บทที่ 60 ลางร้ายของเจียงซู

เย่เฟิงไม่ได้ขยับตัวแม้แต่เพียงเล็กน้อย เพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยฝีมือตัวเองต่อบุคคลภายนอก นอกจากนี้ จูไป๋เหนี่ยวก็มาอยู่ที่นั้นแล้ว เนื่องจากเขาเป็นนักสำรวจสุสาน ดังนั้นเขาต้องเป็นหนึ่งในผู้ฝึกวรยุทธ์ของโลกเมืองจีน ดังนั้น เย่เฟิงจึงอยากรู้ว่าเขาจะมีฝีมือสักแค่ไหนกัน

และการปะทะกันกับขวานวายุก็นับเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ทันใดนั้นชายหน้าบากก็คว้าเอามีดจากเบาะและกระโดดออกมาจากรถผ่านหน้าเขาไป จากนั้นจึงเดินตรงไปยังขวานวายุ ขณะที่สบถว่า “บัดซบ กลางวันแสก ๆ แกยังกล้าขวางทางเพื่อปล้นอีกงั้นเรอะ ใจกล้าไม่เบาเลยนี่”

โดยปกติแล้วไม่เคยมีใครเป็นหัวหน้าของแก๊งอสรพิษสวรรค์โมโหขนาดนี้ เพราะเวลานี้กลับมีคนกล้าขวางทางเพื่อปล้นรถ Hummer H2 สุดรักของเขา นี่จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร?

ชายหน้าบากขยับออกไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่เย่เฟิงจะทำอะไรเพื่อหยุดเขา เขาก็กระโดดออกจากรถพร้อมกับตรงไปยังขวานวายุเรียบร้อยแล้ว

ชายหน้าบากกระโดดลงจากรถและพุ่งเข้าใส่ขวานวายุอย่างรวดเร็วก่อนที่เย่เฟิงจะทันได้ร้องห้าม

ใบหน้าของขวานวายุแสดงออกถึงความโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ มันแค่นเสียงอย่างดูถูกขณะมองไปยังคนใจกล้าที่ออกมาจากรถแล้วมายืนอยู่ต่อหน้าของมัน ในฐานะที่มันเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ที่เชี่ยวชาญ มันจะไปกลัวหัวหน้าของพวกแก๊งใต้ดินแบบนี้ได้อย่างไร?

ห้าปีแห่งการบ่มเพาะวรยุทธ์ทำให้มันสามารถกดขี่ข่มเหง และปกครองกลุ่มคนได้ดังใจ เวลานี้มีคนเพียง 4 คน ซึ่งขวานวายุคิดว่าพวกนี้เป็นแค่คนธรรมดาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย

ชายหน้าบากคิดว่าเขาสามารถจัดการได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเย่เฟิง ดังนั้น เพียงแค่ไม่กินวินาที เขาก็วิ่งไปอีกด้านของรถพร้อมกับมีดที่อยู่ในมือเพื่อตั้งใจจะจัดการหั่นเจ้านี่เป็นชิ้นๆ

เขาเพียงแค่ต้องการที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจกลัวและหนีไปก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะยุ่งยากไปกว่านี้ อย่างไรก็ตาม โชคไม่ดีนักที่ขวานวายุเป็นพวกที่โหดเหี้ยมเกินกว่าที่จะมองเห็นได้จากการต่อสู้ เขางอมือในทันทีก่อนจะเริ่มรวบรวมพลังฉีอย่างบ้าคลั่ง และในทันทีจากอีกด้านหนึ่ง เขาร้องออกมาครั้งหนึ่งหลังจากโดนตีหลายครั้งด้านข้างของปังตอ ผลที่ตามมา การตีของเขาส่งผลให้ปังตอบินหลุดมือไปและลงบนพื้นดิน!

