บทที่ 75: โรงงาน (1)

 

 

 

ฟิ้วววว

รีลิคของเอคิดรังลอยตรงมายังฮันซูที่กำลังวิ่งเหยียบศีรษะของผู้อื่นราวกับอุกกาบาต

ฟุ่บ

ฮันซูเหวี่ยงดาบสีทองของตน เล็งตรงไปยังลูกแก้ว

แคร่ก

ดาบที่รุนแรงนั้นได้ตัดรีลิคออกเป็นสองส่วน

ทว่าชายหนุ่มก็รีบก้มศีรษะหลบเศษรีลิคนั้น

เมื่อรีลิคที่ถูกตัดออกเป็นสองส่วนได้พยายามพุ่งตรงเข้าไปบดขยี้ศีรษะของเขา

‘ฉลาด มันจงใจลดม่านมานาลง’

มันสลายม่านมานาลงเพื่อที่ลูกแก้วจะได้ถูกตัดง่ายขึ้น จากนั้นจึงพยายามโจมตีฮันซูด้วยความเร็วที่เหลือ

และทันทีที่มันล้มเหลว อีกฝ่ายก็มองหาโอกาสต่อไปในทันที

ลูกแก้วที่ถูกตัดออกได้ฟื้นฟูกลับไปเป็นเหมือนเดิมนานแล้ว

เอคิดรังมองหาโอกาสต่อไปขณะที่สาดการโจมตีเข้าไปยังศัตรูอย่างกราดเกรี้ยว

‘ถ้านายทำแบบนั้น งั้นเรื่องก็มันเปลี่ยนไป’

ฮันซูมองไปยังลูกแก้วที่บินตรงมาหาเขาอย่างละเอียด

ในตอนที่ลูกแก้วนั้นเกือบจะมาถึงตัวเขา ชายหนุ่มก็เก็บดาบของเขา

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เหยียบขึ้นไปบนลูกแก้วที่พุ่งตรงเข้ามาและใช้แรงจำนวนมหาศาลกดมัน

ตูม

‘อั่ก’

มันเจ็บราวกับว่ากระดูกขาของเขาหักลง

ซึ่งหมายความว่ามันไม่เพียงพอในการทำให้กระดูกขาของเขาหัก

หากมันถูกปกคลุมด้วยม่านมานา มันอาจจะทำลายขาของเขาได้ แต่ไอ้หมอนั่นได้สลายม่านมานาลง

ฮันซูส่งแรงลงไปที่ต้นขาให้มากขึ้นขณะที่เหยียบอยู่บนลูกแก้ว

เฟี้ยว

ในเวลาเดียวกัน ร่างของชายหนุ่มก็พุ่งตรงไปยังหัวใจด้วยความรวดเร็ว

ตูม!

ลูกแก้วได้ไล่ล่าร่างของฮันซูที่ทะยานออกไปอย่างต่อเนื่องและพยายามที่จะกำจัดเขา ทว่าชายหนุ่มได้กระโดดหลบการโจมตีเหล่านั้นอย่างฉิวเฉียดพร้อมกับดึงรีลิคของกาลาเดรียงกลับออกมา

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ

ความรู้สึกที่เขาได้รับจากคมดาบนั้นราวกับการทำลายรังไหมภายในหัวใจของมัจฉาภัยพิบัติ

กล้ามเนื้อ เมือก และเส้นเอ็นแข็งจำนวนมากมายได้ครอบคลุมหัวใจเอาไว้

สถานการณ์ที่เขาต้องทำลายสิ่งที่คล้ายกับหลุมหลบภัย

ทว่ารีลิคที่อยู่ในมือของเขาและรีลิคที่เกิดใหม่จากพลังของสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในด้านของความแข็งแกร่ง

หัวใจได้ถูกผ่าออกด้วยดาบสีทองพร้อมด้วยเสียงฉีกขาด

<!!!!!!>

ในเวลาเดียวกัน หัวใจที่กำลังเต้นด้วยความเร็วปกติได้เริ่มที่จะเต้นอย่างรวดเร็วเมื่อมันถูกกระตุ้นจนปั่นป่วน

