บทที่ 83 เริ่มจากล่างสุด

เย่เฟิงเข้าใจชัดเจนว่าเมื่อซ่งหู่กล้าทรยศพวกเขา นั่นหมายความว่ามันต้องมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแน่ เพราะฝ่ายนั้นก็เห็นชัดเจนแล้วว่าเย่เฟิงมีความสัมพันธ์กับผู้เฒ่าตระกูลหลิน

นั่นแสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหลังซ่งหู่ต้องมีอิทธิพลระดับเดียวกับตระกูลหลินแห่งเมืองเหยียนจิงเลยทีเดียว

แม้เป็นที่รู้กันว่าตระกูลหลินคือตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองเหยียนจิง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีอิทธิพลอื่นอยู่อีกมากมายเช่นกันเพื่อคอยถ่วงสมดุล อย่างเช่นกรณีโหมวจิ้นเฉียงที่เป็นผู้กำกับการสำนักงานตำรวจ ตระกูลของเขานั้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมืองเหยียนจิง ถึงอย่างนั้น ตระกูลหลินยังมีความแข็งแกร่งมากกว่านิดหน่อยเมื่อเทียบกับอีกสามตระกูลที่เหลือ

เย่เฟิงคาดคะเนว่าตระกูลที่ทรงอิทธิพลเหล่านั้นล้วนมีเงาของคนจากโลกยุทธภพค่อยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ยกตัวอย่างเช่น ตระกูลโหมวซึ่งมีตระกูลมังกรคอยหนุนหลัง ตระกูลหลินซึ่งมีความสัมพันธ์กับตระกูลเย่ ซึ่งถึงแม้ตอนนี้ ตระกูลเย่จะเหลือผู้สืบทอดเพียงคนเดียว และชายชราเย่เวิ่นเทียนอีกคนก็ตาม

ในโลกใบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์มากมายสามารถหาความมั่งคั่งได้ด้วยตัวพวกเขาเองโดยการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ทรงอิทธิพลต่างๆในโลกนี้ อย่างเช่นผู้เฒ่าหลินที่มีบุคคลลึกลับคอยคุ้มกันตัวเขา ซึ่งแม้แต่สไนเปอร์ยังไม่อาจจะเอาชีวิตเขาได้

“พี่เย่ ถ้าพวกเราไม่รีบกลับไป ผมกลัวว่านายหญิงเย่จะมีอันตราย”

หน้าบากลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ซ่งหู่มีหลานชายคนหนึ่งชื่อ ซ่งเทียนยิง มันเคยมีเรื่องกับพี่เย่และนายหญิงเย่บนรถไฟจำได้ไหมครับ? บางที นายหญิงเย่อาจจะ……….”

“สถานการณ์เป็นไงบ้างตอนนี้?”

เย่เฟิงถาม

“ผมให้คนสนิทคอยคุ้มกันนายหญิงเย่ไว้ชั่วคราว แต่ถึงอย่างนั้น ซ่งหู่มันร่วมมือกับสมาพันธ์มังกรดำ ผมกลัวว่าคนของผมจะต้านไว้ไม่ได้นาน”

หน้าบากอธิบาย

เย่เฟิงรู้สึกว่าโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น “เยี่ยมมาก อ๋อใช่ ก่อนมารับฉันซื้อเสื้อสูทชุดใหม่มาให้สักสองตัวนะ และมาเจอกันที่หมู่บ้านหนานกังเมืองเป่าเชี่ยน ยิ่งเร็วยิ่งดี”

ในเวลานั้นเอง เย่เฟิงตัดสินใจว่าจะให้หน้าบากเป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของเขา และเขาจะสามารถสอนวรยุทธ์ให้ชายคนนี้ได้ไหมนะ?

