บทที่ 96 ผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะ

ทันใดนั้น มีกระแสลมที่พัดผ่านออกมาจากร่างของเย่เฟิงไปยังเย่เวิ่นเทียนจนทำให้เสื้อคลุมของชายชราพริวไหว ชายหนุ่มไหลเวียนเจินชี่ภายในร่างอย่างรวดเร็วตามที่เขียนไว้ในตำราโบราณ ซึ่งเย่เวิ่นเทียนรับรู้ถึงพลังอันน่ากลัวของเย่เฟิงได้อย่างรวดเร็ว

ควับ ควับ     (เสียงกรงเล็บขยำ)

หลังจากเกิดเสียงดังขึ้นสองครั้ง เย่เวิ่นเทียนได้แสดงทักษะกรงเล็บมังกรออกมาบ้าง เพื่อต้านทานการจู่โจมอันดุดันของเย่เฟิง ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของเขายังคงไร้ความกังวล

ด้วยระดับวรยุทธ์เพียงแค่ 5 ปี พลังที่เย่เฟิงแสดงออกมาเมื่อกี้นี้จัดว่าเหนือกว่าระดับ 10 ปี! ชายหนุ่มนั้นเพิ่งได้อ่านตำราผ่านๆเพียงแค่ครั้งเดียว แต่กลับแสดงพลังออกมาได้ขนาดนี้ หากเขาได้ฝึกฝนจนชำนาญ พลังที่แสดงออกจากจะน่ากลัวถึงระดับไหนกัน?

ทันใดนั้นเย่เวิ่นเทียนพลันตื่นเต้นขึ้นอย่างมาก สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งตระกูลเย่!

เขาไม่เคยคิดเลยว่าอยู่ๆหลานชายของเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะ ที่สามารถเรียนรู้ทักษะกรงเล็บมังกรได้รวดเร็วเพียงแค่ได้อ่านผ่านๆครั้งเดียวแบบนี้

สำหรับเย่เฟิงแล้ว แม้จะเป็นทักษะเซียนที่ซับซ้อนก็ไม่ใช้ปัญหาอะไร เพราะเขาสามารถเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วและดีเยี่ยม แล้วจะนับประสาอะไรกับวิทยายุทธชนิดนี้ ถึงอย่างนั้น ขณะแสดงทักษะกรงเล็บมังกรออกมา ชายหนุ่มรู้สึกถึงร่องรอยบางอย่าง ซึ่งเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยตลอดเวลาที่ได้ฝึกฝนทักษะแห่งเซียนมามากมาย

ทักษะกรงเล็บมังกรมีการเคลื่อนไหวที่ต่างกัน 10 แบบ ซึ่งน่าตกใจที่เมื่อกี้นี้ เย่เฟิงสามารถใช้ออกมาได้ทั้ง 10 แบบทั้งๆที่ได้อ่านตำราแค่ครั้งเดียว

“หลังจากนี้ เราคงได้ใช้ทักษะกรงเล็บมังกรเป็นหลัก เพราะมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าทักษะฝ่ามือแปดทิศเสียอีก”

เย่เฟิงรู้สึกว่าขณะที่ต่อสู้กับคนอื่น ทักษะกรงเล็บมังกรสามารถควบคุมได้ง่ายกว่าทักษะฝ่ามือแปดทิศมาก

ทักษะฝ่ามือแปดทิศยังถือว่ามีช่องโหว่อยู่มากตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ทักษะกรงเล็บมังกรนั้นไร้ที่ติ ยิ่งกว่านั้นการใช้ทักษะนี้จะทำให้เขาดูเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ของโลกนี้ และจะไม่มีใครสงสัยว่าเขาใช้วรยุทธ์ของโลกอื่น

“ยอดเยี่ยมมากไอ้หนู แกนี่มันอัจฉริยะจริงๆ”