ปัญหาคือมันไม่ใช่สิ่งเดียวที่ถูกกระตุ้น

กองทัพเอลวินไฮลม์รอบๆ เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใต

ครึ่ก

กล้ามเนื้อได้พองตัวขึ้น ดวงตาที่เคยเหม่อลอยเริ่มปรากฏแวว

หูที่เคยลู่ตกได้เริ่มยกสูงขึ้นเล็กๆ ด้วยพลังการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้น ราวกับมันกำลังพยายามที่จะแทงทะลวงสรวงสวรรค์

และสองแม่ทัพพยัคฆ์ที่นำกองทัพเอลวินไฮลม์ก็เช่นกัน

ร่างของฟาเบียนที่ใหญ่โตอยู่แล้วได้ครอบคลุมร่างที่ใหญ่โตขึ้นของเขาด้วยม่านมานาพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาฮันซู

ฮันซูที่กำลังหั่นหัวใจอยู่รู้สึกได้ถึงหมัดที่แหวกฝ่าอากาศมาของฟาเบียนเบื้องหลัง ทว่าเขาไม่ได้หลบมัน

ความจริงแล้วเขาปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีดดยที่เกร็งร่างรอรับอยู่แล้ว

พลั่ก

‘ฮะ…อึ่ก!’

ฮันซูรู้สึกว่าสติของเขาสั่นสะท้านจากหมัดที่ราวกับพยายามทะลวงเข้าไปภายในร่างกายของเขา

ริลิคของฟาเบียนนั้นโดดเด่นในการป้องกัน ไม่เหมือนดาบของกาลาเดรียง ทว่าเมื่อเกราะที่ทรงพลังรวมเข้ากับความสามารถทางกายภาพที่ยอดเยี่ยม ร่างกายของอีกฝ่ายก็กลายเป็นเหมือนอาวุธไป

ทว่าฮันซูรับการโจมตีของฟาเบียนและรับรู้ความรู้สึกจากทั่วร่าง

เขาไม่ตาย

แม้ว่าสีข้างของเขาจะเปิดออก หมอนั่นก็เข้ามาใกล้มาก

‘ฉันไม่สามารถทำลายหัวใจได้ถ้าไอ้หมอนี่ยังมีชีวิตอยู่!’

ชายหนุ่มได้ควบรวมแสงสีทองบนดาบทั้งหมด

มานาที่แพร่กระจายไปทั่วทุกทางจากรีลิคและสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มรวมตัวกันในดาบของเขา

“หือ? พลังสนับสนุนนี่มันอ่อนลงรึเปล่า?”

“ฮันซูนั่นยังอยู่ดีไหม?”

ผู้คนที่ต่อสู้อยู่ชะงักไปชั่วขณะเมื่อคลื่นมานาได้อ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน

ในเวลานั้น ฮันซูที่ได้รวมมานาที่แพร่กระจายไปตามคลื่นมานาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ได้ฟาดดาบสีทองไปยังร่างของฟาเบียน

เมื่อตอนนี้ร่างของเขาเหมือนจะระเบิดถ้ายังรวบรวมมันไปมากกว่านี้

ฉัวะ!

<!!!!>

ดาบมานาที่ฮันซูเหวี่ยงไปนั้นได้ตัดผ่านลำคอของฟาเบียน

พรวด

แม้ว่าเกราะที่อยู่รอบลำคอของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่ง มันก็ไม่แข็งแกร่งเท่ากับการโจมตีที่ฮันซูเอาชีวิตเข้าเสี่ยง

แคร่ก

รอยตัดสีแดงปรากฏขึ้นบนลำคอของฟาเบียน

ทว่าฮันซูมุ่นคิ้ว

‘มันฟื้นฟูด้วยเหรอ?’