ความจริง ชายหน้าบากเพียงต้องการทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจกลัวแล้วหนีไปเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา น่าเสียดายที่ขวานวายุเหี้ยมโหดยิ่งกว่าเขา เมื่อเห็นชายหน้าบากจู่โจมเขามา มันได้ควบแน่นพลังฉีไว้ที่กำปั้นอย่างบ้าคลั่งและร้องออกมาพร้อมทั้งปล่อยหมัดหลายหมัดเข้าใส่มีดเล่มนั้น ผลก็คือ มีดดาบกระเด็นหลุดออกจากมือของชายหน้าบาก

แต่ยังมีสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อชายหน้าบากไม่ได้สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น  เขาปล่อยให้อาวุธในมือของเขาหลุดไป เสียงดัง “แกล๊ง” ของปังตอที่ร่วงลงไปกังวานไปทั่วถนน

แต่ในเวลาสองสามวินั้น เขาก็เริ่มแสยะยิ้มออกมา พลางคิดในใจว่าจะลงมือกับผู้ชายคนนี้อย่างไรให้สาแก่ใจเขาดี สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้วเหมือนเมื่อครั้งที่เย่เฟิงได้ปัดปืนออกไปจากมือเขาตอนที่พบกันครั้งแรก อาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้เป็นผู้ใช้วรยุทธ์

“อย่าขยับ”

ในขณะนั้น จ้าวอี้เปย จู้ ๆ ก็กล่าวอย่างเย็นชาจากที่นั่งของคนขับ พร้อมกับดึงปืนมาและเล็งไปยังหัวของขวานวายุ

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะชายหน้าบากได้สั่งไว้ก่อนแล้วว่าให้เขานั่งอยู่ในรถและพร้อมชักปืนออกมายิงทุกเมื่อ

ขวานวายุมองไปยังมือของ จ้าวอี้เปย และเมื่อมันสังเกตเห็นปืน ก็พลันมึนงงไปทันที

ปืน ?

เห็นได้ชัดว่า การเคลื่อนไหวของมันเทียบอะไรไม่ได้กับการเคลื่อนไหวของเย่เฟิง ที่มีลักษณะคล่องตัวกว่า และยังสามารถหลบลูกปืนได้

เมื่อเย่เฟิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งอก แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยขณะมองไปยังด้านข้างไปยังจูไป๋เหนียว น่าเสียดายมากที่เขาไม่ได้เห็นชายคนนี้ได้ลงมือเอง

จูไป๋เหนียวก็จองกลับมาในเวลาเดียวกัน เขารู้ว่าเย่เฟิงกำลังคิดอะไรบางอย่างจึงยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“แกคิดยังไงถึงมาปล้นรถ Hummer ของเรา แกนี่มันช่างใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ ว่าไหม?”

จ้าวอี้เปยติดตามชายหน้าบากมาหลายปี นั่นจึงเป็นเหตุให้พวกเขาลงมือเข้าขากัน ถึงแม้ภายนอกเขาจะเป็นชายหนุ่มที่สุภาพ แต่ในช่วงวิกฤต เขาก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

“ถอยไป แล้วไปยืนอยู่ข้างถนน”

จ้าวอี้เป๋ย ยกปืนของเขาและมองไปรอบ ๆ ขวานวายุ

เมื่อได้ยินอย่างนั้น มุมปากของขวานวายุยกขึ้นเล็กน้อย เขายกมือขึ้นเพื่อแสดงว่าเขาได้ยอมแพ้แล้วในเวลาเดียวกันเขาขยับเท้าและคิดจะล่าถอย

แต่ทันใดนั้นเองขวานวายุพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงพร้อมชกหมัดเข้าใส่เจ้าอี้เปย ในฐานะผู้ฝึกวรยุทธ์หมัดนี้ไม่ธรรมดาเลย จากนั้นตามด้วยหมัดที่สองจู่โจมเข้าสู่ข้อมือของเข้าอี้เปยอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันขวานพายุเปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่ามือฉวยเอาปืนพกออกมาจากมือของเจ้าอี้เปย!

