บทที่ 60: การล่ามัจฉาภัยพิบัติ (5)

 

 

 

“มึง ไอ้เวรเอ้ย! กูบอกทุกอย่างที่กูรู้ไปแล้ว!”

กยีซูที่ร่างโทรมจัดมองไปยังฮันซูที่พยายามแกว่ง <ดาบที่ถูกลืม> ที่ขโมยไปจากเขาไปมา

การที่หมอนั่นพยายามที่จะฆ่าเขาหลังจากที่เขาบอกทุกอย่างที่รู้ไปแล้ว!

หลังจากถูกกดดันจนถึงขีดสุด กยีซูจึงได้ตะโกนใส่อีกฝ่ายเสียงลั่น

“ใช่! ไอ้เวรเอ้ย! มึงรู้ไหมว่าใครจะมาหลังจากกูตาย! เคาส์ โมเร็นที่กูบอกไปก่อนหน้านี้จะมา!”

จากนั้นกยีซูก็ชี้ไปที่หน้าผากของเขา

สัญลักษณ์สีชมพูเล็กๆ

มันคือสัญลักษณ์ของ <ตาร้อยลี้ของชายขี้อิจฉา>

“มึงดูเหมือนจะไม่รู้ แต่เขามองเห็นทุกอย่างผ่านมัน! ถ้ามึงฆ่ากู เขาก็จะไม่อยู่เฉยๆ!”

ฮันซูเค้นเสียงอยู่ภายใน

เมื่อตาร้อยลี้ของชายขี้อิจฉาถูกใช้ออก มันจะสามารถมองเห็นได้ราวๆ 3 วินาทีเท่านั้น

และแสงสีชมพูก็หมายความว่ามันมีระดับความเชี่ยวชาญต่ำ

มันไม่มีทางที่จะสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ด้วยมัน

แต่ฮันซูแสดงสีหน้าประหลาดใจออกไป

“อะไรนะ! เวรเอ้ย! คนแบบนั้นจะมาตามล่าฉันเหรอเนี่ย!”

กยีซูมองไปยังอีกฝ่ายก่อนจะหัวเราะ

“คุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ใช่ ไอ้ฉิบหายเอ้ย”

‘รีบๆ หนีไปได้แล้ว’

เมื่อเขาทำขนาดนี้ หมอนั่นก็จะไม่สามารถฆ่าเขาได้

มันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการจัดการเขาให้หมอบโดยที่ไม่รู้ และฆ่าเขาหลังจากที่เขากระทั่งบอกไปแล้วว่ามีใครบางคนกำลังมองอยู่

เมื่อนั่นหมายความว่าหมอนั่นจะไม่สนใจเคาส์ โมเร็นโดยสิ้นเชิง

และด้วยนิสัยของเคาส์โมเร็น คนคนนั้นย่อมไม่ปล่อยเรื่องแบบนี้ให้ผ่านไปเฉยๆ อย่างแน่นอน

พลั่กก!

กยีซูร่วงลงไปที่พื้นจากแรงกระแทกที่หลังศีรษะ

การที่หมอนั่นทำให้เขาสลบแบบนี้ย่อมหมายความว่าหมอนั่นกลัวเคาส์ โมเร็นในระดับหนึ่ง

หมอนั่นอาจจะหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้

ภายใต้สายตาที่พร่าเลือนของเขา ร่างของฮันซูได้มุ่งหน้าตรงไปในป่าอย่างรวดเร็ว

‘หนีไปเถอะ… กูจะฆ่ามึงแน่ๆ’

ความคิดของกยีซูสิ้นสุดลงในตอนนั้นพร้อมกับที่เขาสลบไป

ทว่าไม่เหมือนกับที่เขาคิด ฮันซูได้หยุดเคลื่อนไหวก่อนจะกลับมาอย่างรวดเร็ว

‘การแสดงก็เหนื่อยเหมือนกัน’

ชายหนุ่มมองไปยังกยีซูที่สลบอยู่บนพื้น จากนั้นจึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

พิราบส่งสารสีฟ้าที่บินไปมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้สักพัก

‘อีกไม่นานพวกของหมอนี่ก็จะมา’

จากข้อมูลที่เขาได้ยินมาจากอีกฝ่าย ผู้จัดงานทั้ง 11 คนรวมทั้งตัวหมอนั่นเอง และลูกน้องของพวกนั้นมีจำนวนรวมกันราว 100 คน

มันไม่ใช่จำนวนคนที่น้อยเลยแม้แต่น้อย

และส่วนที่เป็นปัญหาอีกอย่าง

‘หืมมม เคาส์ โมเร็น…’

ความจริงแล้วฮันซูไม่รู้หรอกว่าใครคือเคาส์ โมเร็น

เมื่อเขาไม่อาจจำหมอนั่นได้เพราะดูเหมือนว่าคนคนนี้จะตายก่อนที่จะได้เข้าสู่เขตสีคราวหรือเขตสีม่วง

คนที่สามารถยุ่มย่ามอยู่ได้เพียงในเขตสีแดงไม่อาจอยู่ในความทรงจำของฮันซูได้

‘มีสิ่งที่ต้องจำมากพอแล้ว’

มันมีสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว

ว่าหมอนั่นคือหัวหน้าของกองกำลังช็อคของอาคารแสง

เพียงแค่นั้นก็ทำให้หมอนั่นเป็นคนที่ทรงอำนาจแล้ว

เมื่อตำแนห่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถได้รับมาจากการเล่นโป๊กเกอร์