ระดับความสามารถของหน้าบากเป็นที่พึงพอใจสำหรับเย่เฟิงอย่างยิ่ง ชายคนนี้ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างดีเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดหลายปีมานี้ เขายังพัฒนาแก๊งอสรพิษสวรรค์จนมีอิทธิพลมากมาย ยิ่งกว่านั้นเขายังมีคนที่ไว้ใจได้อีกหลายคนในสังกัดของตนเองอยู่

ไม่ว่าเย่เฟิงวางแผนไว้ว่าจะทำอะไรในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการตามหาซูเฟยหยิ่งหรือการปกป้องคนรักรอบๆตัว ชายหนุ่มต้องพึ่งพาพลังของตนเองเท่านั้น การหวังพึ่งคนอื่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย

หลังจากวางสายเสร็จแล้วเย่เฟิงกดต่อสายไปหาซูเหมิงหาน

ก่อนที่จะเดินเข้าไปในภูเขาโทรศัพท์มือถือของเย่เฟิงไม่มีสัญญาณ หลังจากนั้นเขาทั้งว่ายและดำน้ำเป็นเวลานานจนมือถือของเขามันเสียไปแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ชายหนุ่มยังไม่มีโอกาสได้ติดต่อหาซูเหมิงหาน

สำหรับการตามหาซูเฟยหยิ่ง มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

นอกจากตราสัญลักษณ์ดาวเจ็ดจุด เขาไม่สามารถหาเบาะแสอื่นๆที่จะเชื่อมโยงไปหาซูเฟยหยิ่งได้เลยในสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ราวกับเธออยู่ในสุสานเพียงแค่ชั่วครู่และรีบจากไปจากไร้ร่องรอย

ซูเหมิงหานรับสายเขาโดยใช้เวลาไม่นานนัก

“ฮัลโหล?”

เสียงเด็กสาวที่หวานและนุ่มนวลดังผ่านมาจากโทรศัพท์ทำให้เย่เฟิงรู้สึกโล่งอกมากขึ้น

“เหมิงหาน ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”

เย่เฟิงถาม

“วันนี้เป็นวันหยุดฉันก็เลยอยู่ที่บ้าน… ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มีคนตั้งหลายคนจากแก๊งอสรพิษสวรรค์มาด้านนอกหมู่บ้านแล้วก็ล้อมไว้อยู่ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ ทำไมพวกเขามาที่นี่กันน่ะ?”

ซูเหมิงหานรู้สึกสงสัย

“พวกเขาแค่ต้องกันป้องกันอันตรายน่ะ”

เย่เฟิงอธิบายเสร็จแล้วกล่าวต่อ “แล้วก็ฉันจะกลับไปที่บ้านคืนนี้นะ ก่อนที่ฉันจะกลับไปเธอห้ามออกจากหมู่บ้านเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?”

“ทำไมล่ะ? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”

ซูเหมิงหานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้กังวลมากนักเพราะความสนใจทั้งหมดของเธอไปอยู่ที่เย่เฟิงแล้ว “นายอยู่ที่ไหนน่ะ? แล้วจะกลับมาคืนนี้จริงๆใช่มั้ย? สอบครั้งที่แล้วนายไม่ได้อ่านหนังสือเลยใช่รึเปล่า? รู้มั้ยว่านายได้อันดับหนึ่งนับจากท้ายสุดของทั้งชั้นเลยนะ…”

เย่เฟิงถึงกับงงหลังจากได้ยิน นี่มันนอกประเด็นที่เขากำลังพูดแล้วนะ แถมนี่ก็ยังเป็นแค่การสอบจำลองเองด้วย

อย่างไงก็เถอะ ผลลัพท์ที่ออกมาได้สร้างสถิติคะแนนสอบที่ล้มเหลวมากที่สุดที่เขาเคยได้มาเสียแล้ว………

“ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วงไป ก่อนสอบเข้ามหาลัยฉันจะตั้งใจอ่านหนังสือนะ เชื่อใจได้เลย”

