Ep.198

 

“การเปิดค่ายกลนี้ แม้การป้องกันจะเข้มแข็งและมั่นคง แต่มันไม่สามารถอยู่ได้นาน หินพลังงานหมดเมื่อไหร่ นั่นคือเวลาที่สถานชุมชนเฝิงซีถูกทำลาย” หวู่หยางถอนหายใจยาว

 

ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ คือคำขอร้องซูเฉินเช่นกัน ว่าพวกเราควรออกไปล่าสัตว์กลายพันธุ์ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ดีหรือไม่?

 

ซูเฉินเข้าใจความหมายของหวู่หยาง

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต่างเป็นมนุษย์ และหวู่หยางไม่อยากเห็นสถานชุมชนเฝิงซีล่มสลาย

 

“เสี่ยวจือ ขับรถไป” ซูเฉินสั่ง

 

ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็ต้องล่าสัตว์กลายพันธุ์เหล่านั้นอยู่แล้ว งั้นก็ถือโอกาสนี้รวดช่วยสถานชุมชนเฝิงซีเลยแล้วกัน

 

[รถศึกอัจฉริยะ] เร่งความเร็วเต็มกำลัง เคลื่อนไปข้างหน้า

 

คนอื่นๆบนรถต่างยกสองมือขึ้นถูไปมา เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อ [รถศึกอัจฉริยะ] ขับไปจนอยู่ห่างจากสถานชุมชนเฝิงซีไม่ถึงร้อยเมตร เหนือเทือกเขาเหยกู่ จู่ๆก็ปรากฏเงาดำบินผ่านเข้ามา

 

ในตอนแรก เงาดำนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่เมื่อมันใกล้เข้ามา เงาสีดำนี้ก็เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

 

จนกระทั่งมันลอยอยู่เหนือสถานชุมชนเฝิงซี รูปลักษณ์ทั้งหมดของมันก็เปิดเผยสู่ทุกสายตาอย่างสมบูรณ์

 

ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว มันมีรูปร่างเหมือนพวกมังกรตะวันตก

 

ลำตัวยาวกว่าห้าสิบเมตร และทั้งตัวมีสีดำสนิทเหมือนน้ำหมึก สองปีกยามสยาย ปกคลุมทั้งผืนฟ้า บดบังแสงอาทิตย์

 

ทุกครั้งที่มันกระพือปีก จะเกิดลมกรรโชกแรง เป่าหินดินทรายปลิวว่อน กระทั่งพวกสัตว์กลายพันธุ์ที่อยู่ด้านล่างยังเสียการทรงตัว

 

“นั่นมันมังกรเพลิงทมิฬ!” สีหน้าของหวู่หยางแปรเปลี่ยนกลับกลาย ริมฝีปากสั่นระริก

 

คนอื่นต่างตะลึงงัน อ้าปากตาค้าง สีหน้าแสดงถึงความหวาดกลัว

 

อาศัยเพียงร่างกายอันใหญ่โตดั่งขุนเขาของมังกรเพลิงทมิฬ ก็สามารถสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจต่อผู้คนได้มหาศาล

 

ควบคู่ไปกับสายเลือดเผ่ามังกร ทำให้มันส่งแรงกดดันมหาศาลออกมา แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังทำให้ผู้คนหายใจติดขัด

 

แต่ยังไงก็ตาม เมื่อเทียบกับความสยองเกล้าของผู้อื่นแล้ว ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ ท่าทีของซูเฉินกลับยังคงสงบ

 

มังกรเพลิงทมิฬน่าหวาดกลัวก็จริง แต่กำลังรบของมันไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก

 

อย่างมากที่สุดไม่เกินเลเวล 5

 

ด้วยกำลังรบในปัจจุบันของซูเฉิน เขายังพอสามารถรับมือมันได้

 

“หัวหน้าหวู่ มังกรเพลิงทมิฬตัวนี้เป็นสัตว์กลายพันธุ์ระดับไหน?” ซูเฉินถาม

 

“มีข่าวลือว่า ปรากฏมังกรเพลิงทมิฬเลเวล 3 ขึ้นในเขตหวงหลินของเรา สมควรเป็นตัวที่อยู่ตรงหน้า”

 

หวู่หยางตอบ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ถึงแม้มันจะเป็นแค่เลเวล 3 แต่ผู้วิวัฒนาการเลเวล 4 ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

 

“สุดท้ายก็แค่เลเวล 3 ” ซูเฉินส่ายหัว

 

มีเพียงสัตว์กลายพันธุ์เลเวล 5 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถสร้างแรงกดดันต่อเขาได้ แม้ศัตรูคราวนี้คือมังกร แต่มันแค่เลเวล 3 ดังนั้นไม่อยู่ในสายตาเขา

 

มองไปยังท่าทีไม่แยแสของซูเฉิน หางตาของหวู่หยางกระตุก

 

เขารู้ว่าซูเฉินคงกำลังคิดจะสังหารมังกรเพลิงทมิฬตัวนี้เป็นแน่ จึงรีบเกลี้ยกล่อม “ซูเฉิน พวกเราถอยกันเถอะ มังกรเพลิงทมิฬไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สามารถยั่วโมโหได้”

 

ในความคิดเขา ต่อให้ซูเฉินไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน และอาจสามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้

 

แต่มังกรเพลิงทมิฬมิใช่สัตว์กินพืช มันดุร้าย และสามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่มีเลเวลมากกว่าได้อย่างง่ายดาย

 

บวกกับสถานะเผ่ามังกร และร่างกายที่แข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างหาผู้ใดเทียบ ไม่มีทางที่มนุษย์ผู้วิวัฒนาการเลเวลเดียวกันจะสามารถโค่นได้อย่างแน่นอน

 

หากซูเฉินยืนกรานที่จะต่อสู้กับมังกรเพลิงทมิฬ

 

เขาเชื่อว่าสุดท้ายคนที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบคือซูเฉิน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

“ซูเฉิน น้องหวู่พูดถูกแล้ว ครั้งนี้ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป พวกเราควรหลีกเลี่ยง” หยางหลิงเทียนก็ก้าวเข้ามาเกลี้ยกล่อมเช่นกัน

 

หยางฮ่าวและคนอื่นๆก็ก้าวออกมา แม้พวกเขาจะไม่พูดอะไร แต่แววตาสะท้อนไปด้วยความวิตกอย่างมิอาจกลบซ่อน

 

ตลอดมา ซูเฉินคือตัวคนที่ไม่มีใครทัดเทียมได้ในใจของพวกเขา

 

อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของมังกรเพลิงทมิฬ ส่งผลให้ความคิดนี้ของพวกเขาถูกสั่นคลอน