บทที่ 78: สงครามเผ่าพันธุ์ (1)

 

 

 

ตูมมมม!

ฮันซูเริ่มฟาดฟันไปยังเกราะตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ร่างโคลนมองการโจมตีที่สาดซัดเขามาพร้อมกับกัดฟันกรอด

‘เวรเอ้ย แม่งน่ารำคาญชะมัด’

ทหารพันเกราะนั้นแข็งแกร่ง

มันชัดเจน

เมื่อมันคือเกราะที่ปกป้องราชา

ถูกปกป้องโดยทหารพันเกราะและสั่งเหล่าทหารที่ใช้อุปกรณ์จากภายในทหารพันเกราะ

แม้ว่าเกราะนั้นจะเหมาะสมกับการเป็นสมบัติของราชา มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาในการเอาชนะหมอนั่นด้วยร่างในปัจจุบัน ในสถานการณ์ที่เขาไม่มีทหารใดๆ และลูกแก้วเจ็ดดาราถูกแย่งชิงไปด้วยมานาโค้ด

‘ทำแบบนี้ไม่ได้ ข้าต้องออกไป’

ร่างโคลนขบฟันแน่น

หมอนั่นไม่ได้รีบ

แม้ว่าเกราะจะปกป้องเขาได้ในตอนนี้ เขาก็จะถูกกระหน่ำโจมตีจนตายในที่สุด

เขาไม่อาจตายในสถานที่แบบนี้ได้

‘ข้าล้มเหลวไม่ได้’

เขาไม่แม้กระทั่งรู้ว่าร่างต้นแบบของเขากำลังทำอะไรอยู่

แต่จากที่เขาเห็น ดูดเหมือนว่าหมอนั่นจะล้มเหลวในสถานที่แห่งนี้

เมื่ออะไรแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเขายังมีชีวิตอยู่

‘ข้าตายที่นี่ไม่ได้… เพื่อคน 1.6 พันล้านคนที่เฝ้ารอความสำเร็จของข้า’

เขามายังโลกใบนี้เพียงแค่วิญญาณเพราะแบบนี้

และเพราะแบบนั้น เขาจึงได้ต่อสู้กับเอลวินไฮลม์ทั้งหมดที่นี่ด้วยตนเอง

เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เขา

‘ข้าจะจบมันทั้งหมด’

ร่างโคลนกัดฟันกรอด

‘เวรเอ้ย… ถึงข้าจะไม่อยากเสียทหารพันเกราะไป…’

ร่างโคลนตะโกน

“สืบทอดทหารพันเกราะ!”

ทันทีที่สิ้นคำ เกราะที่ล้อมรอบร่างโคลนก็เริ่มที่จะแยกตัวออกด้วยความเร็วสูง

จากนั้นมันจึงเลื้อยไปตามดาบสีทองที่ฟาดฟันมายังเขา และยืดตรงไปยังร่างของฮันซู

เกล็ดสีเงินรีบเคลื่อนย้ายจากร่างโคลนไปยังร่างของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

และไม่ช้า ร่างของฮันซูก็ถูกปกคลุมไปด้วยเกราะของราชา ทหารพันเกราะ

ครึ่ก ครึ่ก

ฮันซูพยายามที่จะขยับ แต่เกราะสีเงินนั้นได้กลายเป็นคุก ไม่อนุญาตให้เขาเคลื่อนไหว

การสืบทอดพลัง

เป็นระยะเวลายามที่ทหารพันเกราะตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ครอบครองเพื่อเกราะนั้น

เขาได้รับพลังจากทหารพันเกราะด้วยวิธีการเช่นนี้เช่นกัน

คนที่สวมใส่จะผ่านการทดสอบคุณสมบัติเพื่อกลายเป็นผู้ครอบครองของทหารพันเกราะในขณะที่อยู่ด้านใน

แม้ว่าเจ็ดจากสิบคนมักจะตายในกระบวนการอันตรายนั่น แต่เขาไม่คิดว่ามนุษย์ผู้นั้นจะล้มเหลวแม้แต่น้อย

