บทที่ 66: รีลิคกาลาเดรียง (4)

 

 

 

 

ตึก ตึก ตึก

<…>

<…!!!>

ทหารหน้าตาแปลกประหลาดกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังเหล่านักท่องเที่ยวที่ได้สร้างค่ายขึ้นโดยมีเรือเป็นจุดศูนย์กลาง

ทหารที่มาพร้อมกับหมวกและชุดเกราะแปลกประหลาด

มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน ว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์

พวกมันดูคล้ายคลึงกับเอลฟ์จากหนังสือนิยายเสียมากกว่า

แม้ว่าพวกมันจะมีรูปลักษณ์คล้ายกูลเพราะถูกดองอยู่ในน้ำทะเลพิษและเต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างก็ตาม

“เวรเอ้ย! ทำไมไอ้ตัวพวกนี้ถึงได้ถูกฆ่าในสถานที่ที่มันสุดโต่งแบบนี้เนี่ย!”

ทหารนับร้อยสร้างกองทัพภูตผีขึ้นก่อนพุ่งเข้าหาพวกเขาพร้อมกับเหวี่ยงอาวุธในมือ

เคาส์ โมเร็น ส่งเปลวเพลิงระเบิดออกในทุกทิศทาง

ตูมม!

เปลวเพลงของ <ลูกแก้วหยกแดง> ระเบิดออกพร้อมกับที่ร่างของเหล่าภูตผีที่ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ

ปึด

ทว่าร่างที่กระจายเป็นชิ้นๆ ของพวกมันที่ได้กระจายไปทั่วน้ำทะเลพิษกลับเริ่มที่จะขยับไหวและค่อยๆ ต่อกันกลับเข้าที่เดิม

เคาส์ โมเร็นขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนั้น

“เหี้ยเอ้ย…”

ความรู้สึกในตอนนี้ของเคาส์ โมเร็นไม่ได้ย่ำแย่เท่าที่ปากสบถ

ในเมื่อมันไม่ใช่งานที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน

“ไหนดูสิ…”

เคาส์ โมเร็นเดินตรงไปหยิบขวานที่หนึ่งในทหารศพถือไว้ขึ้นมาดูอย่างมีความสุข

หวูบบบบ

ขวานที่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยมานาของสกิลสนับสนุนของ <ลูกแก้วหยกแดง> ปรากฏเปลวเพลิงลุกท่วมพร้อมกับที่ด้านคมของมันกลายเป็นสีแดงก่ำ

ฉัวะ!

เคาส์ โมเร็นเหวี่ยงดาบในวงกว้าง ตัดผ่าร่างของทหารศพที่พุ่งเข้ามาหาเขาจนกลายเป็นเศษซาก

เคาส์ โมเร็นแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาขณะที่มองภาพนั้น

เมื่อพวกที่ยากในการที่จะจัดการด้วยลูกแก้วหยกแดงของเขากำลังถูกหั่นเป็นชิ้นๆ

‘ถ้าฉันเก็บไอ้พวกนี้ไปเยอะๆ แล้วใช้… พลังโดยรวมของทั้งกิลด์คงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก’

แน่นอนว่าลูกกิลด์ของกิลด์อื่นๆ ที่นี่คงจะนำไปบางส่วนให้กับกิลด์ของพวกนั้น แต่เขาไม่อาจทำอะไรเกี่ยวกับมันได้

เขาไม่อาจสู้กับคนพวกนี้ได้ เว้นเสียแต่เขาจะเริ่มต้นสงครามขึ้น

มันคือปัญหาที่จะแก้ไขหลังจากออกไปแล้ว

‘พวกที่พุ่งเข้ามาหาฉันก่อน!’

