Ep.811

 

ฉีมู่อวี้เองก็ไม่อยากสาบานเช่นกัน แม้เธอไม่ถึงขั้นคิดแก้แค้นซูเฉิน แต่ก็รู้สึกว่าการกระทำของซูเฉินนั้นรังแกผู้คนมากเกินไป!

 

เห็นฉีมู่อวี้ไม่แม้ไม่เอ่ยปาก แต่สีหน้าแสดงชัดว่าไม่ยอมรับ ซูเฉินเบ้ปาก “ในเมื่อพวกแกไม่เห็นด้วย งั้นฉันจะยอมคืนสมบัติให้ก็ได้ แต่หลังจากนี้ก็เตรียมตัวตายได้เลย!”

 

“ถ้าฆ่าพวกเรา ไม่ใช่ว่าสมบัติเหล่านั้น สุดท้ายก็ตกเป็นของเจ้าอยู่ดีหรอกหรือ?”

 

สองพี่น้องไม่พอใจมาก แต่เมื่อเผชิญกับการข่มขู่ของซูเฉิน พวกเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ยินยอมสาบานต่อสวรรค์

 

“เรียบร้อย สาบานก็แล้ว สมบัติก็มอบให้แล้ว ทีนี้เจ้าจะปล่อยพวกเราไปได้รึยัง” ฉีมู่เสวี่ยสีหน้าบึ้งตึง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

หลังจากถูกซูเฉินรังแกมานาน ในหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความคับข้อง

 

“อย่าเพิ่งรีบซี่ ฉันยังมีเรื่องให้ช่วยอีกซักเล็กน้อย” ซูเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย

 

ยังไม่มหมดอีกหรือ?

 

สองพี่น้องตระกูลฉี สีหน้าของทั้งคู่หมองลง ในหัวใจเริ่มเกิดความกระอักกระอ่วน

 

“ฉันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรซะหน่อย ดูพวกแกสิ ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”

 

ซูเฉินหัวเราะร่วน จากนั้นกล่าวว่า “พวกแกต้องนำทางฉัน ถึงเมืองเยว่กวงเมื่อไหร่ เดี๋ยวจะเป็นอิสระเอง”

 

ที่แท้ก็เรื่องนำทางนี่เอง สองพี่น้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

หลังจากนั้น ซูเฉินเรียก [รถศึกอัจฉริยะ] ออกมา รอจนทุกคนขึ้นรถ เขาก็สั่งออกเดินทาง

 

ภายใต้การนำทางของฉีมู่เสวี่ย รถศึกมุ่งหน้าสู่เมืองเยว่กวง ระหว่างทาง จู่ๆฉีมู่อวี้ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ กล่าวกับซูเฉินว่า “เจ้าช่วยคืนอาวุธให้พวกเราได้ไหม?”

 

อาวุธของพวกเธอเป็นถึงสิ่งประดิษฐ์เทวะ หากสูญเสียไป ความสามารถในการต่อสู่จะตกต่ำลงเป็นอย่างมาก

 

ต่อให้พวกเธออยู่ในขั้น 10 แต่ภายในทวีปเผ่าเอลฟ์ ก็ยังมีโอกาสพลาดเช่นกัน

 

กระนั้น มูลค่าของสิ่งประดิษฐ์เทวะล้ำค่ามาก แล้วซูเฉินจะยอมคืนให้พวกเธอหรือ?

 

“มูลค่าของสิ่งประดิษฐ์เทวะนั้นชัดเจนในตัวมันเอง ถูกนำไปวางลงที่ไหน ก็ล้วนเป็นที่ต้องการ ถ้านำเข้างานประมูล น่ากลัวว่าราคาของมันออกพุ่งทะยานถึงสองเท่า”

 

ซูเฉินไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เอ่ยประโยคที่แฝงไปด้วยความหมายแทน

 

และความหมายที่จะสื่อออกไปนั้นชัดเจน คือถ้าพวกแกไม่จ่ายราคาที่เหมาะสม ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้สองสิ่งประดิษฐ์เทวะกลับไป

 

“อาวุธทั้งสองชิ้นเป็นของพวกเราชัดๆ แล้วเจ้ายังจะมารีดไถอะไรอีก?”

 

หน้าอกของฉีมู่เสวี่ยกระเพื่อมขึ้นลง ปอดของเธอแทบระเบิดเพราะความโกรธ

 

ซูเฉินเห็นได้ชัดว่าคิดจะกอบโกยผลประโยชน์จากพวกเธออีกแล้ว! ช่างไร้ยางอายซะเหลือเกิน!