เอลวินไฮลม์ส่วนมากหยุดการเคลื่อนไหวหลังจากถูกตัดคอ

แต่คอของฟาเบียนกำลังฟื้นฟูโดยที่มีเกราะคอยประคองให้มันอยู่ที่เดิม แม้ว่าเขาจะตัดคอของอีกฝ่ายแล้ว

‘มันเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นสัตว์ประหลาด’

ตูมมม!

ขณะที่ฮันซูกำลังจะเคลื่อนไหวร่างกายของเขาเพื่อที่จะจัดการฟาเบียนอย่างสมบูรณ์ ลูกแก้วเจ็ดลูกก็ได้พุ่งมายังเขาด้วยความเร็วเหลือเชื่อ

เอคิดรังได้ส่งลูกแก้วทั้งหมดออกมา รวมทั้งลูกที่ปกป้องร่างกายของเขา หลังจากลนลานเมื่อเห็นร่างของฟาเบียนเริ่มแยกชิ้น

ฮันซูเดาะลิ้น จากนั้นจึงกระโดดไปยังหัวใจที่เขากำลังหั่นอยู่

จากนั้นจึงเริ่มเหวี่ยงดาบไปทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

ฉึก!

รีลิคของเอคิดรังไล่ตามฮันซูเข้าไปในหัวใจ พยายามที่จะบดขยี้ร่างของศัตรู ทว่าไม่อาจเคลื่อนไหวได้เช่นก่อนหน้า

เมื่อโครงสร้างที่เปราะบางก็อาจถูกทำลายได้ในการโจมตีฮันซู

หัวใจนั้นใหญ่เทียบเท่ากับตึกเล็กๆ ตึกหนึ่ง ทว่ามันไม่ใหญ่พอสำหรับลูกแก้วของเอคิดรังที่ราวกับดาวหางในการขยับเคลื่อนไหวตามใจ

ฮันซูหลบหลีกและถูกโจมตีจากลูกแก้วขณะที่เขาเริ่มฉีกกระชากภายในของหัวใจ

<!!!>

หัวใจนั้นเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวหนักกว่าเก่าขณะที่มันพยายามควบคุมเอลวินไฮลม์จำนวนมากขึ้นให้ตรงมา ทว่ามันไม่เพียงพอ

รูที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นนั้นไม่ได้ใหญ่โตเท่าใด

แม้ว่าเขาจะค่อยๆ ทำลายภายใน มันก็ไม่ใหญ่พอให้เอลวินไฮลม์จำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไป

<!!!!….>

หัวใจเริ่มสูญสิ้นกำลังของมันเมื่อภายในถูกทำลายทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย

จากนั้นการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มต้นขึ้น

“ไอ้พวกนี้ช้าลงมาก! สร้างระยะห่างให้มากขึ้น!”

“พวกมันไม่ฟื้นฟูแล้ว! เราไม่จำเป็นต้องสู้กับพวกมันตรงๆ! แค่โจมตีจากไกลๆ!”

เมื่อพลังงานที่ส่งมาจากหัวใจหยุดลง ความเร็วในการฟื้นฟูก็เชื่องช้าลง รวมทั้งความเร็วในการเคลื่อนที่

ฮันซูทำลายหัวใจ จากนั้นจึงเริ่มวิ่งออกไปด้านนอก

จากนั้นเขาจึงพุ่งตรงไปยังฟาเบียนที่เกือบจะฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว

ฉัวะ!

ฟาเบียนพยายามที่จะต่อต้าน ทว่าเขาไม่อาจขยับได้เมื่อเขาต้องการพลังงานจำนวนมากกว่าคนอื่น

ดาบของฮันซูตัดข้อมือข้ออีกฝ่ายลง

ในเวลาเดียวกัน รีลิคที่อยู่ที่ข้อมือก็ร่วงลงมาเช่นกัน

ข้อมือที่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งจากเกราะมากกว่าส่วนอื่น ทว่าไม่อาจคงไว้ได้เมื่อพลังงานได้ถูกตัด

ฮันซูรีบเปลี่ยนรูปแบบดาบขณะที่เขาคว้าเอาสร้อยข้อมือที่อยู่บนมือข้างนั้นออกมาให้ตัวเอง

จากนั้นจึงรีบใส่มัน

คว้างงง!