จากนั้นเคาส์ โมเร็นก็เริ่มที่จะแยกชิ้นส่วนเหล่าผู้ที่พุ่งเข้ามาหาเขาและเก็บอาวุธจากตัวที่เขาฆ่า

และคนอื่นๆ เองก็ล้วนแล้วแต่ทำเช่นนี้เช่นกัน

พวกเขาเริ่มที่จะเก็บรีลิคไปอย่างบ้าคลั่งด้วยเงื้อมมืออันละโมบ

แม้ว่าจำนวนของพวกเขาจะอยู่ที่ราวๆ 200 แต่คนเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นออกมาในเขตสีแดง

แม้ว่ากองกำลังที่เต็มไปด้วยภูตินับร้อยจะแข็งแกร่งและดูจะเป็นอมตะ พวกมันก็ยังคงไม่เพียงพอในการที่จะขัดขวางพวกเขา

ทว่ากยีซูได้กระวนกระวายขึ้น จากนั้นจึงตะโกนออกมา

“พวกนายจะต้องสู้ให้เงียบกว่านี้หน่อย! ถ้าพวกนายส่งเสียงดังพวกมันจะรวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด!”

จากนั้นหัวหน้าของกองกำลังช็อคแห่งรากที่หกก็ตะโกนกลับไป

“ฉันไม่คิดว่ามันจะมีปัญหามากแม้ว่าไอ้พวกนี้ทั้งหมดจะมาที่นี่? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

กยีซูมุ่นคิ้ว

‘บ้าเอ้ย… ฉันบอกพวกมันแล้วว่าไอ้พวกนี้เป็นแค่แมงเม่าตัวเล็กๆ’

ตัวต้นเหตุที่สังหารหมู่พวกเขาทั้ง 118 คนไม่ใช่พวกนี้

เมื่อพวกเขาเองก็ค่อนข้างตื่นเต้นตอนที่สู้กับพวกนี้เช่นกัน

ทว่ากยีซูส่ายศีรษะ

สถานการณ์ปัจจุบันนั้นต่างจากเมื่อก่อนมากจริงๆ

เมื่อคนเหล่านี้ต่างแข็งแกร่งจนถึงจุดที่ไม่อาจที่จะเทียบกับเขาได้

แม้ว่าคนพวกนี้จะน่ากลัว เขาก็ค่อนข้างสบายใจในการมีพวกนั้นในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้

‘เอาเถอะ เราสามารถหลบหนีไปได้ด้วยเรือถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป’

เขารู้สึกสบายใจยามที่มองไปยังเรือสำราญขนาดใหญ่

เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเรือสำราญสำหรับ 2,000 คนจะถูกทำลายลงได้

แม้ว่าการสร้างมันขึ้นมาจะยาก มันก็เป็นสิ่งที่จะสามารถยืนยันความปลอดภัยของพวกเขาเหนือท้องทะเล

ทว่าในตอนนั้นเองที่กยีซูขมวดคิ้ว

‘…หือ?’

ฟองได้ปรากฏขึ้นจากด้านหลังเรือสำราญ

จากนั้นเสียงของน้ำที่แตกกระจายออกก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับที่บางอย่างเริ่มที่จะขึ้นมาเหนือผิวน้ำอย่างเชื่องช้า

กยีซูมุ่นคิ้วลงเมื่อเห็นเช่นนั้น

‘… เรือ?’

มันคือเรือของฮันซูที่หายไป

ในเวลาที่กยีซูนึกถึงตัวตนของเรือนั้นได้อย่างชัดเจน เรือสำหรับ 500 คนของฮันซูก็ได้เข้าไปใกล้กับเรือสำราญของพวกเขานานแล้ว

จะยังไงพวกเขาก็ไม่อาจที่จะทำอะไรเกี่ยวกับมันได้อยู่แล้ว

เรือที่ได้หลบซ่อนตนเองภายใต้น้ำทะเลพิษได้เข้ามาใกล้เมื่อนานมาแล้ว

ทว่ากยีซูไม่ได้ลนลาน ทว่ากลับยกมุมปากของเขาขึ้นแทน

‘ฉันสงสัยมาตลอดว่านายซ่อนมันไว้ที่ไหน… นี่คือไพ่ลับที่นายซ่อนไว้งั้นเหรอ?’

กยีซูหัวเราะด้วยความหงุดหงิด

คนอื่นๆ ต่างก็เหลือบมองไปทางเรือเช่นกัน ทว่าไม่มีใครที่วิ่งตรงไปทำอะไรกับมัน

แน่นอนว่ามันยากที่จะหยุดเรือที่กำลังมาด้วยความแรงขนาดนั้น และพวกเขาเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างเนื่องจากการต่อสู้ตรงหน้า แต่เหตุผลหลักที่พวกเขาเมินเฉยต่อมันเป้นเพราะพวกเขาคิดว่าการที่เรือพุ่งเข้ามาแบบนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่

ตูมมมมม!