ครึ่ก ครึ่ก ครึ่ก

ร่างโคลนรีบหันศีรษะไปเมื่อเห็นเกราะเริ่มส่งเสียงแหลม

ถ้าหมอนั่นใส่ทหารพันเกราะ พลังต่อสู้ของมันก็จะเพิ่มไปอยู่ที่ระดับ 10

แม้ว่าหมอนั่นจะไม่อยู่ในระดับ 12 เหมือนมัจฉาภัยพิบัติและเข้าสู่ระดับภัยพิบัติ แต่เขาจะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับเมืองๆ หนึ่งได้

หากคนร้อยคนมุ่งไปยังหมอนั่น ทั้งหนึ่งร้อยก็จะถูกฆ่าตาย

‘หนีผ่านเทเลพอร์ต’

ในเมื่อรากกลืนและคายหยุดเคลื่อนไหวแล้ว มันจึงเป็นไปได้ที่จะเทเลพอร์ต

แม้ว่าเขาจะเป็นร่างโคลนและไม่มีใบของต้นไม้โลก มันก็ยังคงเป็นไปได้ในการที่จะเทเลพอร์ตตัวเองไปด้วยเซลล์ในร่างกายของเขา

‘ข้าเดาว่า… ข้าคงเอาสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยไม่ได้’

ร่างโคลนมุ่นคิ้ว

สะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีตัวป้องกันที่ไม่อนุญาตให้ร่ายเวทย์เทเลพอร์ตผ่านต้นไม้โลกใส่เพื่อป้องกันการขโมย

มันชัดเจน ในเมื่อมันจะกลายเป็นหายนะถ้ามีไอ้บ้าคนหนึ่งพุ่งเข้ามาและเทเลพอร์ตหายไปพร้อมกับสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์

ร่างโคลนพุ่งขึ้นไปด้านบนอย่างบ้าคลั่ง

เขาคิดจะใส่สะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์กลับเข้าไปในรากกลืนและคาย แต่เขาอาจจะถูกจับถ้าเขาทำแบบนั้น

ร่างโคลนที่วิ่งผ่านร่างหลักของรากกลืนและคายวางมือทั้งสองของเขาลงบนรากต้นไม้โลกที่อยู่เหนือมัน

วิ้ง

ราก้นไม้โลก ที่เริ่มปรากฏสีเดินขึ้นเลือนรางหลังจากที่รากกลืนและคายหายไปได้ทำงานจากการกระตุ้นของร่างโคลน

‘แล้วข้าจะไปเจอเจ้าทีหลัง’

ร่างโคลนกัดฟันกรอดขณะที่เห็นอีกฝ่ายสืบทอดเสร็จสิ้น

เขาและหมอนั่นอยู่ร่วมกันไม่ได้

ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะรวบรวมรีลิคและสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์

เขาต้องการรีลิคและสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่หมอนั่นมีเพื่อเผ่าพันธุ์ของเขา

‘เวรเอ้ย ร่างต้นแบบล้มเหลวได้ยังไง’

ความทรงจำที่เหลืออยู่มีเพียงการที่เขามอบยีนส์ให้กับรากกลืนและคาย

เขาไม่มีทางรู้ว่าร่างต้นแบบทำอะไรหลังจากนั้น

เมื่อต้นไม้โลกได้แห้งเหี่ยวลง และเอลวินไฮลม์ได้ถูกทำลาย มันดูเหมือนว่าเป้าหมายของเขาเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว

แต่ทำไมมันถึงไม่มีเผ่าพันธุ์ของเขาแม้แต่คนเดียว

‘อย่างแรก… ข้าจะไปที่ดอกไม้’

จากนั้นร่างโคลนจึงหายไปโดยสิ้นเชิง

ไม่ช้า เกราะสีเงินก็ส่งเสียงกรีดแหลมขึ้นและแรงบดขยี้ที่ราวกับพยายามจะทำลายร่างข้างในก็ได้หยุดลง

