Ep.297

 

“เห~”

 

ซูเฉินเลิกคิ้วสูง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “แล้วทำไมเขาถึงอยากเปิดทางผ่านเขตแดน? อีกฝั่งหนึ่งเชื่อมต่อกับทวีปอะไร?”

 

เพราะหากอยู่คนละเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะความคิดหรือจิตใจย่อมไม่เหมือนกัน และการร่วมมือกับพวกต่างเผ่า แทบไม่ต่างจากการขึ้นขี่หลังเสือ

 

ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วเหตุใดเจียงเว่ยถึงปรารถนาจะเปิดทางผ่านเขตแดน?

 

เป็นไปได้ไหมว่าเขาก็เหมือนกับเตียวหลงแห่งนิกายวูหยิน ที่มีความสัมพันธ์กับพวกต่างเผ่า?

 

สถานการณ์เริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ ซูเฉินตกลงไปในห้วงความคิด

 

“ฉันได้ยินข่าวมาว่าเจียงเว่ยต้องการเปิดทางผ่านเขตแดน นอกนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว” ชายชราถอนหายใจ

 

ซูเฉินหรี่ตาลง จ้องมองชายชรา “แกไม่ได้กำลังโกหกฉันใช่ไหม?”

 

เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นไปของเกาะเฉียนหยูมาก ซูเฉินเองก็ไม่แน่ใจว่าชายชรากำลังพูดความจริงหรือไม่

 

“คนที่กำลังจะตาย ไม่จำเป็นต้องโกหก” ชายชราหัวเราะหยัน

 

ซูเฉินรู้ดี ว่าเขาไม่สามารถเค้นถามข้อมูลจากชายชราได้อีกแล้ว ดังนั้นง้างหมัดตูม! ชกใส่ศีรษะอีกฝ่าย

 

“ซูเฉิน แล้วเจ้าหมอนี่ล่ะ จะเอายังไงกับมัน?”

 

ในตอนนั้นเอง หวู่หยางลากตัวเฝิงเจ๋อเข้ามา โยนลงเบื้องหน้าซูเฉิน

 

ส่วนคนจากเมืองทงเทียนที่เพิ่งหลบหนีไป ถูกพวกหวู่หยางไล่ฆ่าและสังหารจนหมดสิ้นแล้ว

 

“ท่านอาวุโส ฉันถูกบังคับเลยไม่มีทางเลือก ได้โปรดให้โอกาสฉันอีกสักครั้ง!”

 

เฝิงเจ๋อคุกเข่าลงแทบเท้าซูเฉิน อ้อนวอนขอความเมตตา

 

ดอกหญ้าลู่ลมเช่นนี้ หากปล่อยทิ้งไว้ วันใดเผลอเดินผ่าน มันจะเกาะขากางเกง สร้างปัญหาให้แก่เขา

 

ซูเฉินไม่แม้จะเหลือบมอง เหยียดมือและยิงใบมีดสายลมตัดหัวอีกฝ่าย

 

“ไปเถอะ ทุกคนขึ้นรถ” ซูเฉินเรียก

 

คนจากเมืองทงเทียนถูกกวาดล้างหมดสิ้น เรื่องที่นี่มันจบลงแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกจากสถานชุมชนฮั่วหลางเสียที

 

รอจนทุกคนขึ้นรถ ซูเฉินเอ่ยถามโจวหยุน “นายมีญาติในหมู่บ้านเนินเขาสูงรึเปล่า?”

 

“พี่เฉิน ผมเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติหรือคนดูแลตั้งนานแล้ว” โจวหยุนกล่าวตามตรง

 

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “งั้นฉันจะพานายไปอยู่ในที่ปลอดภัย”

 

ท้ายที่สุดแล้ว เขากับโจวหยุนมีวาสนาต่อกัน หากปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ เกรงว่าหลังจากไปโจวหยุนอาจตกอยู่ในอันตราย

 

ดังนั้น ซูเฉินเลยตั้งใจที่จะส่งโจวหยุนไปยังสถานชุมชนเฝิงซี

 

อยู่กับหานคุน น่าจะช่วยรับรองความปลอดภัยได้

 

“พี่เฉิน ผมเชื่อพี่ ผมจะทำตามที่พี่บอก” โจวหยุนรับคำหนักแน่น

 

ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย หันไปสั่ง [รถศึกอัจฉริยะ] “เสี่ยวจือ มุ่งหน้าไปยังสถานชุมชนเฝิงซี”

 

[รถศึกอัจฉริยะ] สตาร์ทเครื่อง ล็อคตำแหน่งไปยังเฝิงซี

 

เนื่องจากพวกเขาเพิ่งกวาดล้างซอมบี้ตามรายทางไปเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงเป็นเรื่องยากที่จะเจอฝูงซอมบี้ที่ควรค่าแก่การออกล่า

 

ทุกคนเมื่อไม่มีอะไรทำ ก็นั่งล้อมวงเล่นเกมไพ่โต้วตี้จู่ ฟังเพลง กินบาร์บีคิว ดื่มน้ำผลไม้ รู้สึกมีความสุขราวกับไม่ได้อยู่ในวันสิ้นโลก

 

ในวันที่สี่ [รถศึกอัจฉริยะ] ค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงสถานชุมชนเฝิงซี

 

แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ณ ขณะนี้ สถานการณ์ของสถานชุมชนเฝิงซีกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด บังเกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้นภายนอกเมือง

 

ทั้งสองฝ่ายมีผู้เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้นับหลายพันคน

 

กำลังพลที่มากกว่า ย่อมเป็นฝั่งสถานชุมชนเฝิงซีที่นำโดยหานคุน

 

ในขณะที่อีกฝ่ายมีจำนวนน้อย แค่หลักร้อยเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่กำลังรบของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าหานคุนหลายขุม

 

เพราะในกลุ่มนั้น มีทั้งผู้วิวัฒนาการ และผู้ศึกษาพลังอยู่หลายสิบคน

 

อาศัยความได้เปรียบจากกำลังรบที่มากกว่า พวกเขาสามารถเข่นฆ่าสถานชุมชนเฝิงซี และค่อยๆกดดันอีกฝ่ายสู่ความพ่ายแพ้ มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

 

หากไม่ใช่เพราะหานคุนสาบานว่าจะต่อสู้จนตัวตาย เกรงว่าสถานชุมชนเฝิงซีอาจพ่ายแพ้ไปนานแล้ว

 

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ของหานคุนก็ตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมเช่นกัน แม้เขาเป็นถึงผู้วิวัฒนาการเลเวล 2 แต่เมื่อถูกห้อมล้อมโดยผู้วิวัฒนาการเลเวล 1 หลายคนและปรมาจารย์มนตราเลเวล 2

 

เขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน และเกรงว่าจะล้มลงในอีกไม่ช้า