท่านั้น”

 

ฉินเฟิงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างน่าฉงน ปากเอ่ยกล่าว “สมควรจะเป็นแบบนั้น แต่บางทีนะ … บางทีถ้าได้ยินเรื่องนี้ นายอาจจะอยากบอกฉันก็ได้ มันคือเรื่องที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของฉันระหว่างออกสำรวจ ก็เหมือนอย่างที่คนชอบพูดกันไง ว่าความอยากรู้มักจะฆ่าผู้คน”

 

เฉินหมิงไม่เข้าใจ

 

ฉินเฟิงกล่าวต่อ “ในเมื่อนายมีข้อมูลติดต่อกับคนระดับสูงขององค์กร ก็หมายความว่า … เขาส่งนายมาที่นี่เพื่อสอดแนมรองผู้ว่าการหลินใช่ไหม? เป็นเพราะห้องทดลองถูกทำลาย พวกเขาเลยคิดว่าเป็นหลินเซิงที่ขโมยข้อมูล … หรือไม่ก็วัตถุดิบบางอย่างไป?”

 

ดวงตาที่แทบจะปิดสนิทของเฉินหมิงกระตุกวูบ มันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองไปทางฉินเฟิง

 

“แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”

 

ฉินเฟิงยิ้ม ด้วยการแสดงออกของเฉินหมิงในปัจจุบัน ฉินเฟิงนับว่าเดาได้ถูกทางแล้ว!

 

“ก็เพราะว่า ไอ้ห้องทดลองบัดซบนั่นน่ะ … เป็นฉันเองที่ถล่มมัน!” ฉินเฟิงโน้มตัวลงใกล้ๆหูเฉินหมิง ห่อหุ้มเสียงด้วยกำลังภายใน ปล่อยให้เฉินหมิงได้ยินประโยคนี้เพียงผู้เดียว

 

เฉินหมิงนิ่งงัน จมลงสู่ความเงียบ ก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมา

 

“ฮะ … ฮ่า … ฮ่าฮ่า .. อั๊ก!” เฉินหมิงกระอักเลือดคำโต

 

เขาไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้!

 

หลังจากถูกตัดขาโดยฉินเฟิง ในหัวใจของเฉินหมิงก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาทราบว่าคนเหล่านั้นคิดจับตัวคนไปทดลองบางอย่างจากความต้องการของหลินไค

 

นี่เองคือเหตุผลที่เฉินหมิงเลือกก้าวเข้าสู่ประตูบานนี้ และเกิดความคิดริเริ่มทดลองกับร่างกายตัวเอง หลังจากเสริมแกร่งแล้ว เขาก็ถูกพวกระดับสูงส่งตัวมาเพื่อสอดแนมหลินไค ดูว่าอีกฝ่ายมีข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองของพวกเขาหรือไม่ จะได้ชิงมันกลับคืน

 

แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าการคาดเดาของเฉินหมิงจะพลาดตั้งแต่แรก!

 

คนที่ทำลายห้องทดลอง ไม่ใช่หลินเซิง–

 

–แต่เป็นฉินเฟิง!

 

“ฉินเฟิง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกเห็นอะไรไปมากแค่ไหน หรือทำไมแกถึงรู้เรื่องพวกนี้ แต่นี่แกถึงขั้นทำลายห้องทดลอง เพียงเพราะพวกเราไปโจมตีเพื่อนร่วมชั้นอย่างงั้นหรอ?” เฉินหมิงถาม

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ตอบอีกฝ่ายตามตรง

 

ว่าเพราะตั้งแต่เกิดใหม่ หากไม่ทำลายมัน ภาพของห้องทดลองคงลอยเน่าอยู่ในจิตสำนึกและชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาไปตลอดกาล!

 

“ก็ทำนองนั้น ประมาณว่าพอฉันรู้ความลับหนึ่ง ฉันก็อยากจะรู้เกี่ยวกับมันมากยิ่งขึ้น ว่าแต่นายเริ่มสนใจธุระของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แล้วคนระดับสูงที่นายว่าคือใคร? ไม่อยากจะบอกให้ฉันรู้หน่อยหรอ?”

