บทที่ 68 ตัวต่อตัว

เมื่อได้ยินคำสารภาพของหลงเสี่ยน หลงหวางเอ๋อทนไม่ได้จนต้องด่าอย่างหยาบคาย “ไอ้คนสับปลับ”

หมอนี่มาคนเดียว ทั้งยังถูกจับตัวและถูกข่มขู่โดยชายสองคนจากหมัดเทพทวาราอีก จริงๆแล้วเขาถือเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดในบรรดาทั้งหมดของตระกูลแล้วด้วยซ้ำ ทำไมเธอถึงไม่เคยสังเกตเลยนะว่าตระกูลมังกรของเธอมีคนที่ไร้ประโยชน์ขนาดนี้ด้วย

เย่เฟิงหรี่ตามองไปยังดวงตาทั้งคู่ของหลงเสี่ยน พลางคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จัดเป็นชั้นหนึ่งในบรรดาสวะอย่างแท้จริง มันทำได้แต่ข่มเหงผู้คนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น

ต่อหน้าคู่รักหนุ่มสาวในเมืองหลินอันมันทำให้หญิงสาวผู้นั้นต้องกระโดดออกมาจากโรงแรมจนเสียชีวิต แต่เมื่อหลงเสี่ยนเผชิญหน้ากับเหล่าศิษย์ของกลุ่มหมัดเทพทวารามันกลับหวาดกลัวจนหัวหดถึงขั้นปัสสาวะรดกางเกงตัวเอง นอกจากนี้มันยังทรยศต่อหลงหวางเอ๋อที่เป็นคนของตระกูลตนเองอีกด้วย

“มากับฉันเถอะ”

เย่เฟิงพูดด้วยเสียงโทนต่ำพลางโอบร่างบางของหลงหวางเอ๋อไว้ในวงแขน แล้วพุ่งตัวไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ เส้นทางนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวของถนนบนภูเขา หากเขาเริ่มต่อสู้กับกลุ่มคนกลุ่มนี้เมื่อไหร่เขาคงถูกตรวจพบจากกลุ่มอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นหวงเหล่าหรือคู่รักวิปริตจากวังดาบสวรรค์นั่น ใครจะรู้กันว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมาที่นี่เมื่อไหร่ เย่เฟิงตัดสินใจชิงหลบหนีไปก่อน

ชายหนุ่มเลือกที่จะพาหลงหวางเอ๋อติดมาด้วยและต้องการที่จะสั่งสอนคนทั้ง 2 จากกลุ่มหมัดเทพทวารา เขาจึงเข้าไปในป่าที่ห่างไกลจากเส้นทางนี้ เพื่อไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนอื่นมาขัดขวาง

เป้าหมายสูงสุดของเย่เฟิงคือการฉุดตัวคุณหนูตระกูลมังกรคนนี้ และจับเธอเป็นตัวประกันเพื่อใช้ต่อรองในการมุ่งหน้าไปยังยอดเขา ถ้าหากข้างบนภูเขาเต็มไปด้วยคนของตระกูลมังกร การจับตัวหลงหวางเอ๋อไว้จะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าลงมือกับเขามากนัก ในตอนนั้นเขาจะฉวยโอกาสนี้ในการวิ่งเข้าสู่ทางเข้าสุสาน หากชายหนุ่มไปถึงสุสานเมื่อไหร่เขามั่นใจว่าจะสามารถสลัดคนอื่นๆหลุดออกไปได้เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่มีแผนที่

“คุณกำลังจะไปไหน?”

หลงหวางเอ๋อไม่รู้จุดหมายของชายหนุ่มจึงถามขึ้นมาด้วยเสียงนุ่มนวล

ขณะที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขา หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจแม้แต่น้อย ร่างกายของเธอตั้งแต่เด็กยันเติบใหญ่ถึงขั้นนี้ ไม่เคยรู้สึกแปลกๆแบบนี้มาก่อน แต่ในขณะนี้พลังชี่ภายในร่างกายของเธอกำลังไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งจากการควบคุมพิษ เพียงแต่เธอไม่ได้มีความแข็งแกร่งพอที่จะฝืนพาตัวออกจากอ้อมแขนของเย่เฟิง

หากเธอหยุดควบคุมการไหลเวียนของพิษลงแม้แต่ครั้งเดียวเมื่อไหร่ ตอนนั้นหญิงสาวก็คงทนฝืนฤทธิ์ของมันไม่ได้อีกต่อไป

เธอไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองต้องถูกทำลายเพราะของแบบนี้!