จากนั้นมันจึงแยกชิ้นส่วนอย่างรวดเร็วและเริ่มรวมตัวกันที่มือของเขา

จากนั้นกุญแจขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นในมือของฮันซู

ฮันซูรีบตรวจสอบรอบกายของเขาเพื่อรับรู้สถานการณ์ปัจจุบัน

‘ชิ มันหนีไปแล้ว’

ในเมื่ออีกฝ่ายทิ้งสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ดูเหมือนว่ามันจะหนีไปด้วยการเทเลพอร์ต

เมื่อมันไม่มีทางที่จะไม่เอามันไปถ้ามันจะหนี

ฉึก กริ้ก

ฮันซูแทงกุญแจเข้าไปในอากาศและหมุนไปทางขวา

จากนั้นหลุมดำก็ปรากฏขึ้นในอากาศ

เมื่อเขาเพ่งความสนใจ ลูกแก้วเจ็ดดารารอบๆ ก็ถูกดูดเข้าไปในหลุมนั้น

‘ฉันไม่คิดว่าฉันจะใช้มันโจมตีได้’

แค่การคงคลื่นมานาไว้ก็เป็นปัญหามากพอแล้ว

มันไม่มีทางที่เขาจะใช้ลูกแก้วเจ็ดดาราในการโจมตีร่างโคลนได้เมื่อเพียงแค่คำสั่งเก็บอย่างเดียวก็สร้างความเจ็บปวดให้ศีรษะเขาอย่างมาก

เหตุผลที่ร่างโคลนสามารถใช้ไอ้พวกนี้ในการโจมตีได้เป็นเพราะมันถูกสร้างขึ้นจากเซลล์ของคนที่พิเศษอย่างมาก

มันดีกว่าที่เขาจะให้ความสนใจกับแค่รีลิคและสู้ด้วยพวกมัน

ฮันซูจัดระเบียบความคิดของเขา จากนั้นจึงหมุนกุญแจไปทางซ้าย

กริ้ก

จากนั้น เกล็ดสีเงินก็พลันปรากฏขึ้นครอบคลุมทั่วทั้งร่างของชายหนุ่ม

หนึ่งในสองสมบัติของราชา

ทหารพันเกราะ

บางทีอาจเป็นเพราะชิ้นอื่นเป็นแบบจำลอง คุณสมบัติของมันจึงคล้ายคลึงกับนักกินอาวุธที่เขารู้จัก

มันจะเติบโตขึ้นด้วยการกินอุปกรณ์

มันจะแข็งขึ้นเรื่อยๆ และเปลี่ยนสีเมื่อมันกินเพียงพอ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นอาร์ติแฟคของเขตต่อไป

มันจะพัฒนาหนึ่งครั้งต่อการกินอุปกรณ์นับแสนชิ้น

มันกินเพียงแค่วัตถุดิบดีๆ ในอุปกรณ์เหล่านั้น และจากนั้นจึงสร้างเกราะที่เหมาะสมกับร่างกายของผู้ครอบครอง

แน่นอนว่ามันจะแข็งมากขึ้น และเป็นสื่อมานาได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับเกราะอื่นๆ

และความสามารถพิเศษของทหารพันเกราะ

ฮันซูนำดาบที่ถูกลืมออกมาจากคลังแสง จากนั้นจึงเหวี่ยงมันเบาๆ ไปที่ร่างของเขา

วูบ

ทันทีที่เขาเหวี่ยงดาบ ผิวนอกของเกราะก็เปลี่ยนไป

เป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับการป้องกันการโจมตี

เคร้ง

‘อย่างที่ฉันคิด’

มันจะเพิ่มความป้องกันต่ออาวุธที่มันเคยกินหรือคุ้นเคย

ดูเหมือนว่ามันจะคยกินดาบที่ถูกลืมมาก่อน เมื่อมันมีการป้องกันต่ออาวุธชิ้นนี้แล้ว

เกราะที่สมกับเป็นเกราะ

แม้ว่ามันจะไม่มีสกิลพิเศษมากมาย แต่มันเป็นแบบที่ฮันซูชอบ

‘ฉันไม่คิดว่าฉันต้องให้มันเพิ่ม’

