ลง 193 194

Ep.193

 

“ตอนนี้ยังอยากจะต่อรองกับฉันอีกไหม?” ซูเฉินยิ้มเยาะ เหลือบมองลงมายังร่างของหญิงสาวเผ่าปีศาจราตรี

 

หญิงสาวเผ่าปีศาจราตรีอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง สีหน้าของเธอยังคงแฝงไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวด

 

หลังจากถูกซูเฉินทรมาน ปราการในใจเธอก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง

 

เวลานี้ ในสายตาของเธอ ซูเฉินมิใช่มนุษย์ที่อ่อนแออีกต่อไป แต่เป็นอสูรร้ายที่เลือดเย็นยิ่งกว่าเผ่าปีศาจราตรีร้อยเท่า

 

“ฉันยอมแล้ว ฉันจะบอกทุกอย่าง ได้โปรดอย่าทรมานฉันอีกเลย!‘ หญิงสาวเผ่าปีศาจราตรียอมจำนน

 

“งั้นก็ตอบมา แกมาจากที่ไหน” ซูเฉินถาม

 

“ฉันมาจากเกาะว่านเหลียนซาน ” หญิงสาวเผ่าปีศาจราตรีตอบตามความจริง

 

“เกาะว่านเหลียนซาน …” ซูเฉินพึมพำครุ่นคริด

 

เขารู้จักเกาะว่านเหลียนซาน มันคือเกาะที่มีแต่ภูเขาอยู่ทุกหนแห่ง

 

ในตอนที่ได้รับแผนที่ทวีปเสวียนเทียน เขาเคยลองเปรียบเทียบขนาดของเกาะเฉียนหยูดู

 

และได้ข้อสรุปว่า พื้นที่ของเกาะว่านเหลียนซานมีขนาดใหญ่เป็นสิบเท่าของเกาะเฉียนหยู

 

“ถ้างั้นแล้วเผ่าปีศาจราตรีมีเส้นทางที่ใช้ผ่านไปยังเกาะว่านเหลียนซานรึเปล่า?” ซูเฉินถาม

 

เห็นได้ชัดว่าเผ่าปีศาจราตรีไม่ได้อาศัยอยู่ในเกาะเฉียนหยู ดังนั้นการมาที่นี่ มีเพียงหนทางเดียว นั่นคือผ่านเขตแดนเท่านั้น

 

สำหรับเรื่องนี้ เขาได้ทราบข้อมูลคร่าวๆมาจากเผ่าเต่าเขียวในเทือกเขาฮวงเจ๋อแล้ว

 

“ใช่ พวกเรามีเส้นทางผ่านเขตแดนอยู่ คุณสามารถใช้มันเดินทางระหว่างเผ่าปีศาจราตรีและเกาะเฉียนหยูได้” หญิงสาวเผ่าปีศาจราตรีตอบ

 

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามว่า “แล้วทางผ่านเขตแดนถูกเปิดออกรึยัง? บนเกาะว่านเหลียนซานตอนนี้ใครเป็นผู้ปกครอง?”

 

เมื่อพิจารณาถึงเรื่องจำนวนซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์บนเกาะเฉียนหยูแล้ว ในภายภาคหน้าอย่างไรก็ไม่เพียงพอ วันใดวันหนึ่งเขาจำเป็นต้องออกจากเกาะเฉียนหยู ไปตามล่าซอมบี้ที่อื่น

 

และเกาะว่านเหลียนซานก็เป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะเฉียนหยู ดังนั้นจึงวางแผนว่าจะไปที่นั่นเป็นจุดต่อไป

 

หากเกาะว่านเหลียนซานถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจราตรี ซูเฉินจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า

 

“ไม่ ทางผ่านตรงจุดนั้นไม่ค่อยเสถียร มีเผ่าปีศาจราตรีออกมาได้ไม่มากนัก นอกจากนี้ระดับการฝึกฝนสูงสุดที่ออกมาได้ คือเลเวล 3 เท่านั้น”