สองอย่างที่อยู่ในหัวของหลงหวางเอ๋อก็คือไม่เลือกให้เย่เฟิงเปิดศึกกับชายสองคนจากหมัดเทพทวารา ก็ต้องให้คนของตระกูลมังกรหาตัวเธอให้เจอ

“มากับฉัน”

เย่เฟิงขำเล็กน้อย หน้ากากที่เขาใส่อยู่ตอนนี้ทำให้ท่าทางเขาดูน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ชายหนุ่มพาเธอมาจนเข้าไปสู่ด้านข้างของป่าแห่งหนึ่ง

“น้องหลัวลี่ รีบตามพวกมันไปเร็ว!”

เมื่อชายร่างสูงที่ดูชั่วร้ายคนนั้นเห็นเย่เฟิงมุ่งหน้าตรงไปยังป่า เขารีบกวักมือสั่งให้ชายหนุ่มผิวดำเป็นผู้นำไปทันที

“พี่หลัวเล่ย ผมไม่ได้เก่งแบบพี่นะ ทำไมพี่ไม่เป็นคนนำไปล่ะ?”

ชายผิวดำยังไม่ทำตามคำสั่งทันที เขากลับเริ่มระแวงขึ้นมา

“หือ ได้งั้นฉันจะเป็นคนนำไปก่อน นายพาเจ้าหน้าหล่อคนนี้ไปได้ใช่ไหม?”

ชายร่างสูงหัวเราะเล็กน้อยขณะสั่งให้อีกฝ่ายเป็นผู้แบกหลงเสี่ยน

เมื่อหลัวลี่ได้ยินเช่นนั้นหน้าของเขาเริ่มเสียขึ้นมา “ผู้ชายใส่หน้ากากคนนั้นเป็นคนที่สังหารดาบหมาป่าได้ในดาบเดียวนะพี่ ถ้าเกิดเขาลอบจู่โจมผม ผมคงไม่รอดแน่ๆ”

ถึงแม้ว่าเขาอยากจะจับหลงหวางเอ๋อมากแค่ไหน แต่เขาไม่ยอมเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยงอย่างแน่นอน

“ถ้านายไม่ไปด้วย ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน เรื่องนี้นายไปจัดการเองก็แล้วกัน”

หลัวเล่ยก็ได้ยินชื่อเสียงของ ‘โม่จิ่วเกอ’ มาเช่นกัน เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่อยากเป็นผู้นำทางอยู่ข้างหน้า

“นี่มัน…”

หลัวลี่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เขากัดฟันผงกหัว “ถ้างั้นพี่ต้องคอยระวังให้ผมด้วยหล่ะ”

ชายหนุ่มผิวดำคิดว่าหากเขาปล่อยให้ชายใส่หน้ากากกับหลงหวางเอ๋อหนีไปในวันนี้ได้ พวกมันอาจจะนำปัญหาไม่รู้จบมาแก่เขาได้ ในเมื่อพวกตนเป็นคนวางยาแก่หลงหวางเอ๋อ และชายใส่หน้ากากคนนั้นก็ดูไม่ธรรมดาทีเดียว ในอนาคตข้างหน้าหากทั้งสองร่วมมือกันชีวิตของพวกเขาคงลำบากเป็นแน่แท้

ยิ่งกว่านั้นหากหลงหวางเกิดมีชีวิตรอดจากไปได้เธอจะต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อของเธออย่างแน่นอน สำนักหมัดเทพทวาราของพวกเขาคงไม่อาจรับมือกับความโกรธเกรี้ยวจากบิดาของหลงหวางเอ๋อได้

“ใจเย็น ๆ ถึงแม้เจ้านั้นจะฆ่าดาบหมาป่าได้ แต่ดาบหมาป่าก็มีพลังยุทธ์เพียงแค่ห้าปีเท่านั้น”