ดูเหมือนว่าทหารพันเกราะจะพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดของเขตสีแดงแล้ว

มันจะกลายเป็นปัญหามากกว่าถ้ามันพัฒนาไปมากกว่านี้

เมื่อรูนของเขายังคงเป็นสีแดงอยู่

ฮันซูหยุดตีเกราะ จากนั้นจึงคิดถึงแผนต่อจากนี้

แผนต่อไปคือการฆ่าภัยพิบัติที่สาม

มันมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาต้องทำที่รากที่นี่

‘อย่างแรก ฉันต้องทำให้อูโรโบรอสอ่อนแอลง’

<อูโรโบรอส>

ภัยพิบัติที่สามที่ใหญ่เสียจนมันพันตัวเองไปรอบลำต้นของต้นไม้โลก

เขาต้องการการเตรียมการเล็กน้อยเพื่อต่อกรกับงูยักษ์นั่น

‘อย่างแรก พิษ’

ฮันซูรีบวิ่งไปยังส่วนล่างของรากต้นไม้โลก

เมื่อภัยพิบัติทั้งสองที่ดูดน้ำพิษหายไป ต้นไม้โลกก็ดูดซึมน้ำพิษในปริมาณที่ไม่อาจเทียบเท่าได้กับก่อนหน้า

พรืด พรืด

ฮันซูรวบรวมศพรอบๆ และนำมากองสุมกันไว้

ในเมื่อมันมีศพจำนวนมากรอบๆ โรงงานจากการต่อสู้ก่อนหน้า

ฮันซูที่รวบรวมสิ่งต่างๆ ได้ผสมหัวใจของลูกมัจฉาภัยพิบัติเข้าไป และสร้างของเหลวสีดำขึ้นมา

จากนั้นเขาจึงฟันรากต้นไม้โลกด้วยรีลิคของกาลาเดรียง

ซ่า

ชายหนุ่มเทของเหลวในมือของเขาเข้าไปหลังจากเห็นการไหลของน้ำพิษที่มุ่งเข้าไปในลำต้นด้านใน

‘เสร็จแล้ว’

พิษที่ถูกผสมขึ้นนั้นไม่ได้เป้นพิษด้วยตัวเอง

แต่เมื่อมันสัมผัสกับน้ำทะเลพิษ มันก็จะทำงานและกลายเป็นบางสิ่งที่ส่งผลร้ายต่ออูโรโบรอส

มันเหลือเวลาไม่มากก่อนที่พิษนี้จะเข้าไปยังท้องของอูโรโบรอสที่จะดูดน้ำพิษด้วยเขี้ยวของมันจากส่วนในของลำต้น น้ำพิษนับแสนตันจะกลายเป็นพิษร้ายและเข้าไปสู่ท้องของมัน

‘แม้ว่ามันจะไม่ใกล้กับคำว่าพอก็ตาม’

ความจริงแล้ว เขาได้วางแผนที่จะทำมากเท่าที่เขาทำในจุดนี้

แต่มันดูเหมือนว่าเขาต้องเปลี่ยนแผนนับตั้งแต่ตอนนี้

เมื่อบางอย่างที่คาดไม่ถึงได้เกิดขึ้น

‘ร่างโคลน หืม’

ฮันซูขมวดคิ้ว

แม้ว่าหมอนั่นจะเป็นร่างโคลน มันก็ยังคงมีพลังมากมาย ในเมื่อมันมีเซลล์ของร่างต้นแบบ

เขารู้ทันทีที่เห็นมันวิ่งไปทางเทเลพอร์ต

‘ฉันไม่รู้ว่าหมอนั่นจะใช้วิธีอะไร’

สิ่งเดียวที่เขาได้ยินจากเอลวินไฮลม์นั้นคือผู้ร่วงหล่นได้พยายามที่จะใช้มภัยพิบัติในการเปลี่ยนต้นไม้โลกให้เหี่ยวเฉา และบีบบังคับให้เอลวินไฮลม์สูญพันธุ์