เหตุการณ์ตรงนั้นรวดเร็วเกินกว่าเย่เฟิงจะตอบโต้ทัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึงชายหน้าบากที่ยังไม่ทันรู้สึกตัวแม้แต่น้อย

“ไอ้บัดซบ แกกล้าเอาปืนมาจ่อหน้าฉัน ดูเหมือนว่าแกไม่ต้องการมีชีวิตอยู่สินะ…..”

ขวานพายุยิ้มอย่างชั่วร้ายจากนั้นจึงเล็งปืนพกไปที่หัวของเจ้าอี้เปยและยิงอย่างไม่ลังเล!

การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมัน ตราบใดที่ไม่มีคนจากยุทธภพรู้ก็ไม่มีใครทำอะไรมันได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อเขาลงมือแล้วจะจัดการฆ่าทุกคนตรงนั้นโดยไม่ให้เหลือพยานไว้เอาผิดได้แม้แต่คนเดียว!

เย่เฟิงรู้สึกตื่นตระหนกในใจ เขาจะปล่อยให้คนของเขาตายได้อย่างไรกันในเวลาแบบนี้? โชคร้ายที่ชายหนุ่มนั่งอยู่เบาะหลังของรถถึงแม้ว่าเขาอยากจะวิ่งออกไปช่วยมากแค่ไหนแต่ก็มีเวลาไม่เพียงพอเลย!

เขารู้สึกผิดในใจ หากเขารู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ เขาจะพยายามไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แล้วเขาก็ไม่ได้รอให้จูไป๋เหนี่ยวมาเพื่อที่จะรับมือในสถานการณ์แบบนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าจ้าวอี้เป้ยถูกฆ่า…..

ฉัวะ ! ฉัวะ !

ตอนนั้นเอง เสียงของอาวุธเจาะผ่านอากาศส่งเสียงสะท้อนกึกก้องไปทั่ว

แคล๊ง ! ปัง ! ฟุบ !

เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องดังเข้าไปยังหูของเย่เฟิง อันที่จริงเพียงเวลาเพียงครู่เดียวที่เกิดขึ้นนั้น เขาไม่เข้าใจว่ามีดบินสองเล่มนั้นมาจากที่ใด ผลที่ตามมาคือขวานวายุได้ตอบสนองโดยการยิงสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มยิงกราดไปบนกระจกรถเพื่อจะฆ่าคนที่อยู่ในรถ แต่ใบมีดที่สองก็ได้พุ่งเข้าใส่ลำคออย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ได้ตัดผ่านลำคอของมันไป
เสียงนั้นดังขึ้น ก่อนที่ปืนจะตกลงไปยังพื้น
ขวานวายุหันหน้าของเขา และกวาดสายตามองไปยังจูไป๋เหนี่ยวผู้ที่ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของรถ เขาชี้นิ้วไปที่จูไป๋เหนี่ยวเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ก่อนที่เขาทันได้พูดอะไร มันก็สิ้นชีวิตไปแล้ว

ชั่วเวลานั้นเองที่ปรากฏเลือดทะลักออกมาจากลำคอของมันก่อนจะเริ่มกระจายไปทั่วพื้นรอบๆ

“มีสะพานอยู่ข้างหน้านี้ ต้องทำอะไรต่อไปคงไม่ต้องให้ฉันบอกสินะ?”

จูไป๋เหนี่ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวจากอีกด้านหนึ่ง และมองไปที่ศพของขวานวายุซึ่งนอนอยู่บนพื้นก่อนจะพูดต่อว่า “แกว่งเท้าหาเสี้ยนเองแท้ๆ”

เทคนิคอาวุธลับ!