มานาที่กำลังอาละวาดเผาผลาญภายในร่างกายของชายหนุ่มราวกับว่ากำลังจะระเบิดออกได้สงบลงอย่างรวดเร็ว

ความสามารถในการควบคุมสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพิ่มขึ้นมากเมื่อรีลิคเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองชิ้น

เหมือนกับการยืนยันว่าการควบคุมนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงสองเท่าจากรีลิคสองชิ้น พายุมานาที่ทรงพลังได้สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมของชายหนุ่ม

‘ฟู่ว’

ฮันซูถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะมองเส้นมานาที่กำลังสงบลงอย่างรวดเร็ว

จำนวนมานาที่สามารถใช้ได้นั้นจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นสองเท่าหากเขาใช้รีลิคสองชิ้น

เขาจะสามารถส่งมานาได้มากขึ้นเมื่อการมีรีลิคสองชิ้นทำให้เขาควบคุมสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ได้ง่ายขึ้นมาก

‘มันยอดเยี่ยม’

ฮันซูพึมพำอยู่ภายในขณะที่เขามองดาบมานาที่ส่องสว่างราวกับจะระเบิดออก

มันกลายเป็นแบบนี้ทั้งๆ เขาเพิ่งจะรวบรวมมันได้เพียงสองชิ้น

เขาไม่อาจกระทั่งจินตนาการได้ว่าเขาจะสามารถทำอะไรได้หากเขารวบรวมรีลิคได้ครบห้าชิ้นและได้รับพลัง <ผู้ดูแล> อย่างสมบูรณ์

ฮันซูที่มองไปยังมานาที่ถูกเติมเต็มไปทั่วร่างของเขา มองไปยังเอคิดรังที่อยู่ห่างออกไปควบคุมลูกแก้วทั้งเจ็ดอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

 

 

“แฮ่ก… แฮ่ก”

ไมเคิลมองไปยังลูกกิลด์รอบๆ ขณะที่เขาหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง

แม้ว่าพวกเขาจะหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน การต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็วแม้ว่าพวกเขาจะดิ้นรนอย่างมากก่อนหน้า

เมื่อเอลวินไฮลม์ได้สูญเสียพลังทั้งหมดและล้มลงในวินาทีที่หัวใจถูกทำลาย

และอีกอย่างหนึ่ง

ไมเคิลมองไปยังดาบของเขาที่ส่องสว่างมากกว่าก่อนหน้า

‘มานาจำนวนมากขึ้นถูกส่งมา’

จากนั้นเขาจึงมองไปยังแหล่งกำเนิดของมัน

ลูกแก้วเจ็ดลูกลอยอยู่รอบกายของหมอนั่น สร้อยข้อมืออันใหม่ และดาบที่มีอยู่ก่อนหน้า

เขา ที่ได้ครอบครองของใหม่หลายชิ้น แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก

ความรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามฝืนขีดจำกัดหายไปพร้อมกับพลังงานที่ถูกส่งมามากขึ้นนั้นเป็นคำอธิบายได้อย่างดี

และรอบกายของอีกฝ่าย สะเก็ดที่ใหญ่กว่าเดิมได้ปรากฏขึ้น ลอยอยู่รอบตัวของเขา

‘… เขาทำให้ฉันนึกถึง Pylon’

ความทรงจำเกี่ยวกับเกมที่เขาเคยเล่นเมื่อนานมาแล้ว Starcraft ได้ปรากฏขึ้นในสมอง

ไมเคิลมองไปยังฮันซูก่อนจะเอ่ยถาม

“นายจะทำอะไรต่อ?”