เอลวินไฮลม์เองก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าทำไมราชาของพวกเขาจึงได้บ้าคลั่งขึ้นมากะทันหัน และพยายามกวาดล้างพวกเขาทั้งหมด

‘ชิ มันมีข้อจำกัด’

ทั้งเอลวินไฮลม์และมนุษย์ พวกเขาล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ร่วงหล่นและเดินทางไปทั่วอบิส

เหล่าผู้ที่พ่ายแพ้นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้บางอย่าง และเพราะพวกเขาขาดบางอย่าง

แน่นอนว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโลกใบนั้น

งานของเขาคือการวิ่งไปในขณะที่เติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น

‘ถึงฉันจะพอเดาได้ว่าฉันรู้อะไรบางอย่าง’

เขาไม่มีทางรู้ว่าหมอนั่นคิดอะไร และจะทำอะไร

เขายังไม่รู้ว่าพลังของร่างโคลนและร่างต้นแบบนั้นแตกต่างกันมากแค่ไหน

แต่การกระทำของร่างโคลนนั้นชัดเจน

มันต้องการรีลิคในมือของเขา

ซึ่งหมายความว่าร่างโคลนต้องการรีลิคในมือของเขาเพื่อเป้าหมายของมัน และจะต้องมาหาเขาอย่างแน่นอน

‘ฉันไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของหมอนั่นทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นหรือยากขึ้น’

เขาได้รับหลายๆ อย่างจากการปรากฏตัวของหมอนั่น

ด้วยทหารพันเกราะ รีลิคสามชิ้น และสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ มันจะง่ายขึ้นในการผ่านระบบป้องกันของมัจฉาภัยพิบัติที่เขาฝ่าออกมาได้อย่างกล้ำกลืนหลังจากที่เทพิษเข้าไป

พลังโดยรวมของเขาแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งระดับเมื่อเทียบกับตอนที่เขาใช้การกลายพันธุ์

เขายังได้รับคลังแสงและอุปกรณ์ภายในก็นับเป็นผลประโยชน์ที่ใหญ่โต

แต่เขาไม่รู้ว่าหมอนั่นที่มีความประสงค์ร้ายต่อเขาอย่างชัดเจนจะส่งผลต่อเขายังไงและเมื่อไหร่

‘ฉันเดาว่าฉันคงต้องระวังหน่อย’

ถ้าหมอนั่นใช้วิธีการอะไรบางอย่าง คำใบ้ต้องปรากฏออกมาในรูปแบบหนึ่ง

‘ฉันเดาว่าฉันคงต้องหาความช่วยเหลือ ยังไงก็ตาม พวกนั้นจะมีปฏิกิริยายังไงนะ’

ผู้คนจะกลิ้งไปในทางเดียวกันถ้าอยู่ในเรือลำเดียวกัน แต่เรื่องมันจะเปลี่ยนไปเมื่อเรือนั้นถึงฝั่งแล้ว

ฮันซูเก็บสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังไมเคิลที่กำลังเดินเอ้อระเหยอยู่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ยอดต้นไม้โลก

แม้ว่ามันจะแห้งลงแล้ว มันก็ยังคงสูงเหนือเมฆ

ดอกไม้ดอกหนึ่งได้ผลิบานอยู่บนนั้น

แม้ว่ามันจะดูเล็กเมื่อเทียบกับต้นไม้โลก แต่ดอกไม้สีชมพูนี้กลับมีขนาดถึง 1 กิโลเมตร

ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนขอบต้นไม้โลก สถานที่ที่ดอกไม้งอกออกมา

ร่างโคลนที่หนีออกมาโดยใช้เทเลพอร์ต

มันแสดงสีหน้าย่ำแย่ไม่น้อย

“… ไม่อนุญาตให้เข้า?”