เย่เฟิงมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบตั้งสติของเขาในทันที เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจูไป๋เหนี่ยวจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานในด้านอาวุธลับ! เขาไม่รู้ว่าจูไป๋เหนี่ยวฝึกฝนสิ่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่จากการดูความเร็วและวิถีของใบมีดนั่น มันอาจคาดเดาได้ว่าบางทีเขาอาจจะฝึกฝนมันมาได้ 7-8 ปีแล้ว

“อี้เป้ย เร็วเข้า มาที่นี่เร็ว

หน้าชายบากเข้าใจสถานการณ์โดยฉับพลัน เขาค่อนข้างหวาดกลัวจากการที่ได้เห็นศพของขวานวายุที่นอนอยู่บนพื้น ตลอดจนการมองไปยังจูไป๋เหนี่ยวผู้ที่นั่งอยู่ข้างเย่เฟิง เขาเรียกจ้าวอี้เป้ยให้มาช่วยเขาโยนศพลงไปด้านหน้าที่เป็นแม่น้ำที่ไหลอย่างเชี่ยวกราก

โดยไม่ลังเลจ้าวอี้เป้ยได้ออกไปทันที และพวกเขาทั้งคู่ก็ได้ลากศพออกไปทิ้งและไม่ลืมที่จะหาผ้ามาปิดเลือดที่ไหลอยู่ที่คอของศพ เพื่อป้องกันการทิ้งคราบเลือดไว้

“ขวานวายุคนนี้เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการทำลายศพและไม่เคยทิ้งร่องรอยเอาไว้”

จูไป๋เหนี่ยวมองดูท่าทีของเย่เฟิง ก็พบว่าเขายังคงมีท่าทีเช่นเดิมดังเช่นตอนแรก ด้วยสิ่งที่ค่อนข้างน่าตกใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาพยายามอธิบายออกไป “ในมือมันต้องการสังหารพวกเราไม่เหลือร่องรอย ก็เป็นธรรมดาที่ฉันจะโต้ตอบกลับไปแบบนั้น มันน่าจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ตายด้วยน้ำมือของคนที่เก่งกว่า”

เย่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายหน้าบากกับจ้าวอี้เป้ย ทั้งคู่กำลังพยายามทำลายหลักฐานโดยการโยนศพลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เขาคิดในใจว่าในที่สุดเรื่องราวของคู่หูเจียงซูก็จบลงเช่นนี้

“สบายใจได้เลย มันจะไม่สร้างปัญหาให้นายได้อีก คู่หูเจียงซูไม่มีใครคอยหนุนหลัง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปกังวล”

จูไป๋เหนี่ยวพูดต่อ

เย่เฟิงผงกศรีษะ “ใครจะไปคาดคิดว่าคุณจูจะเป็นถึงผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญทางด้านอาวุธลับ นอกจากนี้ยังเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวที่อยู่ในการเดินทางครั้งนี้ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ”

เขาแสดงออกราวกับว่าชื่นชมในตัวจูไป๋เหนี่ยวเป็นอย่างมาก

จูไป๋เหนี่ยวเห็นดังนั้นก็ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด เขายังคงคิดว่าเย่เฟิงเป็นคนทั่ว ๆไป เขาไม่มีความคิดจะสงสัยเลยด้วยซ้ำว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงต้องการที่จะไปสุสานโบราณนัก?

เมื่อชายหน้าบากกับจ้าวอี้เป้ยจัดการศพกับรถมอเตอร์ไซค์ที่พังยับเยินเสร็จเรียบร้อย เขาก็กลับมายังรถ และรถฮัมเมอร์ก็ได้เคลื่อนตัวออกไป หลังจากนั้นราวๆชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงจุดหมายของพวกเขา เมืองหลินเจียง แต่นี่เป็นการเดินทางระยะสั้นที่ทั้งสร้างปัญหาและเหนื่อยยากอย่างที่สุดสำหรับชายหน้าบากและอี้เปย

ตอนนี้ทั้งสองคนได้ตระหนักอย่างแท้จริงแล้วว่า จูไป๋เหนี่ยวเป็นคนที่ทั้งน่ากลัวและอันตรายเป็นอย่างมาก เขาต้องระมัดระวังตัวแล้วให้มากที่สุด ถ้าหากเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่!

………………………….

แปลโดยทีมงาน GSI

Solar Spark: สำนวนอาจแปลกๆหน่อยนะครับตอนนี้ พอดีไม่ค่อยได้ปรับมากเท่าไหร่