และไม่ช้า เรือสำหรับ 500 คนก็ได้กระแทกเข้ากับเรือสำหรับ 2,000 คน

แคร่กก

ด้านข้างของเรือสำหรับ 2,000 คนได้ยุบลงพร้อมกับเสียงไม้ที่แตกหัก

แต่มันก็แค่นั้น

เรือด้านข้างยุบลงเล็กน้อย ทว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาในการที่จะใช้มันแล่น

ในทางกลับกัน ด้านหน้าของเรือสำหรับ 500 คนได้กระจายเป็นเสี่ยง

กยีซูหัวเราะเมื่อเห็นเช่นนั้น

‘มันเป็นผลลัพธ์ที่คาดเอาไว้แล้ว’

ความแตกต่างของค่าความทนทานระหว่างเรือสำหรับ 500 คนและ 2,000 คนนั้นมากมายนัก

และบางทีอาจเป็นเพราะมันมาโดยที่ดำอยู่ใต้น้ำ ทว่ามันก็ค่อนข้างช้าเช่นกัน

ไอ้ของแบบนั้นจะสามารถถล่มเรือสำราญได้ยังไง

ในตอนนั้นเองที่บางอย่างได้ลอยเข้าไปที่เรือสำหรับ 500 คน

‘… นั่นมันอะไรกัน? คบเพลิง?’

คบเพลิงที่ถูกโยนมาจากที่ไหนสักแห่งในทะเลพิษหมุนอยู่กลางอากาศพร้อมกับลอยไปยังที่ท้องของเรือ

ตูมมมมม!

การระเบิดรุนแรงเกิดขึ้นพร้อมกับที่มันครอบคุลมไปทั้งเรือสำหรับ 500 คนและ 2,000 คน

 

 

ตูมมมม!

ฮันซูจ้องไปยังเรือที่ระเบิดออกห่างออกไป

ลูกโป่งกวีฮีนับหมื่นที่เต็มไปด้วยแก๊สพิษ

มันอาจจะต่างออกไปที่ใต้น้ำ แต่เมื่อพวกมันนับหมื่นระเบิดออกเหนือน้ำ แรงระเบิดครั้งใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้น

ครึ่ก ครึ่ก

เมื่อเสียงระเบิดและควันจางหายไป ผลลัพธ์ของการระเบิดนั้นก็ปรากฏขึ้น

แคร่กก

เรือสำหรับ 500 คนได้สลายกลายเป็นฝุ่น ส่วนเรือสำราญขนาดใหญ่ปรากฏรูขนาดยักษ์ที่ด้านข้างที่เรือสำหรับ 500 คนระเบิด

มันค่อนข้างน่าตื่นตะลึงเมื่อเรือสำราญขนาดยักษ์นั้นไม่ได้ขาดครึ่งจากแรงระเบิดนั้น แต่การที่มันไม่อาจใช้ได้อีกต่อไปนั้นก็เหมือนกับการที่หั่นมันเป็นสองซีก

และราวกับว่าเวทมนต์บนเรือสำราญนั้นได้สลายไป เรือที่เคยส่องแสงเลือนลางออกมาบัดนี้ได้ดูเหมือนเศษไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยขี้เถ้า

“ไอ้ฉิบหายเอ้ย!”

“เฮ้! รักษารูปแบบไว้! อย่าลนลาน! เรากำลังถูกดันถอย!”

เสียงวุ่นวายดังขึ้นห่างออกไป

ฮันซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

‘หนึ่งในนั้นเสร็จแล้ว’

มันไม่มีทางที่ไอ้พวกรอบคอบพวกนี้จะมาที่นี่ด้วยเพียงแค่สิ่งนี้

<ขนนก>

เศษของใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนที่เคยปกคลุมอยู่บนพุ่มไม้ของต้นไม้โลกที่บัดนี้ได้ยากที่จะครอบครอง

ถ้าใช้มัน คนผู้นั้นก็จะสามารถหลบหนีไปได้พร้อมกับคนจำนวนหนึ่งรอบกายไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