เย่เฟิงกล่าวเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยและย้ำเตือนซูเหมิงหานอีกครั้งว่าเธอห้ามออกจากบ้านเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น! ถ้าหากเธอบังเอิญไปเจอสถานการณ์ที่อันตรายละก็ให้วิ่งหนีไปยังห้องที่ยังไม่ได้เปิดในบ้านซะ ถ้าเป็นไปได้เขาน่าจะขอความช่วยเหลือจากเย่เวิ่นเทียน แต่ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้จะยังปลอดภัยมากกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรก

หลังจากย้ำเตือนเสร็จหลายครั้งแล้วชายหนุ่มก็วางสายไป

เย่เฟิงรู้สึกรำคาญมากขึ้นไปอีกหลังจากได้ยินเสียงร้องโอดครวญจากเหล่านักเลงปลายแถวสี่คนนี้ ชายหนุ่มเตะพวกมันทีละคนจนสลบไปทั้งหมด ภายใต้แสงอาทิตย์จ้า ณ ที่แจ้งที่มีผู้คนมุงดูหลายคน เขาไม่อาจฆ่าคนตามใจชอบได้ อีกอย่างมันไม่มีความจำเป็นที่จะสร้างเรื่องยุ่งยากด้วยการฆ่าพวกลูกกระจ๊อกเหล่านี้

มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในภูเขา ที่ซึ่งหลี่จวิ้น หลัวลี่ หลัวเล่ยและหลงเสี่ยนถูกฆ่าทิ้งทั้งหมดโดยชายสวมหน้ากาก ที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับการทำอะไรไร้ความคิดเช่นนั้น และเป็นการไม่ให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างตัวเขาและโม่จิ่วเกออีกด้วย

ขณะที่ยืนรออยู่ข้างถนนเพื่อรอชายหน้าบากมารับพลางปล่อยให้ลูกกระจ๊อกสี่คนนอนสลบไสล ทันใดนั้นรถตู้ขนาดกลางค่อยๆขับใกล้เข้าหมู่บ้านมาจากทางถนน

ทันทีที่เย่เฟิงเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มเข้าใจในทันทีว่าต้องเป็นใครสักคนที่มาจากเมืองใกล้ๆเป่าเชี่ยนแห่งนี้ มาเพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกกระจ๊อกสี่คน

พลันเย่เฟิงยิ้มเยาะพวกมัน ก่อนหน้าที่พวกมันเหล่านั้นจะได้ลงจากรถตู้มาหาเขา ชายหนุ่มเคลื่อนตัวชิงรุกใส่เข้าก่อนทันที

ตรงเบาะที่นั่งผู้โดยสายมีชายอ้วนพุงพลุ้ยผมปาดด้วยแว๊กจนเงาราวกับคนยุค 80 ใส่ชุดที่ดูปราณีตและสวมแว่นขอบเงิน ของประดับตกแต่งทั้งหมดทำให้เขาดูราวกับเป็นคนสวยจากสังคมยุคเก่าก็ไม่ปาน

เมื่อเห็นเย่เฟิงปรากฎตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันตรงประตูรถ สายตาของชายอ้วนลงพุงแสดงถึงความตื่นตะลึงจนอดเอามือขึ้นมาขยี้ตาไม่ได้

“ออกมาเร็วๆ”

เย่เฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มเปิดประตูรถแล้วลากตัวชายอ้วนที่ไว้ผมทรงแปลกๆลงมา “แกเป็นลูกพี่ของเจ้าโง่สี่คนนั่นใช่มั้ย? พี่ใหญ่เป่าเชี่ยนรึเปล่า?”

