บทที่ 65: รีลิคกาลาเดรียง (3)

 

 

 

 

“ดูเหมือนว่านายจะโมโหไม่น้อย”

สีหน้าของเคาส์ โมเร็นแปรเปลี่ยนไปเล็กๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำเยาะเย้ยของคนข้างๆ

‘ชิ ฉิบหายเอ้ย’

มันไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้

มันอาจจะต่างออกไปสำหรับพวกควาดราทัส แต่มันค่อนข้างยากสำหรับเขาในการทำทุกสิ่งที่เขาต้องการกับพวกนักท่องเที่ยวที่นี่

ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นลูกกิลด์ของรากทั้งสิบสองเป็นอย่างน้อย

พวกนั้นอาจจะอ่อนแอกว่าเขา แต่ทุกคนล้วนมีไพ่ลับซ่อนอยู่

และเขาไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้เมื่อเขาคือคนที่เอ่ยแนะนำเรื่องนี้

นี่อาจจะกลายเป็นหนี้ไปในที่สุด

เขาต้องจ่ายหนี้นี่ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไร

‘ไอ้พวกเวรบัดซบ พวกนั้นพวกบอกว่าช่วงสองเป็นช่วงที่สำคัญกว่าช่วงแรกเหมือนกัน…’

ช่วงที่สองที่พวกเขาจะสำรวจภายในมัจฉาภัยพิบัตินั้นมีความหมายมากกว่าช่วงแรกนัก

พวกลูกกิลด์คงไม่มาที่นี่โดยที่ไม่มีแผนใดๆ

หัวหน้ากองกำลังช็อคจากหนึ่งในสิบสองรากมองไปยังเคาส์ โมเร็นและเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ

“เอาเถอะ มันดูเหมือนว่าเราจะสามารถเห็นมันได้ในตอนนี้ เรือใหญ่มันดีกว่าจริงๆ พวกมันเร็วกว่าด้วย”

“…”

เคาส์ โมเร็นไม่ได้เอ่ยตอบและมองไปยังเรือสำหรับ 500 คนที่อยู่ห่างออกไปแทน

แม้ว่าไอ้หมอนั่นจะเริ่มต้นขึ้นก่อน เรือที่ถูกสร้างขึ้นโดยแฟรี่ก็จะเร็วกว่าถ้าพวกมันใหญ่กว่า

“เราควรจะลองโยนฉมวกไปสักหน่อยไหมในเมื่อมันค่อนข้างน่าเบื่อ? เราต้องหาอะไรมาเล่นสนุกแทนช่วงแรกของการชมวิว”

จากนั้นเขาจึงเดินไปหยิบฉมวกขนาดยักษ์นับสิบ จากนั้นผู้คนรวมทั้งเคาส์ โมเร็นก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างถากถางออกมา

 

 

พรืดดดด

ฮันซูสร้างน้ำยาหินโดยใช้วัตถุดิบทั้งหมดขึ้นก่อนที่จะใส่มันลงไปภายใน <เหยือกอาหารของชายร่ำรวยผู้เห็นแก่ตัว> จากนั้นจึงมองไปยังกำแพงขนาดยักษ์ที่เขามาถึง

ร่างกายใหญ่ยักษ์ที่เสมือนกับกำแพง

ไม่เหมือนก่อนหน้าที่มันโผล่เพียงแค่ครีบขึ้นด้านบน มันได้ลอยขึ้นมาจนถึงจุดที่สามารถเห็นด้านข้างลำตัวของมันได้

รวมทั้งรูหายใจที่อยู่ด้านข้างเช่นกัน

‘ด้วยสิ่งนี้ก็สามารถบอกได้แล้วว่ามันไม่ใช่แค่ปลา’

รูขนาดใหญ่ด้านข้างที่มักจะปิดสนิทด้วยกล้ามเนื้อ ทว่าเปิดออกเมื่อขึ้นมาเหนือน้ำ

รูหายใจที่เล็กเมื่อเทียบกับทั้งร่างของมัน ทว่ายังคงใหญ่เพียงพอสำหรับเรือสำหรับ 500 คนในการแล่นผ่าน

ฮันซูพึมพำอยู่ในใจขณะที่เขามองรูหายใจที่ด้านข้างร่างของมัน

‘ฉันต้องผ่านทางนี้เข้าไปใช่ไหม’