ชายร่างสูงหลัวเล่ยหัวเราะออกมาเบาๆแล้วกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ฉันหลัวเล่ยผู้นี้มีพลังยุทธ์ระดับแปดปี นอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้เป็นพวกอ่อนแอแบบเจ้าดาบหมาป่านั่น เพราะงั้นไม่มีทางที่ฉันจะด้อยกว่าเจ้าหน้ากากหรอก”

หลังจากตกลงกันได้พร้อมกับหลงเสี่ยนที่ยังอยู่ในกำมือพวกเขา ชายสองคนตรงเข้าไปยังพุ่มหญ้ารถทึบไล่ตามชายสวมหน้ากากและหลงหวางเอ๋อต่อ ในเมื่อพวกเขาลอบวางยาหลงหวางเอ๋อและตั้งใจทำสิ่งน่าอับอายแบบนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถแจ้งต่อเหล่าผู้อาวุโสให้มาช่วยเหลือได้

……

เย่เฟิงโอบร่างของหลงหวางเอ๋อไว้ในอ้อมแขน วิ่งผ่าป่าทึบอย่างไม่หยุดยั้ง เขาวิ่งไปมากกว่าหนึ่งพันเมตรแล้วตอนนี้จนกระทั่งมาถึงหน้าผาที่สูงจนไม่เห็นก้นบึ้งชายหนุ่มจึงหยุดฝีเท้าลง

“ระดับพลังยุทธ์สิบปี เยี่ยมมาก ช่างเป็นการพัฒนาที่ไวอย่างมหาศาลจริง!”

เย่เฟิงรู้สึกได้ถึงเรือนร่างอันร้อนรุ่นในวงแขน เขาหัวเราะเสียงดัง ในเมื่อทั้งคู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้แน่นอนว่าชายหนุ่มต้องรับรู้ถึงระดับพลังของเธอ

“ค..แค่สี่ปี…”

ตอนนี้เองที่ความประหลาดใจแล่นเข้ามาในใจของหลงหวางเอ๋อ คนผู้นี้มีพลังเพียงแค่สี่ปีแต่เขากลับปลิดชีพดาบหมาป่าผู้ที่มีพลังถึงห้าปีได้ในดาบเดียว ยิ่งกว่านั้นความว่องไวของเขานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดาเลย และดาบสีแดงอันแปลกประหลาดที่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ที่ไหนนั่นอีก…

เธอไม่รู้เลยว่าเย่เฟิงพึ่งจะเพิ่มระดับพลังถึงสี่ปีก่อนหน้านี้ไม่นานจากดูดซับพลังจากหญ้าวิญญาณประดับฟ้า ไม่เช่นนั่นหลงหวางเอ๋อคงต้องคิดว่าเย่เฟิงเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแน่นอน

“เอาแบบนี้มั้ย เธอถ่วงเวลาชายร่างสูงคนนั้น ส่วนฉันจะจัดการกับชายผิวดำเอง ว่ายังไงล่ะ?”

เย่เฟิงพูดอย่างระรื่นขณะที่ก้มหน้ามามองใบหน้าอันงดงามของหลงหวางเอ๋อ

“คุณก็เห็นนี่ว่าตอนนี้สภาพของฉันเป็นยังไง ฉันทำไม่ได้หรอก”

ใบหน้าของหลงหวางเอ๋อแดงก่ำมากขึ้นไปเรื่อยๆ ร่างกายของเธอเริ่มอ่อนลงราวกับจะละลายอยู่ในอ้อมกอดของเย่เฟิง

“งั้นหรือ?”

เย่เฟิงคิดอยู่สักครู่แล้วจึงกล่าวว่า “ถ้างั้นฉันคงต้องทิ้งเธอไว้อย่างนี้นะ ดูสิฉันมีระดับพลังแค่สี่ปีเอง คงสู้กับผู้ชายร่างสูงคนนั้นไม่ได้แน่”

“เดี๋ยวสิ…”

หน้าของหลงหวางเอ๋อแดงระเรื่อ เธอลังเลอยู่ชั่วขณะแต่เมื่อพิจารณาสิ่งต่างๆอย่างรอบคอบแล้ว สิ่งที่เย่เฟิงพูดก็เป็นความจริง เธอไม่มีทางเลือกมากนักจึงได้แต่ตอบตกลง “คุณต้องจัดการกับหลัวลี่ให้เร็วที่สุด นอกจากนี้คุณก็มีดาบที่ใช้ฆ่าดาบหมาป่า เพราะงั้นห้ามปล่อยเจ้านั่นหนีไปเด็ดขาดนะ เข้าใจไหม?”