สถานที่อยู่ที่อนุญาตให้เพียงราชา <ดอกไม้> เข้าเท่านั้น ถูกปกคลุมไปด้วยเกสรนับหมื่นราวกับว่ามันจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดเหยียบย่างเข้าไป

แม้ว่ามันจะดูงดงาม โครงสร้างของมันก็ถูกสร้างขึ้นจากพลังงานจำนวนมหาศาล

หากใครที่ไม่ได้รับอนุญาตแตะมัน พวกเขาก็จะถูกแผดเผาจนหายไป

มีคนเพียงสองคนที่สามารถเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระ

ราชา

และผู้ดูแลที่ได้รวบรวมกุญแจทั้งห้า และมีคุณสมบัติในการเอ่ยอ้างถึงการครอบครองบัลลังก์

กระทั่งห้าแม่ทัพพยัคฆ์ยังไม่อาจเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้โดยที่ราชาไม่อนุญาต

และร่างโคลนมั่นใจเพราะแบบนี้

เมื่อร่างของเขาถูกสร้างขึ้นจากเซลล์ของร่างต้นแบบที่เป็นราชา

แต่การที่เขาไม่อาจเข้าไปได้

หากเขาไม่หยุดเพราะลางสังหรณ์กลางคัน งั้นเขาก็คงถูกเผาจนตายไปในเสี้ยววินาทีแล้ว

‘เวรเอ้ย… มันเกิดอะไรขึ้น’

เขาเชื่อว่าความทรงจำนั้นเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ แต่เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ เขาก็ทำได้เพียงรู้สึกเศร้ากับความทรงจำโล่งว่างในสมอง

มันมีทางเดียวในตอนนี้

‘ข้าต้องรวบรวมกุญแจ’

รีลิคสามชิ้นที่หมอนั่นมี

เขาต้องฆ่าหมอนั่นเพื่อที่จะรวบรวมมันทั้งหมด

และเขาต้องการพลังเพื่อที่จะทำแบบนั้น

พลังที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นวิธี แต่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะบดขยี้หมอนั่นในเสี้ยววินาที

‘การเทเลพอร์ต… คงจะยากหน่อยในตอนนี้’

มันมีความเครียดเกิดขึ้นในร่างกายมากเกินไปเมื่อมันเป็นการเทเลพอร์ตผ่านร่างกายของเขาอย่างเดียว ไม่มีใบไม้

แต่เขาไม่มีเวลาที่จะรอให้มันคูลดาวน์

‘ไปที่อูโรโบรอส’

ร่างโคลนเริ่มที่จะวิ่งลงไปจากต้นไม้โลก

และมันคิดขึ้นระหว่างทางลง

แม้ว่ามันจะไม่มีความทรงจำใดๆ แต่ความจริงได้ปรากฏให้มันเห็น

เผ่าพันธุ์ของมันไม่ได้อยู่ที่นี่

ร่างต้นแบบล้มเหลวอย่างชัดเจน

‘ร่างต้นแบบที่ล้มเหลวไม่มีคุณสมบัติอีกต่อไป ข้าจะ… รับนามนั้นไปเอง’

จากนั้นร่างโคลนจึงคิดถึงร่างต้นแบบที่เป็นเจ้าของร่างกายและความทรงจำของมัน

คนที่ถูกเรียกว่าราชาองค์สุดท้ายแห่งเอลวินไฮลม์ในโลกนี้

<อารันเทลเฮียม>

ไม่สิ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ชื่อนั้นอีก

ชื่อที่มาก่อนหน้านั้น

ชื่อก่อนที่เขาจะข้ามมาพร้อมด้วยความหวังของเผ่าพันธุ์เขา และได้ถือกำเนิดเป็นเอลวินไฮลม์ ยามเมื่อเผ่าพันธุ์ของเขา <อคารอน> กำลังจะสูญพันธุ์จาภัยพิบัติใหญ่หลวง

<เตกิลอน>

‘ตอนนี้… ฉันคือเตกิลอน’

เตกิลอนเริ่มที่จะวิ่งลงไปอย่างรวดเร็วกว่าเดิมเมื่อคิดเสร็จ

เพื่อที่จะได้รับพลังของอูโรโบรอส งูยักษ์ที่ขดตัวอยู่รอบลำต้นนั่น

 

 


TL: ทะ… ทำไมถึงรู้สึกได้ถึงรูท SM ขึ้นมาตงิดๆ ล่ะคะ แอร๊