เย่เวิ่นเทียนชื่นชมเย่เฟิงราวกับเขาได้เห็นดาวดวงใหม่ของวงการยุทธภพ

ในโลกยุทธภพนั้น การฝึกฝนแบ่งออกเป็นหลายระดับ ซึ่งผู้คนที่มีพรสวรรค์สูงจะสามารถฝึกฝนทักษะระดับสูงได้ ยกตัวอย่างเช่นเย่เวิ่นเทียน สามารถฝึกได้เพียงทักษะกรงเล็บมังกรระดับสอง ถึงอย่างนั้น เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของระดับแรกแล้ว ระดับสองนั้นแข็งแกร่งกว่าเป็นเท่าตัว

อาจพูดได้ว่าพรสวรรค์ของเย่เฟิงนั้น หากเขามีวรยุทธ์ระดับ 20 ปี และฝึกได้ฝึกทักษะกรงเล็บมังกรระดับสาม เมื่อถึงตอนนั้น ก็แทบจะไม่มีใครในโลกนี้ต่อกรกับเขาได้ซึ่งแม้แต่เย่เวิ่นเทียนก็ตาม และแม้แต่ให้สู้กับอาวุธสวรรค์ด้วยมือเปล่าก็ยังไม่ใช่ปัญหา

สำหรับทักษะกรงเล็บมังกรระดับสอง ผู้ฝึกสามารถดูดเป้าหมายเข้ามาใกล้ตัวได้โดยระยะขอบเขตนั้นขึ้นกับพลังชี่ภายในเช่นกัน

ส่วนที่ทักษะระดับสาม ความน่ากลัวของมันนั้น แม้แต่ตัวเย่เวิ่นเทียนเองก็ไม่อาจทราบได้ เพราะในอดีต ไม่มีใครสามารถฝึกฝนไปถึงระดับสามมาก่อน

ฉะนั้นตอนนี้ เย่เฟิงเป็นเพียงความหวังเดียวของเขา

“สาวน้อย เป็นไงบ้าง?”

หลังจากชื่นชมเย่เฟิง เย่เวิ่นเทียนมองไปยังซูเหมิงหานที่ยืนอยู่ไม่ไกล ซึ่งเด็กสาวกำลังอ่านตำราทักษะกรงเล็บมังกรอยู่

“หนูอ่านแล้วไม่เข้าใจอะไรเลยค่ะ มันซับซ้อนเกินไป”

ซูเหมิงหานแทบอยากจะร้องไห้ รูปเหล่านี้มันคืออะไรกัน? นี่คือเส้นชีพจรในร่างกายพวกเรางั้นหรอ? อย่าว่าแต่ทักษะกรงเล็บมังกรเลย แม้แต่เรื่องเส้นชีพจรเธอก็ยังไม่เข้าใจมันแม้แต่น้อย

“ไม่เข้าใจเลยหรอ? ช่างเถอะ สำหรับเด็กผู้หญิงแล้ว เรื่องฆ่าๆฟันๆคงไม่ดีเท่าไหร่”

เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้น เขารีบเคลื่อนที่เข้าไปข้างๆซูเหมิงหาน แล้วดึงตำราทักษะกรงเล็บมังกรในมือเด็กสาวมา ก่อนจะโยนมันไปยังปู่ของเขา

ในสายตาชายหนุ่ม ทักษะสังหารพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ซูเหมิงหานจำเป็นต้องเรียน ยิ่งกว่านั้น เธอได้เรียนทักษะแห่งเซียนจากเขาแล้ว ทักษะนั้นจึงไม่เหมาะสมกับเธอแม้แต่น้อย

สำหรับตอนนี้ คนถัดไปที่ต้องเรียนทักษะแห่งเซียนคือหลงหวางเอ๋อ หญิงสาวที่มักจะใช้กระบวนท่ามังกรฟาดหางเตะใส่คนอื่นเขาไปทั่ว แน่นอนว่าหากเธอยังคงทำแบบนั้นต่อไป เย่เฟิงคงอดกังวลในตัวหญิงสาวไม่ได้

“ปู่มีทักษะวรยุทธ์อื่นอีกไหม? ทักษะกรงเล็บมังกรนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆเลย”

เย่เฟิงถามขณะเคลื่อนไหวมือและเท้าราวกับจะแสดงทักษะนั้นออกมา

“ทักษะอื่น แน่นอน ตระกูลเย่ของเราย่อมมีวิทยายุทธสำหรับตระกูลโดยเฉพาะ หึ หึ หึ มันคือ ‘หมัดอสูรคลั่ง’ เอาไว้แกมีวรยุทธ์ระดับ 20 ปีเมื่อไหร่ ฉันจะสอนให้”

เย่เวิ่นเทียนหรี่ตาขณะพูด้วยร้อยยิ้ม

“งั้นก็ช่างเถอะ….”