ฮันซูหัวเราะพร้อมเอ่ย

“นายเคยลงดันเจี้ยนหลายรอบแล้ว มันก็เหมือนกัน”

โรงงานปิดตัวแล้ว

แม้ว่าสัตว์อสูรอีกจำนวนหนึ่งจะยังคงอยู่รอบๆ ความยากของพวกมันก็ยังคงสูง แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนักเมื่อเขาสามารถควบคุมสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยรีลิคสามชิ้น

‘มันออกมาดีกว่าที่ฉันคาด’

ในตอนนั้น หัวหน้ากองกำลังช็อคที่ยืนอยู่ข้างไมเคิลได้เข้ามาใกล้อีกฝ่ายก่อนจะกระซิบบางอย่าง

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเห็นบางอย่างด้วยสกิลของเขา

สีหน้าของไมเคิลแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ไม่ใช่ว่านายบอกว่าสัตว์อสูรจะไม่ออกมาอีกเหรอ?”

“หืมม?”

เมื่อฮันซูแสดงสีหน้างุนงงออกมา ไมเคิลก็เอ่ยด้วยสีหน้าแข็งค้าง

“ฉันตรวจสอบด้วยสกิลเพราะมีบางอย่างเข้าใกล้พวกเรา แต่… มันไม่มีความจำเป็นต้องพูด ดูเอาเองเถอะ”

ไมเคิลเปลี่ยนภาพจากสกิลของหัวหน้าทีมค้นหา <พรานจันทรา> ไปให้ฮันซู

ภาพที่หัวหน้าทีมค้นหาได้เห็นปรากฏขึ้นบนกระจกที่เขาถืออยู่

สิ่งก่อสร้างที่กลายเป็นซากไปจากการระเบิด ทว่ายังคงพอดูได้อยู่

และสัตว์อสูรที่ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นที่ภายใน

แม้ว่าตู้บรรจุสารจะไม่ทำงานราวกับว่ามันยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ แต่จากมุมมองหนึ่ง ทุกคนสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่แข็งแกร่งกำลังถูกสร้างขึ้น

และความเร็วก็มากขึ้นเช่นกัน

‘เวรเอ้ย… ไอ้พวกนั้นคือตัวที่อยู่สุดปลายของดันเจี้ยนโคนราก’

ไมเคิลพึมพำอยู่ภายใน

แม้ว่าภัยพิบัติทั้งห้าจะแข็งแกร่ง มันก็มีสัตว์ประหลาดจำนวนมากนอกเหนือไปจากพวกมัน

และไอ้พวกนั้นกำลังถูกสร้างขึ้นอย่างช้าๆ จากโรงงาน

ในขณะที่ไมเคิลมีสีหน้าหดหู่ ฮันซูก็ขมวดคิ้วเล็กๆ

‘แฟรี่ไม่ควรยื่นมือเข้ามายุ่ง’

มันไม่ควรรู้ว่าเขามาจากอนาคต

และหากมันจะเข้ามายุ่ง งั้นมันก็คงจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรก

เมื่อเขาคงจะไม่อาจแม้กระทั่งกลับมายังอดีตหากพวกมันเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผลึกในชีวิตที่แล้วของเขา

‘หรือว่าร่างหลักมันรับรู้และเรียนรู้คลื่นมานา?’

มันดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้น

“ไม่ใช่ว่าเราต้องหนีเหรอ?”

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรตัวยักษ์ที่ดูจะไม่มีสมองมากนัก มันก็ไม่ได้โง่ มันสามารถเฝ้าดูและเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง

เขาไม่อาจทำให้มันตกลงสู่กับดักเดิมได้เป็นครั้งที่สอง

เขากระทั่งต้องเตรียมการสำหรับโรงงานมากขึ้นในครั้งต่อไป และมันึไม่มีทางที่จะทะลวงผ่านสัตว์อสูรได้หากโรงงานไม่หยุดทำงาน

‘แต่… มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับพวกมันทั้งหมด’

มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสู้

เขาต้องซื้อเวลา ในเมื่อเขาได้รับรีลิคแล้ว

“นายกลั้นหายใจสักแปปได้ไหม?”