คามิลลีได้บอกเขาก่อนที่เขาจะออกมา

<ตอนแรกฉันเกือบตายเพราะฉันเข้าไปโดยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง รูหายใจยังคงอันตรายอยู่ แต่ไม่เท่าปาก>

คามิลลีมีสีหน้าขมขื่นขณะที่เอ่ยเช่นนั้น

เมื่อเธอได้รับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเพียงเพราะขาดข้อมูลไปหนึ่งอย่าง

พวกที่อาศัยอยู่ในรูหายใจนั้นอันตราย แต่ปากที่มัจฉาภัยพิบัติใช้หายใจมีทอร์นาโดและคลื่นขนาดยักษ์ถาโถมอย่างบ้าคลั่ง

ในตอนนั้นเองที่บางอย่างได้บินมาด้วยความเร็วสูงพร้อมกับเสียงดังลั่นจากด้านหลัง

ฟิ้ววววว!

ฉมวกเพียงอันเดียวที่มีพลังรุนแรง

ราวกับว่าสกิลจำนวนมหาศาลได้ถูกใส่ลงไปในมัน ฉมวกนั้นได้ข้ามผ่านระยะทางเกินหนึ่งกิโลเมตรด้วยพลังจำนวนมหาศาล

มัดูเหมือนว่าจะแทงทะลุเรือไป

ทว่าฮันซูไม่ได้เบียงฉมวกที่มุ่งตรงมาทางเรือและทำเพียงหลบ

ฉึกกก

ราวกับว่าฉมวกยาวสามเมตรกำลังพิสูจน์ว่าการเดินทางผ่านระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตรและยังคงสามารถจัดการเป้าหมายของมันลงได้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชค มันได้สร้างรูขึ้นที่ดาดฟ้า และกระทั่งที่ท้องเรือ

ซ่าซ่า

น้ำทะเลพิษเริ่มที่จะไหลเข้ามาภายในเรือจากทางท้องเรือ

ปัง ปัง ปัง

ลูกโป่งกวีฮีจำนวนหนึ่งระเบิดออก ทำให้เรือจมลงเล็กน้อย ทว่าปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยการใส่เมล็ดกวีฮีอีกจำนวนหนึ่งลงไปด้านล่าง

ทว่าชายหนุ่มทำเพียงปล่อยให้เรือจมลงทีล่ะนิดๆ

เขาให้ความสนใจแต่การเข้าไปภายในรูหายใจเท่านั้น

‘มันคงจะเป็นปัญหาในการดึงดูดความสนใจด้วยการทำให้มันลอยขึ้นอีกครั้ง’

ฮันซูมองไปยังเรือสำราญจากด้านบนของเรือที่กำลังจมลงอย่างช้าๆ ทว่ายังคงเคลื่อนไปด้านหน้า

ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยังยากที่จะขว้างฉมวกที่สามารถพุ่งผ่านระยะทางไกลเท่านี้ได้

ฉมวกที่ฮันซูเพิ่งเห็นนั้นมีสกิล 6 สกิลอยู่

และพวกนั้นคงใช้สกิลอีกจำนวนนึ่งในการยิงมันมาที่นี่เช่นกัน

เคาส์ โมเร็นไม่มีสกิลพวกนี้

‘ถ้าหมอนั่นมีพวกมัน เขาก็คงใช้ไปแล้ว’

ซึ่งหมายความว่าคนบนเรือสำราญนั่นตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับเคาส์ โมเร็น

ตูม! ตูม!

ฉมวกยังคงลอยมาอย่างต่อเนื่อง

เสากระโดงเรือโค่นหักลง ดาดฟ้าแตกกระจายเป็นชิ้น

ในเวลานั้น เรือสำราญขนาดยักษ์ก็ได้พิสูจน์ว่าตัวมันไม่ได้ช้าเพียงเพราะมันมีขนาดใหญ่ ระยะทางระหว่างเรือทั้งสองค่อยๆ หดสั้นลง

มันดูเหมือนว่าจะมีคนเกิน 200 คนจากการกวาดตามองครั้งหนึ่ง

เพียงแค่เคาส์ โมเร็นก็ลำบากมากพอแล้ว

ทว่าฮันซูหัวเราะ

เมื่อยิ่งมีมากเท่าใด มันก็ยิ่งดีเท่านั้น

ชายหนุ่มใส่ข้อมูลสกิลของแต่ล่ะคนลงในสมองของเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