เย่เฟิงรู้สึกช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เลือกเรียนทักษะวรยุทธ์ตามอำเภอใจ แต่เขาก็เพิ่งได้เรียนทักษะวรยุทธ์ชนิดใหม่ จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย ว่าจะมีทักษะไหนที่สามารถเทียบกับทักษะแห่งเซียนได้อีก

“ไงก็เถอะ ปู่เอาตำรากรงเล็บมังกรคืนไป นี่คือห้องของผม เดี๋ยวผมทำความสะอาดเสร็จก็จะนอนแล้ว”

เย่เฟิงมองไปรอบๆห้องแล้วพูดออกมา

“ทำความสะอาด? แกก็นอนห้องเดียวกับสาวน้อยคนนี้ไปสิ! ฉันขอเตือนแกนะไอ้หนู ว่าห้ามมายุ่งกับห้องนี้เด็ดขาด”

หลังจากดุเย่เฟิง เย่เวิ่นเทียนซ่อนตำรากรงเล็บมังกรไว้ใต้กองหนังสือหนาอีกครั้ง เขาปรบมือเพื่อไล่ฝุ่นในห้องนี้ออกไป จากนั้นจึงกระโดดออกไปออกไปทางหน้าต่าง แต่ก่อนที่ชายชราจะจากไป เขาพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง

“อย่าลืมไปโรงเรียนพรุ่งนี้ด้วย คุณหนูตระกูลหลินจะรอแกอยู่ที่นั่น”

จากนั้น ร่างของเย่เวิ่นเทียนก็พลันหายไปในพริบตา ทิ้งหนุ่มสาวทั้งคู่ให้ยืนอี้งกับคำพูดของเขา

“นี่”

ซูเหมิงหานดึงแขนเสื้อเย่เฟิง “นายจะไปเจอคุณหนูตระกูลหลินที่โรงเรียนพรุ่งนี้ไหม?”

“ก็คงต้องไปนั้นแหละ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะไม่พูดกับเธอคนนั้นแม้แต่คำเดียวตามสัญญา”

เย่เฟิงยิ้ม

“ความจริง นายไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอก”

เมื่อเด็กสาวได้ยินเขาพูดอย่างนั้น เธอก็รู้สึกอึดอัดใจ “ปู่ของนายจะแนะนำเธอให้นายรู้จัก ถ้านายไม่พูดกับเธอเลยมันเสียมารยาทเกินไปนะ ฉันไม่ว่านายเรื่องนี้หรอก”

เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือมันเพราะว่าเธอได้ฝึกวรยุทธ์กันนะ?

ชายหนุ่มบีบแก้มอันนุ่มนิ่มของเด็กสาวเบาๆพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะถามขึ้น “แล้วตอนนี้ เธอคิดยังไงกับเรื่องวรยุทธ์บ้าง?”

“ก็ดีนะ แล้ววรยุทธ์แห่งเซียนคืออะไรหรอ? เมื่อกี้นี้ ฉันไม่เข้าใจตำราหายากนั่นสักนิดนึง วรยุทธ์แห่งเซียนก็เป็นตำราหายากเหมือนกันหรอ?”