แม้ว่าที่ว่างนั้นจะบิดเบี้ยวก็ตาม

พลังของต้นไม้โลกมันยอดเยี่ยมเช่นนั้น

แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่คนพวกนี้ไม่รู้

กองทัพเอลวินไฮลม์ที่กลายมาเป็นภูตผีหลังจากที่ติดอยู่ภายในท้องของมัจฉาภัยพิบัติ

ช่วงเวลาที่เอลวินไฮลม์ต่อสู้กับภัยพิบัติทั้งห้านั้นสามารถเรียกได้ว่าต้นไม้โลกมีใบจำนวนนับไม่ถ้วน

แต่ล่ะคนล้วนมี 3-4 ใบเป็นอย่างน้อยในกรณีฉุกเฉิน

และไม่เหมือนกับเศษใบไม้เล็กๆ ทุกวันนี้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวและจำนวนคนในการเคลื่อนย้าย สิ่งที่พวกเขามีก่อนหน้านั้นสามารถนำคนผู้นั้นไปที่ใดก็ได้ที่พวกเขาต้องการภายใต้ร่มเงาของต้นไม้โลกเพราะมันคือทั้งใบ

เอลวินไฮลม์จะโง่พอที่จะถูกจับอยู่ในตัวมัจฉาภัยพิบัติหรือ?

มหาภัยพิบัติทั้งห้านั้นคือสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่คำนวณถึงพวกเอลวินไฮลม์แล้ว

‘พวกเขาต้องสู้ให้หนักกว่านี้หน่อยแล้ว’

แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องทำอีกอย่างหนึ่ง

ในเมื่อพวกนั้นจะไม่ดิ้นรนด้วยพลังทั้งหมดที่มีหากมันยังมีช่องทางให้รอดออกไป

ฮันซูว่ายตรงไปยังประตูกล้ามเนื้อที่ถูกครอบคลุมด้วยม่านสีดำอย่างเชื่องช้า

‘ในเมื่อมันยากที่จะสร้างขึ้น ฉันก็ควรจะตั้งใจใช้มัน’

ฮันซูยกย่องนักวิจัยในอนาคตที่ได้สร้างสูตรนี้ขึ้นมาด้วยพลังสมองทั้งหมดขณะที่เขาเทน้ำยาหินลงไปที่ดาบของเขาและเริ่มที่จะเหวี่ยงมันไปยังประตูกล้ามเนื้ออย่างบ้าคลั่ง

 

 

“นี่มันไม่ถูกต้อง ออกไปกันเถอะ”

คนจำนวนเล็กน้อยที่ได้มาจากรากที่เจ็ดผงกศีรษะขณะที่พวกเขารวมตัวกันในที่แห่งหนึ่ง

และหนึ่งในนั้นก็ได้ดึงบางอย่างออกจากกระเป๋าด้วยความระมัดระวังอย่างมาก

เศษใบไม้มหัศจรรย์ที่แทบจะแห้งไปแล้ว ทว่ายังคงมีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่

มันถูกเรียกว่า <ขนนก> เพราะมันทำให้คนผู้หนึ่งสามารถเคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้อย่างอิสระ

ชายคนนั้นกำหมัดที่มีขนนกอยู่ภายในแน่น

แกร่บ

วินาทีที่ใบไม้ถูกทำลาย พลังประหลาดก็ได้ล้อมรอบพวกเขาเอาไว้

“ฮู่ว ถึงงั้นมันก็ไม่เป็นไร เราสร้าผลประโยชน์ได้ด้วยการรวบรวมรีลิคมากว่า 30 ชิ้นแล้ว”

“ออกไปหาผู้หญิงตอนที่ออกไปกันเถอะ มันมีคนที่สวยๆ ในบรรดาเด็กใหม่ค่อนข้างเยอะ คนที่อยู่ในอีกโลกมันรับมือยากเกินไปจนการเอาพวกนั้น… หือ?”

“หือ? หือออ?”

คนที่กำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าผ่อนคลายพลันแสดงสีหน้าสับสนออกมา

แสงสีเขียวได้ครอบคลุมร่างของพวกเขาเอาไว้

ซึ่งหมายความว่าขนนกได้ทำงานแล้ว

พวกเขาไม่ควรที่จะยังคงอยู่ที่นี่

แต่ภาพเบื้องหน้าพวกเขายังคงเหมือนเดิม

“หือ? ทำไมมันไม่ทำงาน?”