“ใช่แล้ว ฉันเอง…”

ความดุดันของเย่เฟิงทำให้ชายอ้วนกลัวจนหัวหด

ดูเหมือนว่าพวกมันเหล่านี้จะเป็นแก๊งของเมืองเล็กๆที่มีคนสักประมาณร้อยคน ธุรกิจก็คงไม่พ้นเป็นการเก็บค่าคุ้มครอง ไม่ต่างกับลูกกระจ๊อกสี่คนนั่นที่ใช้มีดปอกผลไม้ปล้นคนอื่น ไม่ต้องเอ่ยถึงการฆ่าคนเลย มากไปกว่านั้นจะกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของนักเลงกระจอกสี่คนนั้นก็ไม่ได้เสียทีเดียว เพราะไข่มุกเรืองแสงในตำนานมันน่าเย้ายวนได้เสียขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็คงอยากลองเสี่ยงแย่งชิงมันมาดู

ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของพี่ใหญ่เป่าเชี่ยนแล้ว มันก็แค่คนอ้วนๆคนหนึ่งที่มีตำแหน่งใหญ่ในแก๊งแต่ไม่ได้มีฝีมืออะไรเลย จะเปรียบเทียบกับคนจริงเช่นชายหน้าบากผู้ที่มีศักยภาพที่เหนือล้ำคนธรรมดาได้อย่างไรกัน?

“ว่ากันตรงๆเลยนะ อย่ามาเยอะกับฉันให้มันมากนัก”

เย่เฟิงเตือนมันอย่างซื่อตรง “ถ้าแกไม่อยากตาย ทำตามคำขอฉันหน่อย แล้วก็ทำตัวดีๆด้วยล่ะ”

หลังจากเตือนชายอ้วนเสร็จ เย่เฟิงพลันจับที่ปกคอเสื้อของชายอ้วน แม้ว่าเขาจะพยายามขัดขืนมากแค่ไหนแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สะเทือนไปถึงเย่เฟิงเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าอวบของเขาเริ่มแดงก่ำ ตอนนั้นเองที่มีชายฉกรรย์หลายคนลงมาจากรถแต่ยังไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามทันที

เมื่อเย่เฟิงมองไปที่กลุ่มคนเหล่านี้เขาลอบหัวเราะในใจ และลองเปรียบเทียบพวกมันเหล่านี้กับเหล่าชนชั้นหัวกะทิของอสรพิษสวรรค์ พวกมันเป็นได้แค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้นแหละ

เพียงแค่ให้ลูกน้องระดับเหรียญทองของอสรพิษสวรรค์มาที่นี่คนเดียวก็สามารถจัดการพวกมันได้กว่า 4-5 คนแล้ว หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ

ตอนนี้กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นล้อมเขาและมองด้วยสายตาที่ระแวดระวัง พวกเขาพยายามข่มขู่เย่เฟิงให้เปล่าชายอ้วนไปพร้อมกับพยายามมองหาโอกาสช่วยเจ้านาย

น่าเสียดายเย่เฟิงไม่ใช่คนที่ชอบเปิดจุดอ่อนให้ผู้อื่นแม้แต่เล็กน้อย

ชายหนุ่มหัวเราะเยาะขณะจับกุมตัวชายอ้วนไว้ เขาดูสงบนิ่งและสบายๆราวกับชายอ้วนที่ถูกจับกุมอยู่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ

ภาพที่เห็นทำให้คนในหมู่บ้านที่มองมายังเหตุการณ์ตรงหน้าตะลึงงึงงันอย่างแท้จริง พวกเขาคิดว่าชายหนุ่มที่ดูเยาว์วัยคนนี้บ้าบิ่นเสียจริง แถมเขายังจับตัวพี่ใหญ่แห่งกลุ่มเป่าชานได้อย่างง่ายๆอีก เขาไม่กลัวเลยงั้นหรือ?

เมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดที่พร้อมจะแตกหัก ทันใดนั้นชายหน้าบากพร้อมกับรถฮัมเมอร์ H2 ขับเข้ามาด้วยความเร็วสูงในลักษณะที่น่าเกรงขาม!

…………………….

แปลโดยทีมงาน GSI

Solar Spark: ยอมรับเลยครับว่าเรื่องนี้น้ำเยอะเหมือนกัน -*-