รวมทั้งข้อมูลของอาร์ติแฟคด้วย

‘แต่มันคงจะแย่ถ้าพวกนั้นตามมาทัน ฉันจะทำให้พวกนายยุ่งสักหน่อย’

มันจะเป็นปัญหาเมื่อพวกนั้นขึ้นมาบนเรือของเขาได้

เขาต้องสร้างระยะห่าง

ฮันซูนำบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเขา

‘มันคงจะแย่ถ้ามันถูกปล่อยเร็วเกินไป ฉันจะคลุมมันด้วยน้ำมูกสักหน่อย…’

ฮันซูคลุมบางอย่างด้วยถุงน้ำมูกของคิคินนซึ่งหลอมละลายได้ค่อนข้างดีในน้ำทะเลพิษ จากนั้นจึงโยนมันลงในทะเล

ซ่าซ่า

น้ำมูกเริ่มจมลงในน้ำทะเลพิษพร้อมกับละลายอย่างช้าๆ

ฮันซูทิ้งสิ่งที่กำลังจมไว้เบื้องหลังเรือขณะที่เขาเข้าไปภายในรูหายใจ

และทันทีที่เขาเข้าไปถึงทางแยกภายในรูหายใจ ชายหนุ่มก็ได้เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันพร้อมกับมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ไม่อาจมองเห็นได้จากภายนอก

‘ฉันมาถึงอย่างปลอดภัยในตอนนี้ สิ่งที่ฉันจะทำหลังจากนี้สำคัญ…’

ฮันซูสร้างคบเพลิงเล็กๆ จากวัสดุที่เขานำมา จากนั้นจึงจุดไฟที่ลูกโป่งกวีฮีที่เขานำออกมาจากส่วนล่างของเรือ

ตูม ตูม

เมื่อเขานำไฟเข้าไปใกล้ลูกโป่งกวีฮี เมล็ดก็ได้ระเบิดออกและหายไปโดยไร้ซึ่งร่องรอย ควันที่เกิดขึ้นก็ถูกพัดให้หายไปด้วยลมที่เหมือนพายุที่พัดวนอยู่ภายในรู

เมื่อลูกโป่งที่เติมเต็มเรือได้เริ่มที่จะหายไป เรือของฮันซูก็เริ่มที่จะจมลงอย่างรวดเร็วไปยังทางลึกใต้น้ำใต้รูหายใจ

 

 

“ชิ หมอนั่นเขาไปก่อน”

เคาส์ โมเร็นแสดงสีหน้าเศร้าใจออกมาขณะที่มองไปยังเรือที่เข้าไปก่อน

‘ไล่ตามไป’

ความเร็วของเรือหมอนั่นกำลังช้าลง

ถ้าพวกเขาตามไปแบบนี้ พวกเขาจะสามารถจับหมอนั่นได้อย่างรวดเร็ว

ในตอนนั้นเองบางสิ่งได้กระแทกเข้ากับข้างเรือของพวกเขา

ตูม!

“เอ๋?”

แคร่กก

เคาส์ โมเร็นแสดงสีหน้ารำคาญออกมากับการชนที่คาดไม่ถึงขณะที่เขาวิ่งไปข้างเรือและมองลงไป

‘มันยากที่จะมองเห็นใต้น้ำทะเลพิษได้อย่างชัดเจน น่ารำคาญจริง’

น้ำทะเลพิษนั้นมีสารแปลกประหลาดบางอย่างปะปนอยู่และทำให้ยากที่จะเห็นหรือรับรู้ว่าสิ่งใดกำลังมาทางพวกเขา

เคาส์ โมเร็นกัดฟันกรอดหลังจากมองลงไปยังทะเลที่ข้างเรือ

“คราเคน? ทำไมไอ้นี่ถึงมาที่นี่?”