“เวรเอ้ย! นี่มันอะไรกัน!”

คนอื่นๆ ที่มีความคิดคล้ายคลึงกับพวกเขากำลังส่งเสียงดังด้วยความลนลานออกมาจากรอบด้าน

เคาส์ โมเร็นขบฟันแน่นขณะที่เขาวิ่งตรงไปยังกยีซูและตะคอกอีกฝ่ายหลังจากที่กำลำคอของอีกฝ่ายไว้แน่น

“ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นในตอนนี้ เราจะต้องทำยังไง?”

“แค่กแค่ก… อะไรนะ?”

“เราจะออกไปจากสถานที่บัดซบนี่ได้ยังไง!”

“แค่ก… พวกคุณก็แค่ต้องว่ายไปที่ทางเข้าที่เรามา… และรอจนกว่ามัจฉาภัยพิบัติจะเข้าไปใกล้แผ่นดินแล้วก็หนีไปแบบนั้น!”

ความโกรธของเคาส์ โมเร็นหายไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินเช่นนั้น

‘อย่างที่ฉันคิด’

ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่ พวกเขาจะตายทั้งหมด

สถานการณ์มันรุนแรงกว่าก่อนหน้า

เมื่อกองทัพภูตผีได้พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างบ้าคลั่งหลังจากได้ยินเสียงระเบิด

แต่โอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมากหากพวกเขาผ่านม่านสีดำนั้นไปและหนีออกจากตัวมัจฉาภัยพิบัติหลังจากที่มันเข้าใกล้แผ่นดิน

จากที่เขาได้ยินมานั้น มันดูเหมือนว่ากองทัพที่นี่จะไม่สามารถผ่านม่านสีดำนั้นไปได้

ถ้าพวกเขาทำแบบนี้ เช่นนั้นมันก็ไม่แม้แต่จะต้องว่ายน้ำไปหาแผ่นดิน

“รักษารูปแบบเอาไว้และสู้ต่อ! มุ่งหน้าตรงไปที่ม่านสีดำ!”

ม่านสีดำนั้นอยู่ค่อนข้างห่างออกไป แต่พวกเขาสามารถโยนแผ่นไม้ไปที่น้ำและข้ามมันไปได้

‘เวรเอ้ย… พวกมันแข็งแกร่งจริงๆ’

ตัวที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ กำลังออกมาราวกับว่าตัวก่อนหน้าเป็นเพียงเรื่องตลก

ในตอนนั้นเองที่ม่านสีดำได้สั่นไหวไปมา

หรือจะพูดให้แม่นยำกว่านั้น กล้ามเนื้อขนาดยักษ์ที่อยู่รอบๆ ม่านสีดำนั้นกำลังขยับเคลื่อนไหว

กรี๊ซซซซซ!

ในตอนนั้นเองที่แรงสั่นสะเทือนแปลกประหลาดได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงที่เหมือนกับเสียงกรีดร้อง

“เวรเอ้ย… นี่มันอะไรกัน?”

ผู้คนตกอยู่ในความกระวนกระวาย

รูที่พวกเขากำลังจะใช้หลบหนีได้หายไป

และภูตผีที่เต็มไปด้วยอาวุธกำลังเดินมาทางพวกเขา

ถ้ามันไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไร งั้นพวกเขาก็คงจะรู้สึกดีกับอาวุธชุดเกราะที่พวกเขาจะได้รับหลังจากฆ่าพวกนี้ แต่สถานการณ์มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กับไอ้ตัวพวกนั้นอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีเส้นทางหลบหนี

พวกเขาคงจะพยายามตั้งรับบนเรือถ้าพวกเขามี แต่มันก็ผ่านมาสักพักแล้วตั้งแต่ที่เรือถูกทำลาย

“รีบๆ หาทางออกอื่น… เวรเอ้ย!”