 

“ที่ฉันทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลซะเมื่อไหร่”

 

ใบหน้าของซูเฉินหมองลง เริ่มขึ้นเสียงว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราเป็นศัตรูกัน และสิ่งประดิษฐ์เทวะสองชิ้นนั้นคือสินสงครามของฉัน แกกล้าดียังไงมาบอกว่าเป็นของตัวเอง! หรือตระกูลฉีทุกคนจะมีนิสัยโจร หน้าด้านหน้าทนเหมือนกันหมด?”

 

“เจ้า ..!”

 

ฉีมู่เสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าคำพูดของซูเฉินมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เธอก็ไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้ เกิดความรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

 

ฉีมู่อวี้เองก็รู้เช่นกัน ว่าการอธิบายเหตุผลแก่ซูเฉินนั้นไร้ประโยชน์ เอ่ยอย่างหมดหนทาง “เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร?”

 

“หินพลังงานขั้น 10 จำนวน 20 ก้อน” ซูเฉินกล่าวตามตรง

 

“ขอกันแบบนี้ ทำไมเจ้าไม่ฆ่าพวกเราซะเลยล่ะ!”

 

ฉีมู่เสวี่ยขมวดคิ้วจนจมูกบิดเบี้ยว

 

หินพลังงานขั้น 10 แค่ก้อนเดียวก็มีมูลค่ามหาศาล แต่ซูเฉินกลับเอ่ยปาก 20 ก้อน จะโหดร้ายเกินไปแล้ว!

 

“ถ้าไม่ให้ก็ช่างประไร งั้นฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” ซูเฉินกล่าวอย่างสบายๆ

 

หากอีกฝ่ายไม่ยอมตกลง อย่างมากพอไปถึงเมืองเยว่กวงก็โยนพวกมันเข้าประมูล

 

“ช้าก่อน ข้ายอมแล้ว”

 

ฉีมู่อวี้เปิดปากขึ้นอย่างกะทันหัน

 

ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเบนสายตาไปมองฉีมู่เสวี่ยต่อ กล่าวประชดประชันว่า “ดูสิ น้องสาวแกยังฉลาดเลือกเลย แล้วแกจะเอายังไง? จะยอมกรีดเลือดแล้วได้เนื้อกลับไป หรือยืนเฉยแล้วเสียผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไปเปล่าๆ”

 

ฉีมู่เสวี่ยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ โมโหแทบลมจับ

 

พอตำหนิฉีมู่เสวี่ยเสร็จ ซูเฉินก็หันไปหาฉีมู่อวี้ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อยอมตกลง งั้นก็เอาหินพลังงานมาได้แล้ว”

 

Ep.812

 

“ข้าไม่ได้พกพวกมันติดตัว แต่เจ้าสามารถไปทวงขอจากทางตระกูลฉีของพวกเราได้ ไม่งั้นก็รอให้ข้ามอบมันแก่เจ้าเมื่อเจอกันครั้งต่อไป”

 

เหตุผลที่เธอตอบตกลงเร็ว เป็นเพราะคิดว่าซูเฉินคงไม่มีทางกล้าบุกไปขอถึงตระกูลฉีอย่างแน่นอน ซึ่งในกรณีนี้เท่ากับไม่ต้องจ่ายหินพลังงาน

 

ซูเฉินหรี่ตาลง หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็กล่าวว่า “ให้ไปรับของที่ตระกูลฉีก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ตาม การเดินทางเกรงว่าจะยาวไกล ไม่ง่ายเลยที่จะไป ดังนั้น ราคาที่พวกแกต้องจ่าย จะเพิ่มเป็นสองเท่า”

 

หินพลังงานขั้น 10 จำนวนยี่สิบก้อน สองเท่าก็คือสี่สิบ ซึ่งเกินกว่ามูลค่าของสองสิ่งประดิษฐ์เทวะไปมากแล้ว

 

แต่ฉีมู่อวี้ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย กล่าวด้วยความสุข “ได้สิ”

 

เธอเชื่อว่าซูเฉินไม่มีปัญญาไปอย่างแน่นอน ฉะนั้นต่อให้ร้องขอเป็น 100 ก้อน ก็ยังยอมตกลง

 

ซูเฉินลอบหัวเราะในใจ ความคิดของฉีมู่อวี้ มีหรือเขาจะไม่รู้

 

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าฉีมู่อวี้ประเมินความสามารถของเขาต่ำไป การเลื่อนขั้นสู่ระดับเทวะ มันใช้เวลาไม่นานสำหรับเขา เมื่อไปเยือนตระกูลฉี ถึงตอนนั้นเกรงว่าระดับฐานฝึกตนของเขาจะทะยานไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

 

ถึงเวลานั้นหากตระกูลฉีกล้าไม่จ่ายหนี้ ซูเฉินก็ไม่รังเกียจที่จะถล่มป้อมปราการมิติให้ราบคาบ