 

“หึหึ ถ้านายเจอเขา นายจะฆ่าเขารึไง?” เฉินหมิงเย้ยหยันคำหนึ่ง

 

“ใช่! ฉันจะทำ” ฉินเฟิงกล่าวเฉียบขาด

 

วินาทีนั้นเฉินหมิงรู้สึกเหมือนกับว่าฉินเฟิงไม่ได้โกหก

 

เฉินหมิงเหม่อมองออกไปข้างหน้า

 

มีคนมากมายกล่าวกันว่า คนที่กำลังจะตาย มักจะพูดเรื่องที่จะเกิดประโยชน์ดีๆออกไป

 

แต่เฉินหมิงไม่ใช่

 

เฉินหมิงเหม่อมองออกไป ในสมองขบคิดว่าฉินเฟิงสามารถมอบความตายให้แก่ตนได้ แต่หากเลือกถลำลึก เฟ้นหาความลับขององค์กร ตามหาคนระดับสูง นั่นจะเป็นการโยนตนเองเข้ากองไฟ แส่หาที่ตายด้วยตัวเอง

 

“เขาชื่อว่า ‘เหลียงกัน’ บนอุปกรณ์สื่อสารของฉัน มีเบอร์ติดต่อของเขาอยู่” เฉินหมิงหัวเราะขึ้นทันใด “แต่บอกไว้ก่อนนะฉินเฟิง ว่าถ้าแกตามหาเขา แกจะไม่รอดกลับมา!”

 

เพราะความแข็งแกร่งของเหลียงกันอยู่ในเลเวล E ไหนจะครอบครองยีนที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถช่วยส่งเสริมกำลังรบได้อย่างมหาศาล

 

ซึ่งความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินเฟิง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับอีกฝ่าย

 

เฉินหมิงหัวเราะจนวินาทีสุดท้าย ก่อนหมดลมหายใจไปในที่สุด

 

ฉินเฟิงมองไปยังใบหน้าที่ท่วมไปด้วยความเกลียดชังแต่ขณะเดียวกันก็สะใจของอีกฝ่าย เขาปลดปล่อยเปลวเพลิงแผดเผาใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั่น

 

เฝ้ามองร่างของเฉินหมิงที่ลุกไหม้ แม้ต่อมาจะปรากฏช่องว่างมิติขึ้นกลืนกินเฉินหมิงเข้าไป แต่พอออกไปภายนอก มันก็จะเหลือเพียงเถ้าถ่านเท่านั้น

 

เนื่องจากเดิมพันในเรื่องนี้สูงมากเกินไป ดังนั้นมันจะดีกว่าหากไม่มีใครเห็นรูปลักษณ์ของเฉินหมิงในสภาพกลายพันธุ์

 

ฉินเฟิงผุดลุกขึ้น และพบว่าบนพื้นดินไร้ซึ่งร่องรอยใดๆอีกต่อไป

 

อีกสามคนที่เหลือ กำลังมองมาทางฉินเฟิง

 

“เก็บกวาดสนามรบ” ฉินเฟิงกล่าว

 

“อา .. ” โจวฮ่าวพยักหน้า

 

บรรยากาศกลายเป็นเงียบงันไปเล็กน้อย ทางด้านจ้าวหยู แม้จะกำลังหวาดกลัว แต่เพียงคิดก็ตระหนักได้ว่ามีความลับอันดำมืดซ่อนอยู่ในฉากเมื่อครู่ ยังไงก็ตาม เธอไม่กล้าถามออกไป

 

“อาการบาดเจ็บของนายเป็นยังไงบ้าง?” ฉินเฟิงหันมาคุยกับจางเทียน

 

“ปลอดภัยดี แต่มันจะดีกว่านี้ถ้ารีบรักษาทันที!” จางเทียนพยักหน้า บนไหล่เขามีลูกศรปักคาอยู่ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากหน้าไม้

 

ไม่ต้องแปลกใจไป บางครั้งผู้ใช้พลังก็มักจะใช้อาวุธเย็นประเภทนี้เหมือนกัน ตอนแรกๆฉินเฟิงเองก็ใช้ และขอบอกว่ามันน่าหวาดกลัวกว่าปืนจริงๆซะอีก

 

“ขอโทษนะ ทั้งหมดเป็นเพราะฉันเองที่ไร้ประโยชน์” ใบหน้าของจ้าวหยูเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

 

จางเทียนได้รับบาดเจ็บก็เพราะปกป้องจ้าวหยูที่กำลังหลบหนี มิฉะนั้นมีหรือด้วยฝีมือของจางเทียนจะหลบลูกศรหรือปัดมันไม่พ้น

 

ฝีมือปฐมพยาบาลของฉินเฟิงก็ไม่เลวเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีอีกมือของจางเทียนที่ยังพอขยับได้ เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน การรักษาบาดแผลก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว

 

จางเทียนใช้กำลังภายในควบคุมลมหายใจของเขา เพื่อฟื้นฟูตัวเอง

 

ระหว่างนั้นโจวฮ่าวกับจ้าวหยูก็ทยอยเก็บของที่ยึดมาได้

 

ในเวลานี้ ต้องขอบอกว่า สินสงครามที่ได้รับ ทำให้พวกเขารวยเละ!