เคาส์ โมเร็นที่กำลังตะโกนเสียงดังใส่ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ รีบขยับถอยเมื่อรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังแหวกอากาศมุ่งตรงมายังเขา

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ใช้งานสกิลทุกสกิลที่เขามีร่วมกับสกิลลับของลูกแก้วหยกแดง หยกแดง และส่งพวกมันไปยังการโจมตีที่มุ่งมายังเขา

ตูมมมม!

“อั่ก…”

เคาส์ โมเร็นจ้องมองไปยังสิ่งที่ทะลวงผ่านเกราะพลังสนับสนุนของเขา และกระทั่งหยกแดงของเขา สร้างรอยแผลลึกไว้บนร่างด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

การที่หัวหน้าของกองกำลังช็อคแห่งอาคารแสงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ด้วยการโจมตีธรรมดาๆ เพียงครั้งเดียว

“นายคือหัวหน้างั้นเหรอ หืม”

เคาส์ โมเร็นกัดฟีนกรอดขณะที่มองไปยังอัศวินศพตัวใหญ่ที่วิ่งมายังพวกเขาตั้งแต่ยามที่มันได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น และได้เหวี่ยงดาบที่หน้าตาแปลกประหลาดของมันมา

 

 

ฮันซูที่ดำอยู่ใต้น้ำโดยใช้ลมหายใจของอาโฮลจ้องมองไปยังกองกำลังกาลาเดรียงที่เริ่มรวมตัวกัน

เขาต้องทำลายหัวใจเพื่อที่จะฆ่ามัจฉาภัยพิบัติ

ทางระหว่าง <หัวใจ> อาจจะง่ายถ้าคามิลลีนำทางเขา แต่มันมีปัจจัยที่ไม่รู้อีกจำนวนมากระหว่างทาง

แต่ในทางกลับกัน ถ้าเขาจัดการลูกแก้วที่เหมือนกับดวงอาทิตย์ในท้องฟ้านั่น จัดการ <คอร์> ได้ และไปยังหัวใจหลังจากที่ทำให้มัจฉาภัยพิบัติอ่อนแอลง งานที่หัวใจก็จะง่ายขึ้นมาก

แต่มันมีสิ่งที่เขาต้องฆ่าเพื่อที่จะทำลายคอร์นั่น

สิ่งที่เคาส์ โมเร็นกำลังสู้อยู่ในตอนนี้

ศักดิ์ศรีของเอลวินไฮลม์ที่พยายามที่จะทำลายคอร์และฆ่ามัจฉาภัยพิบัติ ทว่ากลับถูกสาปและกักขังอยู่ในที่แห่งนี้แทน

เขากำลังต่อสู้อยู่กับเคาส์ โมเร็นและคนอื่นๆ ทว่าในวินาทีที่มีใครไปโจมตีคอร์ มันก็จะรีบวิ่งมาและเริ่มโจมตีคนคนนั้นแทน

‘ฉันต้องทำให้ไอ้สิ่งนั้นสะบักสะบอมก่อนที่ฉันจะทำตามแผนต่อ’

เขาไม่อาจฆ่ามันได้เมื่อมันเป็นอมตะภายในที่แห่งนี้ แต่เขาแค่ต้องซื้อเวลาในการทำลายคอร์

หากเขาทำได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นรางวัลที่นอกเหนือไปจากมัจฉาภัยพิบัติย่อมยอดเยี่ยม

ไม่เหมือนกับดาบที่ถูกลืมทั่วไป อาวุธที่กาลาเดรียงถือไว้ในมือนั้นไม่ใช่อาวุธทั่วไป

รีลิคที่นักวิจัยทั้งหมดของเอลวินไฮลม์ได้รวมพลังกันในการที่จะสร้างขึ้น

มันจะทำให้งานต่อไปง่ายขึ้นมาก

‘ตอนนี้ฉันก็ควรจะเคลื่อนไหวเหมือนกัน’

เขายังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

เขาต้องพยายามให้มากกว่านี้เพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดใดๆ เกิดขึ้น

ฮันซูเหลือบมองไปมาระหว่างมนุษย์และกองทัพของกาลาเดรียงที่กำลังยันกันไปมา จากนั้นจึงเริ่มว่ายน้ำ

 


TL: นี่ทะเลพิษนะปู่ ให้เกียรติกันหน่อยสิ ว่ายเป็นสระหลังบ้านเลย…