เคาส์ โมเร็นและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาขณะที่พวกเขาสาดพายุสกิลลงไปด้านล่าง

คราเคน

ถึงมันจะเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวแค่ในหนัง ปัญหาคือรูปร่างของมัน ขนาดของร่างกายมันและความสามารถของมันได้ใกล้เคียงกับในหนัง

ทว่าทุกคนที่นี่อยู่ในระดับของฮีโร่ที่จัดการสัตว์อสูรพวกนั้นในหนัง และเหนือไปกว่านั้น

ตูมมมม

ตูมมมม

หลังจากที่ต่อสู้กับมันอย่างรุนแรงอยู่ชั่วครู่ มันก็ได้หายไปจากระยะการมองเห็นของเรือ

อย่างที่กยีซูบอกพวกเขานั้น โครงสร้างด้านในนั้นค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะตามจับอีกฝ่ายเมื่ออีกฝ่ายหนีผ่านทางแยกในรูหายใจ

‘หมอนั่นคงไปไม่ได้ไกลในเมื่อเรือของมันจมลงเรื่อยๆ’

เคาส์ โมเร็นขบฟันแน่นขณะที่เขายังคงไล่ล่าเรือของอีกฝ่ายและเข้าไปภายในรูหายใจ

“เราจะไล่ตาม…”

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน คุณเคาส์ โมเร็น”

หนึ่งในนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เอ่ยขึ้นหลังจากมองไปยังเคาส์ โมเร็นที่มีท่าทีร้อนใจ

“เราต้องรักษาข้อตกลงของเราเอาไว้ เราได้ไล่ตามระหว่างทางเพราะทางเราเป็นทางเดียวกับไอ้เวรนั่น แต่เราไม่ต้องการที่จะเสียเวลา เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นใช่ไหม?”

“… ไอ้เวรฉิบหายเอ้ย”

เคาส์ โมเร็นขมวดคิ้ว ทว่าเขาไม่อาจเอ่ยอะไรตอบโต้กลับไปได้เพราะคำพูดเหล่านั้นไม่ผิด

เขาหายใจเข้าออกแรงๆ

ความโกรธของเขาลดลงเล็กน้อยระหว่างทางที่มาที่นี่

การท่องเที่ยวของเขาจบลงตรงนี้

เขาต้องทำภารกิจของเขาให้สำเร็จ

และในสถานการณ์ปัจจุบันที่พวกเขาไม่มีทางรู้ได้ว่าทางไหนที่ฮันซูไปในทางแยกจำนวนนับไม่ถ้วน

แม้ว่าพวกเขาอาจจะหาอีกฝ่ายเจอถ้าพวกเขาไล่ตามไป แต่มันไม่มีเหตุผลให้พวกนั้นต้องเสียเวลาและช่วยเหลือ

‘ฉันต้องจับหมอนั่นให้ได้ก่อนที่มันจะเข้าไปในรูหายใจ… กูจะฆ่ามึงหลังจากที่เราออกมา’

กยีซูเหลือบตาไปมองเคาส์ โมเร็นขณะที่เขายังคงใช้มือควบคุมทิศทางของเรือ

กร๊าซซซซ!

ปรสิตที่อาศัยและแพร่พันธุ์อยู่ภายในรูหายใจได้กรีดเสียงและกระโดดเข้าจู่โจมผู้คน

ทว่าเหล่านักท่องเที่ยวได้ฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ พร้อมกับเผาพวกมันราวกับว่าพวกมันเป็นเพียงเหลือบไรน่ารำคาญ

กยีซูมุ่นคิ้วหลังจากคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า

‘เราดิ้นรนขนาดนั้น…’

หลังจากผ่านทางแยกจำนวนมาก ถนนที่ต่างออกไปจากเดิมอย่างมากก็ได้ปรากฏขึ้น

กยีซูมองไปยังผู้คนที่กำลังพึมพำอยู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างรอบคอบ

“มันจะไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม? มันอันตรายมากจริงๆ”

เมื่อพวกเขาไปทางด้านซ้ายจากที่นี่ อวัยวะที่หลากหลายรวมทั้งปอดของมัจฉาภัยพิบัติจะปรากฏขึ้น

แม้ว่าปรสิตอย่างตอนนี้จะมีอยู่ที่นั่นเช่นกัน และถนนก็ซับซ้อน มันก็ยังคงง่ายมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่อีกฝั่ง

ในทางกลับกัน ถ้าพวกเขาไปทางขวาจากที่นี่ ส่วนท้องจะปรากฏออกมา

‘ไม่สิ… จะเรียกมันว่าท้องได้ด้วยรึไง?’