 

ซูเฉินปาดจมูกเขา “แล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนทางผ่านแห่งนั้นถึงจะเสถียร”

 

“ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี”

 

ซูเฉินพยักหน้า เวลาสิบปีน่าจะพอแล้วสำหรับเขาที่จะกวาดล้างเกาะเฉียนหยู จากนั้นก็มุ่งหน้าไปสังหารซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์บนเกาะว่านเหลียนซานต่อ

 

“กำลังรบของเผ่าปีศาจราตรีเป็นอย่างไร? ผู้แข็งแกร่งที่สุดมีระดับการฝึกฝนขั้นไหน?” ซูเฉินถาม

 

ก่อนหน้านี้เขาได้ข้อมูลจากเผ่าเต่าเขียวแล้ว ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายคือผู้วิวัฒนาการเลเวล 4

 

ดังนั้นเขาเลยอยากเปรียบเทียบกับเผ่าปีศาจราตรี เพื่อนำมาตัดสินความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์อื่น

 

“เผ่าปีศาจราตรีของเราเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์นับหมื่น ผู้แข็งแกร่งที่สุดสามารถตัดผ่านขอบเขตเลเวล 10 ได้แล้ว” ระหว่างกล่าวคำเหล่านี้ ใบหน้าของหญิงสาวเผ่าปีศาจราตรีเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิ

 

“ตัดผ่านเลเวล 10?” ซูเฉินตกใจมาก

 

เขายังไม่รู้เลยว่าบนเกาะเฉียนหยูมีเลเวล 5 อยู่หรือไม่ เมื่อย้อนคิดไปว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเต่าเขียวคือเลเวล 4 ในขณะที่เผ่าปีศาจราตรีถือกำเนิดตัวตนที่ตัดผ่านเลเวล 10ไปแล้ว

 

แม้ทั้งสองจะเป็นเผ่าพันธุ์จากต่างโลกเหมือนกัน แต่ความแข็งแกร่งห่างชั้นกันอย่างเทียบไม่ติด

 

หลังสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ซูเฉินยังคงถามต่อว่า “แล้วในบรรดาหมื่นเผ่า เผ่าไหนมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับเผ่าปีศาจราตรีบ้าง?”

 

“นอกจากนี้ก็มีเผ่าเทพ , เผ่าอมตะ , เผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ และเผ่ามายา” หญิงสาวเผ่าปีศาจราตรีกล่าวอย่างเคร่งขรึม ดูเหมือนเธอจะหวั่นเกรงเผ่าพันธุ์เหล่านี้มาก

 

สำหรับเผ่าพันธุ์ลึกลับเหล่านี้ ซูเฉินรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเอ่ยถาม “แล้วอะไรคือเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ทั้งห้า แน่นอนว่าเผ่าสุดท้ายรวมถึงของแกด้วย”

 

“ถ้าให้อธิบายง่ายๆ เผ่าปีศาจราตรีของพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์นับหมื่น ด้วยเหตุนี้สมาชิกเผ่าส่วนใหญ่จึงเป็นผู้วิวัฒนาการ”

 

“เผ่าเทพมีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ พวกเขาเชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังจิต ส่วนใหญ่เป็นปรมาจารย์พลังจิต”

 

“เผ่าอมตะ กล่าวอ้างว่าครอบครองร่างกายที่ไม่มีวันตาย แต่อันที่จริงแล้วก็แค่กลายเป็นซอมบี้ แต่ยังคงสามารถรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้”

 

“เผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ ก็ตามชื่อเผ่า พวกมันแม้มีประชากรน้อย แต่ความสามารถในการต่อสู้รายตัวแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์นับหมื่น”

 

“เผ่ามายา ฉกาจในด้านฝึกฝนพลังเวทย์ ผู้แข็งแกร่งของพวกเขา ล้วนเป็นปรมาจารย์มนตรา”