เด็กสาวย่นจมูกซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย

เย่เฟิงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงเวลาเดียวที่พวกเขาจะได้คุยกันถึงเรื่องนี้ ดังนั้น เขาจึงพาซูเหมิงหานกลับไปยังห้องนอน ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เธอฟัง รวมทั้งเรื่องของซูเฟยหยิ่งด้วย

“………ในโลกใบนี้ ผู้ที่ฝึกวรยุทธ์แห่งเซียนไม่ได้มีอยู่มากนัก ตามที่ฉันรู้ ก็มีแค่ฉันกับอาจารย์เท่านั้น”

เย่เฟิงสรุปทุกสิ่งก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้ อาจารย์ของฉันปรากฏตัวขึ้นที่ใกล้ๆกับทะเลจีนตะวันออก และเมื่อสอบเข้ามหาลัยเสร็จ ฉันจะไปหาอาจารย์ที่นั่น”

“อืมมม”

ซูเหมิงหานพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเย่เวิ่นเทียนถึงห้ามไม่ให้เขาออกจากเมืองเหยียนจิง เพราะไม่งั้น ชัดเจนว่าชายหนุ่มคงมุ่งหน้าไปที่นั่นตอนนี้เลย

เพราะสำหรับเย่เฟิง การสอบเข้ามหาลัยคงไม่สำคัญไปกว่าเรื่องการฝึกวรยุทธ์แน่นอน

เมื่อเย่เฟิงเล่าเรื่องเหล่านี้จบ ใบหน้าของซูเหมิงหานก็พลันแดงขึ้นมาเล็กน้อยในทันที มืออันเนียนขาวทั้งสองข้างของเธอจิกกระโปรงแน่นเหมือนลูกแมวที่เสียขวัญ ก่อนที่เด็กสาวจะพูดอย่างกังวลว่า “นาย…..คืนนี้นาย…….”

เมื่อเห็นซูเหมิงหานที่เป็นแบบนั้น เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะขำอยู่ในใจ สาวน้อยคนนี้คิดเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของปู่เขาเมื่อกี้นี้ด้วยแฮะ ที่บอกให้พวกเขานอนห้องเดียวกัน

“ฉันมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องจัดการ เธอนอนก่อนได้เลย ฝันดีนะ”

เย่เฟิงจับแขนของเด็กสาวก่อนจะลุกออกจากห้องไป ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเมื่อใดที่ซูเหมิงหานเริ่มฝึกวรยุทธ์ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เขาจะเอาหลิงชี่ที่ได้มาโดยบังเอิญจากภูเขาฉางไป่ให้เธอดูดซับเพื่อเพิ่มระดับวรยุทธ์ ขึ้น

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ณ บ่อนเทียนหัว ที่นั่นมีคนตายอยู่มากมาย และด้วยที่ชายหน้าบากถูกชิงอิทธิพลไป จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจัดการสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสำหรับสถานการณ์นี้ เย่เฟิงต้องไปที่นั่นเพื่อช่วยชายหน้าบากจัดการเรื่องทั้งหมด

“ถ้าเรามีวรยุทธ์ระดับ 10 ปี อะไรๆคงจะง่ายกว่านี้”

เย่เฟิงคิด

หากอยู่ในระดับ 10 ปี เขาจะสามารถใช้ทักษะโจมตีพื่้นฐาน ‘เปลวไฟสีแดง’ จัดการเผาศพให้สลายไปอย่างสมบูรณ์โดยไม่เหลือร่องรอยอันใดไว้

มันจะช่วยให้ชายหน้าบากจัดการเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น แต่เวลานี้ จิตใจของชายหนุ่มขบคิดอยู่แต่เรื่องการไปเจอคุณหนูตระกูลหลินพรุ่งนี้

ไม่ว่าอย่างไร หญิงสาวคนนั้นก็มีชื่อเสียงที่รู้จักกันไปทั่วว่าสวยสมบูรณ์แบบ แม้แต่ซูเหมิงหานเองก็ยังชื่่นชมเธอ ดังนั้น ในฐานะที่เย่เฟิงเป็นผู้ชายก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่อยากรู้อยากเห็น ชายหนุ่มอยากรู้เหมือนกันว่าหญิงสาวคนนั้นจะงดงามเทียบกับอาจารย์แสนสวยของเขาได้บ้างไหม?

…………………………….

แปลโดยทีมงาน GSI