กบีซูส่ายศีรษะ

พวกเขาทั้ง 118 คนที่มากับคามิลลีได้เข้าไปที่นั่นโดยบังเอิญ

และมีเพียงพวกเขาสองคนที่มีชีวิตรอดและหนีออกมาได้

เคาส์ โมเร็นเอ่ยเยาะเย้ยพวกเขา

“พวกนายกำลังเทียบพวกเรากับนายกับคนอื่นๆ อยู่รึไง? เข้าไป”

นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ หัวเราะเสียงดังเช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

‘ห้องเก็บสมบัติอยู่ในนั้นสินะ หืมม…’

ดาบที่กยีซูถืออยู่

<รีลิค>

มันคือเหตุผลที่ทำให้คนที่นี่รวมตัวกัน

สำหรับอาร์ติแฟคที่ถูกลืมที่จะอยู่ภายในร่างของมัจฉาภัยพิบัติ

หมอนั่นบอกพวกเขาว่าเขาฆ่าผีไปได้จำนวนหนึ่งในบริเวณชายขอบขณะที่ต่อกรกับพวกมัน และได้นำดาบของสิ่งที่ดูเหมือนทหารธรรมดามาด้วย ทว่ามันก็ยังคงยอดเยี่ยมขนาดนั้น

ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะได้สิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นมากรึไง

ตุบ ตุบ

เมื่อพวกเขาเลี้ยวขวาที่ทางแยก รูขนาทดใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยกล้ามเนื้อก็ปรากฏขึ้น

ประตูกล้ามเนื้อขนาดยักษ์ที่ดูราวกับปากในมุมมองหนึ่ง และเหมือกับกล้ามเนื้อหูรูดของรทวารหนักจากอีกมุมมองหนึ่งดูคับแคบในขนาด ทว่าขนาดเดิมของมันนั้นใหญ่มากเสียจนเรือขนาดใหญ่ของพวกเขายังคงสามารถลอดผ่านไปได้แม้ว่ามันจะยังคงหดอยู่

“หืมม…”

เหล่านักท่องเที่ยวต่างกลืนน้ำลาย

ม่านสีมืดที่พลิ้วไหวอยู่ระหว่างประตูกล้ามเนื้อ

“งั้น… ฉันจะเข้าไปล่ะนะ”

กยีซูนำเรือไปยังระหว่างม่านสีดำนั้นอย่างเชี่ยวชาญ

ฟุ่บบ

ผู้คนมุ่นคิ้วลงกับความรู้สึกที่ราวกับของแปลกประหลาดบางอย่างได้ผ่านผิวหนังของพวกเขาไป ทว่าคำพูดของพวกเขากลับไม่อาจเล็ดรอดออกจากริมฝีปากได้เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า

“โห…”

ช่องว่างแปลกประหลาดที่ปรากฏอยู่ภายในตัวของมัจฉาภัยพิบัตินั้นใหญ่โตและกว้างขวางกว่าตัวมัจฉาภัยพิบัติเอง

โดยเฉพาะลูกแก้วที่ดูราวกับกำลังเผาไหม้ที่ติดอยู่บางแห่งสูงขึ้นไป

ลูกแก้วขนาดใหญ่หนึ่งลูกที่เปล่งแสงสีขาวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยที่มันส่องแสงให้กับพื้นที่ทั้งหมด

ช่องว่างที่แสงนั้นส่องสว่างปรากฏเศษซากของเมืองที่ล่มสลายและรากไม้ที่ฉีกขาดปกคลุมอยู่

ท้องทะเลเบื้องล่างนั้นลึกเสียจนไม่อาจมองเห็นก้นได้ และเหนือมัน ศษซากของเมืองนับล้านได้กองสูง กลายเป็นแผนดินขนาดใหญ่

มันให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องมองเกาะขยะขนาดใหญ่

‘เมือง? ไม่สิ มันดูเหมือนว่ามันเกือบจะกินเข้าไปทั้งประเทศ… ใครอาศัยอยู่ที่นี่กัน?’