 

เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ตัดสินใจหยุดอยู่ในรอบนอกตั้งแต่วันแรก แต่คนที่แข็งแกร่งได้เข้าสู่ภายในเพื่อแย่งชิงผลไม้สมาธิ เฉินหมิงเองก็สามารถมาถึงที่นี่ได้เช่นกัน เพราะนักเรียนข้างนอกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

 

ถ้าจะให้สรุปก็คือ เฉินหมิงพาหลินไคและคนอื่นๆกวาดล้างมาตลอดเส้นทาง และเก็บรวบรวมป้ายชื่อมาได้มากกว่า 300 แผ่น!

 

เมื่อบวกกับอีก 400 แผ่นที่ฉินเฟิงได้รับ และ 200 แผ่นจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ทำให้ฉินเฟิงและทีมของเขาครอบครองป้ายชื่อมากกว่า 900 แผ่นอย่างกระทันหัน และต้องใช้กระเป๋ากว่า 5 ใบถึงจะยัดจนเต็ม!

 

ไหนจะสมุนไพรวิญญาณและผลไม้ต่างๆอีกราวๆ 5 – 6 กระเป๋า นับว่ามากมายเกินไปจริงๆ

 

“อีกไม่นาน งานสวนล่าใบไม้ผลิก็จะจบลงแล้ว พวกเราพักผ่อนตรงนี้กันก่อนเถอะ”

 

โดยสิ้นเชิงแล้ว มีมากกว่า 3,000 คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่เฉพาะพวกฉินเฟิงกลับครอบครองป้ายชื่อมากกว่า 900 แผ่น ดังนั้นพวกเขาสามารถคว้าอันดับ 1 มาได้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ไม่นานนัก ช่วงเวลาเที่ยงก็มาถึง สามวันสองคืนที่ต้องเอาชีวิตรอดในสวนล่า ในที่สุดก็จบลง …

 

เบื้องบนท้องฟ้า อุโมงค์สีเงินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น แต่รังสีแสงสีเงินที่สาดลงมา ได้โถมเข้าปกคลุมนักเรียนทุกคนที่ยังอยู่ในสวนล่าใบไม้ผลิ ทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยอักษรรูน และหายวับไปจากตำแหน่งเดิมของตน

 

สุดท้าย นักเรียนที่ผ่านการทดสอบสวนล่าใบไม้ผลิปีนี้ มีเพียง 300 คนเท่านั้น เรียกว่าเหลือแค่ 1 / 10

 

แต่เหตุของผลลัพธ์นี้ แท้จริงแล้วมี 2 ตัวแปรสำคัญที่เกี่ยวข้อง

 

หนึ่งคือในช่วงแรกเป็นเฉินหมิงที่เก็บกวาดนักเรียนปอดแหกในวงนอก ก่อนจะเข้ามาภายใน

 

สองคือฉินเฟิงได้ส่งไป๋หลีไปชิงผลไม้สมาธิเกือบทั้งหมด

 

ส่วนที่เหลือคงเป็นทีมที่โชคดี ไม่พบเจอกับทีมอื่นที่ทรงพลังในระหว่างทาง เลยอยู่รอดจนจบงานได้

 

สำหรับทีมชั้นนำของ 4 สถาบัน อันได้แก่ ฮุนหนาน , ซิต๋า , ตงหลิง และเฉิงหยาง ทั้งหมดล้วนถูกทำลายสิ้น

 

ดังนั้นหลังจากที่ฉินเฟิงกลับออกมา ก็สามารถสัมผัสได้ทันทีถึงสายตาแห่งความเกลียดชังที่ทิ่มแทงเข้ามา

 

และในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็ก้าวออกมาด้วยสีหน้าโกรธแค้น

 

“อาจารย์ใหญ่ครับ นั่นพวกเขาที่ผมได้รายงานไป พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเรามาก ผมสงสัยว่านักเรียนเขตเฉิงเป่ยจะโกง แอบใช้พวกรุ่นพี่มาลงแข่งขัน!” นักเรียนเครื่องแบบสีขาวขอบทองของเมืองเฉิงหยาง สาดสายตาโกรธเกรี้ยวมาทางฉินเฟิง

 

“ใช่แล้ว เป็นพวกเขา!”

 

“ยังไม่พอ มีคนนึงจงใจติดป้ายชื่อลำดับที่ 21 แสร้งทำตัวเป็นหางแถว หลอกพวกเราให้ตายใจ!”

 

“ทำกันแบบนี้ต้องถูกลงโทษ!”

 

ทุกคนเริ่มกล่าวหาฉินเฟิงและคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างสวมผ้าพันแผล ไม่ก็ติดปลาสเตอร์ เห็นได้ชัดว่าคือกลุ่มคนจากการรวมตัวกันของ 3 สถาบันที่ถูกทักษะลับกลืนดาราของฉินเฟิงอัดเอาก่อนหน้านี้