 

“ในเมื่อเจ้าตกลง เช่นนั้นก็ส่งอาวุธคืนมาให้พวกเรา” ฉีมู่เสวี่ยกล่าวอย่างร้อนใจ

 

“จะรีบร้อนไปทำไม? ถึงเมืองเยว่กวงเมื่อไหร่ เดี๋ยวฉันคืนให้เอง” ซูเฉินแค่นเสียงเบาๆ ไม่ไว้หน้าฉีมู่เสวี่ยแม้แต่น้อย

 

ฉีมู่เสวี่ยรู้ตัวว่ามิอาจต่อล้อต่อเถียงชนะซูเฉิน เลยได้แต่หุบปากเงียบ

 

ซูเฉินคร้านจะใส่ใจ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้คนขับ หลับตาพักผ่อน

 

 

[รถศึกอัจฉริยะ] เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน จวบจนเวลาเที่ยงตรงของวันถัดมา จู่ๆนกสำรวจก็ร้องเตือนขึ้น

 

“เจ้านาย! ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายกำลังใกล้เข้ามาหาพวกเรา!”

 

อันตรายงั้นหรอ?

 

ซูเฉินค่อยๆลืมตาขึ้น เขาเคยเห็นความสามารถในการคาดการณ์อันตรายของนกสำรวจด้วยตาตัวเองมาแล้ว หากนกสำรวจเอ่ยเช่นนั้น แสดงว่าอันตรายกำลังมาเยือนจริงๆ

 

“เสี่ยวจือ สแกนดูรอบๆที” ซูเฉินสั่ง

 

“เจ้านาย ตรวจพบพวกต่างเผ่าสองตนกำลังตรงเข้ามาทางพวกเราด้วยความเร็วสูง” [รถศึกอัจฉริยะ] ตอบทันที ส่งภาพขึ้นบนหน้าจอควบคุมส่วนกลาง

 

ซูเฉินหรี่ตาแล้วกวาดมอง เห็นแค่เพียงยักษ์ไททันที่มีรูปร่างเสมือนขุนเขากำลังวิ่งเข้ามา และบนไหล่ของมันมีร่างเล็กๆยืนอยู่ อีกฝ่ายจมูกยาวแหลม เป็นพวกต่างเผ่าที่มีหน้าตาอัปลักษณ์มาก

 

หรือว่าพวกมันจะมาเพราะฉัน?

 

ซูเฉินรู้สึกสับสนเล็กน้อย ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาเพิ่งเข้าสู่ทวีปเผ่าเอลฟ์ และยังไม่ทันได้ก่อเรื่องอะไรเลย แล้วทําไมอีกฝ่ายถึงตรงมาหาเขา?

 

แต่หลังจากฉีมู่เสวี่ยและน้องสาวของเธอเห็นพวกต่างเผ่าตนนี้ จู่ๆสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป

 

ซูเฉินสังเกตเห็นพอดีก็เอะใจ เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “พวกต่างเผ่าสองตน … มาที่นี่เพราะพวกแกใช่ไหม?”

 

“ใช่”

 

ฉีมู่อวี้พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“พวกมันรู้ได้ยังไงว่าพวกแกสองคนอยู่ที่นี่?” ซูเฉินถามด้วยความสงสัย

 

ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ใช่สั้นๆ นอกจากนี้ หลังจากอยู่ด้วยกัน สองพี่น้องตระกูลฉีไม่เคยเสนอหน้าออกไปนอกรถเลย แต่อีกฝ่ายกลับระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ นี่ค่อนข้างแปลกไปหน่อย

 

“เพราะชาวเผ่าก็อบลินตนนั้นมีความสามารถในการตรวจจับกลิ่นอาย ตราบใดที่อยู่ในรัศมีที่กำหนด มันจะสามารถล็อคตำแหน่งพวกเราได้” ฉีมู่อวี้อธิบาย

 

พวกต่างเผ่าที่มีจมูกยาวตนนั้น ที่แท้ก็เป็นพวกก็อบลิน

 

ซูเฉินกวาดตามองสำรวจ จากนั้นถามว่า “แล้วพวกแกกับมันมีปัญหาอะไรกัน?”

 

อีกฝ่ายตรงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มาเพราะอยากเจอเพื่อนรักแน่นอน สาเหตุหลักๆน่าจะมาเพื่อต้องการแก้แค้นมากกว่า

 

“เป็นเพราะพวกเราขโมยนกสำรวจตนนั้นมาจากมือยักษ์ไททัน” ฉีมู่อวี้สารภาพตามความจริง

 

“ตระกูลฉีของพวกแกนี่เป็นโจรขนานแท้”

 

เมื่อพบต้นตอว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ซูเฉินต้องทอดถอนหายใจออกมา