“อะไรนะ?”

วินาทีที่ไมเคิลตอบ ฮันซูก็ผลักดันพลังของรีลิคในมือจนถึงขีดสุด จากนั้นจึงเหวี่ยงฟาดมันไปยังรากรอบๆ พวกเขา

ตูมมม!

เส้นแสงที่แข็งแกร่งขึ้นจากสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างรูขึ้นบนอุโมงค์รอบกายพวกเขาทั้งๆ แบบนั้น

จากนั้นน้ำทะเลพิษก็ได้ทะลักเขามาจากรูพวกนั้น

อุโมงค์ด้านนอกที่ดูดกลืนน้ำทะเลพิษ

“ถ้าพวกเราไปทั้งแบบนี้ เราจะไปถึงที่นั่นในเสี้ยววินาที”

“หืม”

ไมเคิลมองไปยังท่อที่เต็มไปด้วยน้ำทะเลพิษที่มุ่งตรงไปยังสถานที่บางแห่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าขมขื่น

จากนั้นจึงคิดขึ้นกับตัวเอง

‘เราจำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนี้เพื่อช่วยหมอนั่นไหม?’

แต่ไมเคิลทำเพียงส่ายศีรษะ

พวกเขาไม่อาจออกไปจากที่ได้ด้วยการพึ่งพาพลังของพวกเขาเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่มีรีลิคที่หมอนั่นกำลังถืออยู่

และหมอนั่นก็ไม่มีความคิดที่จะออกไปก่อนที่จะทำให้ทุกอย่างจบลง ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องเห็นจุดจบของมันไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาก็ตาม

‘เวรเอ้ย ฉันถูกล่อลวงมากๆ’

มันเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ที่เขารู้สึกเจ็บปวดในการเห็นเลือดไหล เมื่อยามที่เขาได้ไปก่อกวนตัวอันตรายจนถึงกระดูก

ไมเคิลกัดฟันกรอด จากนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหว

 

 

ร่างหลักจมอยู่ในความคิดราวกับว่ามันกำลังเรียนรู้คลื่นมานาที่มันรับรู้ได้ภายในราก

พลังที่ไอ้คนแปลกประหลาดนั่นได้แสดงออกมา

มันไม่เพียงพอในการต่อกรกับหมอนั่นด้วยสัตว์อสูรที่มันมีอยู่ในตอนนี้

<…>

มันต้องการวิธีที่แตกต่างออกไป

แม้ว่ามันจะสร้างสัตว์อสูรขึ้นเพื่อป้องกัน แต่พลังที่มันครอบครองอยู่ตอนนี้นั้นเทียบเท่าได้กับผู้สร้างของพวกมันที่สร้างสิ่งมีชีวิตอย่างพวกมันขึ้นมา

มันรู้ได้โดยสัญชาตญาณ

ว่าทำไมไอ้หมอนั่นที่อยู่ที่ทะเลถึงได้เงียบไป

มันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหมอนั่นพุ่งเข้ามาแบบนี้

ร่างหลักหยุดการฟื้นฟูโรงงานไปชั่วขณะ พร้อมกับที่มันเริ่มเทพลังงานไปยังสถานที่ที่ต่างออกไป

เพื่อที่จะสร้างร่างโคลน <อัลฟ่า> ที่มันไม่ได้สร้างขึ้นจนถึงตอนนี้เพราะมันรู้สึกลังเลที่จะทำแบบนั้น

 


TL: เค้าลางความซวยโผล่มาแต่ไกลเลยนะปู่

ปล.ขอเปลี่ยนชื่อจากมิเชลเป็นไมเคิลนะคะ เทียร์อ่านผิด 555555