ผู้คนเอ่ยออกมาอย่างมืดมน

“… นี่มันไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตแล้ว”

มันไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาจะสามารถมีช่องว่างขนาดใหญ่เช่นนี้ในตัวได้

พวกเขากำลังสงสัยว่าความรู้สึกแปลกประหลาดที่พวกเขารู้สึกตอนที่ผ่านม่านสีดำมานั้นคืออะไร แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป้นความรู้สึกในการข้ามมิติ

ห่างออกไปนับสิบกิโลเมตร บางสิ่งได้เปิดออกพร้อมกับที่แสงได้ส่องลงไป

มันดูเหมือนว่ามัจฉาภัยพิบัติได้เริ่มดื่มน้ำ

ผู้คนเอ่ยออกไปอย่างมืดมนเมื่อเห็นน้ำที่ราวกับน้ำตก เศษซากที่ขยับไหวไปมา และซากศพของสัตว์อสูรจำนวนมาก

“ดูเหมือนว่าเราจะออกไปจากทางนั้นไม่ได้”

ผู้คนแสดงสีหน้าลนลานเล็กๆ ออกมา ทว่ากลับทำเพียงส่ายศีรษะ

‘เอาเถอะ ถ้าเรามีปัญหา งั้นเราก็แค่กลับออกไปทางรูที่พวกเราเขามาด้วยเรือ’

ไม่ใช่ว่ากยีซูก็หนีออกมาแบบนั้นเหมือนกันเหรอ

‘ถึงมันอาจจะอันตรายไปหน่อย…’

พวกเขาจะมาที่นี่โดยไร้แผนรองรับรึไง?

พวกเขาล้วนมาเพราะมันมีวิธีแม้ว่ามันจะอันตราย

พวกเขากระทั่งนำ <ขนนก> มากับพวกเขา

ซึ่งหมายความว่ากิลด์ของพวกเขาใส่ใจกับเรื่องนี้มากเพียงนั้น

“จอดเรือ!”

ครืนนน

ไม่ช้า เรือก็ส่งเสียงบดขยี้ขึ้นพร้อมกับที่มันเทียบเข้ากับกองขยะขนาดยักษ์

“อย่าไปไกลจนเกินไปและจัดการที่ชายขอบก่อน! อย่าทำอะไรที่เกินกว่าความสามารถของพวกนาย! เราต้องระมัดระวัง!”

พวกเขาตะโกนเสียงดัง ทว่าก็ยังคงกังวลเช่นกัน

จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มลงจากเรืออย่างเชื่องช้า

 

 

‘พวกนั้นน่าจะมาถึงราวๆ นี้’

ฮันซูที่ได้มาถึงยังทางแยกที่อยู่ในทางตรงข้ามกับพวกกยีซูคำนวณเวลาขณะที่เตรียมตัวเคลื่อนไหว

ถ้าเขาเคลื่อนไหวตอนนี้ งั้นเขาก็จะไปถึงในเวลาที่พอเหมาะ

‘ถึงฉันจะขอบคุณที่พวกนายช่วยสู้กับกองทัพกาลาเดรียง… พวกนายก็ควรจะพยายามให้หนักกว่านี้อีกหน่อยถ้ายังไงพวกนายก็จะทำอยู่แล้ว’

กองทัพแห่ง <กาลาเดรียง> หนึ่งในแม่ทัพพยัคฆ์ทั้งห้าแห่งเอลวินไฮลม์ที่ได้ล้มเหลวในการฆ่ามัจฉาภัยพิบัติ ได้ถูกสาปให้วนเวียนอยู่ในที่แห่งนี้อย่างไร้จุดสิ้นสุด

และพวกเขาคือสิ่งที่ฮันซูจะต้องผ่านเพื่อที่จะทำลายคอร์

การสะกิดตรงชายขอบนั้นไม่เพียงพอ

คนพวกนั้นต้องสู้อย่างเข้าตาจนมากกว่านี้อีกหน่อย

ฮันซูเทเมล็ดกวีฮีลงไปยังก้นเรือที่จมอยู่

‘ฉันควรจะไปเล่นกับไฟสักหน่อยไหม’

ไม่ช้า เรือก็ได้เริ่มลอยขึ้นอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มควบคุมเรือราวกับเรือดำน้ำ จากนั้นจึงมุ่งหน้าตรงไปยังม่านสีดำที่เชื่อมต่อกับท้องของมัจฉาภัยพิบัติ

 


TL: 2in1 เป็นทั้งเรือและเรือดำน้ำไปพร้อมๆ กัน ว่าแต่แช่น้ำขนาดนี้ตัวเปื่อยหมดแล้วมั้งคะปู่