“เอาตามจริงนะ ตราบใดที่เธอถ่วงเวลาผู้ชายตัวสูงคนนั้นไว้ ฉันก็สามารถฆ่าผู้ชายอีกคนได้ง่ายๆในไม่กี่วินาที”

เย่เฟิงพยักหน้า ใบหน้าที่สวมหน้ากากของเขายิ่งทำให้เขาดูน่าสงสัยมากขึ้น แต่น่าเสียดายตอนนี้หลงหวางเอ๋อไม่ได้มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่เลย

เธอตัดสินใจว่าถ้าพวกเขาเริ่มต่อสู้กันเมื่อไหร่ เธอคงมีเวลาหลบหนีไปหาผู้อาวุโสของตระกูลเธอได้ ตอนนั้นพวกเขาก็สามารถช่วยเหลือเธอขจัดพิษในร่างนี้ออกไป…

“มาแล้ว”

เย่เฟิงยิ้มกริ่ม เรือนร่างหอมหวานยังคงแนบชิดกับอกเขา ชายหนุ่มขยับมือแล้วจับไปที่หน้าอกอันอวบอื่มซึ่งชูชันจากการถูกปลุกเร้าของยาที่หลงหวางเอ๋อได้รับและเคล้นคลึงมัน ผู้หญิงคนนี้ตกอยู่ในฤทธิ์ ‘ยาปลุกกำหนัด’ การกระทำของเย่เฟิงจึงกระตุ้นมันให้ปะทุรุนแรงมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้หลงหวางเอ๋อฉวยโอกาสนี้หนีไป

เมื่อถูกจับต้องแบบนี้ มันทำให้แก้มของหญิงสาวแดงเรื่อ ร่างกายเริ่มรู้สึกเร่าร้อนและแห้งผาก เธอพยายามใช้พลังกดฤทธิ์ของยาลงแล้วรีบสงบใจลง จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าใส่คนที่ตามเธอมาพี่น้องหลัวลี่ หลัวเล่ย

“แยกกันจัดการ!”

เมื่อเห็นเย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อแบ่งเป็นสองกลุ่มเข้ามา ก็สร้างความตกใจอย่างมากให้กับหลัวเล่ย เขารู้สึกราวกับโดนกระทิงวิ่งเข้าใส่ หลัวเล่ยรีบสลัดหลงเสี่ยนลงข้างทางและเริ่มเปิดฉากบุกใส่หลงหวางเอ๋อ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลงหวางเอ๋อที่ตกในสภาพเช่นนี้ไม่สามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้ดีนัก ขณะเดียวกันฝ่ายของหลัวลี่และชายสวมหน้ากากก็กำลังพุ่งเข้าหากัน หลัวลี่ประหลาดใจอยู่บ้าง เขาไม่คาดว่าชายสวมหน้ากากจะเลือกตรงเข้ามาหาเขา ชายผิวดำเริ่มคิดหาวิธีกำจัดคนตรงหน้าในกระบวนท่าเดียว!

หลัวลี่เคยได้ยินวิธีที่ชายสวมหน้ากากฆ่าดาบหมาป่า แต่เขาไม่ได้เห็นมันด้วยตาตนเอง ชายผิวดำเชื่อว่าด้วยตำแหน่งศิษย์ของ ‘สำนักหมัดเทพทวารา’ แม้ระดับพลังยุทธ์เขาจะด้อยกว่าดาบหมาป่า แต่เขายังมีปัญหาสู้กับชายสวมหน้ากากนี้ได้

เมื่อหลัวเล่ยเห็นเช่นนั้น นี่ทำให้เขาต้องเหงื่อตก

หลัวเล่ยไม่ได้พบเจอกับดาบหมาป่าเช่นกัน ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในงานจัดแสดงสินค้าของหลางฝาง แต่เขายังคงหวาดกลัวกับชื่อเสียงของชายสวมหน้ากาก นี่ถ้าหลัวลี่สู้กับมันเพียงลำพังไม่ใช่ว่าเขารนหาที่ตายหรอกหรือ?

…………………………

แปลโดยทีมงาน GSI