เขาไม่อาจเมินหัวหน้ากองกำลังช็อคของอาคารแสงได้

ซึ่งหมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมวัสดุไปพร้อมกับการก่อกวนของคนพวกนั้น

ฮันซูมองไปคนที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นยืน

‘ฉันควรจะเตรียมตัวสักหน่อย’

จุดสำคัญของธุกิจชมวิวนั้นค่อนข้างเรียบง่าย

รวบรวมสัตว์อสูรกั้นทางที่จะเดินทางออกไป และจมเรือทั้งหมด

ถ้าทำเพียงแค่สองอย่างนี้ เช่นนั้นพวกเด็กใหม่ก็จะไม่อาจที่จะเดินทางออกไปได้

พวกมันตัดขาดปลายรากแบบนี้ และจากนั้นจึงออกไปที่ทะเลด้วยเรือสำราญ และมองสิ่งนั้นกลืนกินราก

แน่นอนว่าการแสดงหลักคือการมองเหล่าเด็กใหม่ดิ้นรนบนรากนั้น

มันไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้านเมื่อพวกลูกกิลด์กิลด์ผู้ช่วยเหลือจะนำคนที่ VIP และ VVIP ต้องการไปหมดแล้ว

‘อย่างแรกฉันต้องตรวจสอบดูก่อนว่าพวกนั้นใช้สัตว์อสูรชนิดไหนในการปิดทาง’

ฮันซูยกร่างของกยีซูขึ้นก่อนจะซ่อนร่างของอีกฝ่ายไว้ภายในป่า

เมื่อหมอนี่อาจจะถูกพบก่อนที่เขาจะกลับมา

จากนั้นเขาจึงเข้าไปในป่าและใช้ตัดขนานในการล้มต้นไม้และเดินทางผ่านป่าไป

เป้าหมายของควาดราทัสคือการขัดขวางไม่ให้เด็กใหม่เดินทางออกจากปลายรากที่มัจฉาภัยพิบัติจะกิน

พวกนั้นต้องรวบรวมสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลไว้ที่แต่ล่ะด้านของทะเลสาบคุคูลจาซึ่งเป็นเหมือนเส้นชายแดน

เมื่อพวกนั้นจะไม่ต้องป้องกันพื้นที่จำนวนมากถ้ากั้นมันด้วยทะเลสาบคุคูลจา

กร๊าซซซซ!

เสียงคำรามได้ลอยเข้าหูหลังจากเดินทางไปได้ไม่นาน

เกอร์ทาสที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจากการสูญเสียลูกของพวกมันและไม่อาจจะเอาคืนผู้ร้ายได้

‘เป็นเกอร์ทาส หืม’

เขาไม่รู้ว่าพวกมันคือสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่เป็นฝูงชนิดใดในทั้ง 13 ชนิด แต่หลังจากที่ตรวจสอบพวกมัน มันคือเกอร์ทาส

‘ดี’

ฮันซูที่ได้ยืนยันว่าเกอร์ทาสอยู่ใกล้ๆ ด้วยตนเองได้มุ่งหน้าออกไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว

และจากนั้นจึงเริ่มรวบรวมของบางอย่างภายในป่า

‘รากของเถาวัลย์ดารอน… แล้วก็อามาร์อีกหน่อย’

มันอาจจะยากหากเขามีเพียงแค่มือเปล่า แต่ <ดาบที่ถูกลืม> คือตัวช่วยที่สำคัญ

‘ไอ้ไร้สมองเอ้ย ที่นายทำมันไม่ใช่วิธีใช้เจ้านี่’

ไอ้หมอนั่นได้ใช่สิ่งนี้ด้วยการส่งมานาลงไปและระเบิดมันออก หรือไม่ก็ควบรวมมันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับดาบ แต่ความสามารถที่แท้จริงของ <ดาบที่ถูกลืม> ไม่ใช่แบบนั้น

ยืด

เมื่อฮันซูส่งมานาลงไปที่ดาบ คมดาบไร้รูปร่างก็ได้ปรากฏขึ้น

นี่คือความสามารถที่แท้จริงของมัน

บางสิ่งที่ไอ้หมอนั่นที่รู้เพียงแค่วิธีการระเบิดหรือควบรวมมันไม่อาจใช้ได้ ดาบไร้ลักษณ์ที่ใช้ความสามารถในการควบคุมมานาที่ละเอียดอ่อนจนสามารถทำสองสิ่งได้พร้อมกัน

ชายหนุ่มเหวี่ยงดาบนั้นไปทั่วทิศพร้อมกับตัดศีรษะสัตว์อสูรและรวบรวมวัตถุดิบที่ต้องการ

ดาบไร้ลักษณ์ที่ทั้งความยาวและรูปร่างจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และเพ่งเล็งไปยังช่องว่างของสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง

‘ไหนดูสิ ฉันต้องการราวๆ 20 อัน’

ฮันซูที่ได้รวมถุงหอมของอามาร์ทั้ง 20 อันพร้อมกับวัสดุอย่างอื่นอีกจำนวนหนึ่งขยับเข้าใกล้ร่างของเหล่าเกอร์ทาสที่เดินไปรอบๆ อย่างกราดเกรี้ยว

พวกมันพุ่งเข้าหายชายหนุ่ม ทว่ามันไร้ผล

ฉวะ!

ฮันซูระมัดระวังไม่ให้เลือดเปรอะเปื้อนร่างกายขณะที่เขากวัดแกว่งดาบไร้ลักษณ์ในมือไปรอบๆ

ใบดาบที่ยืดออกได้ตัดศีรษะของเหล่าสัตว์อสูร

‘เสร็จแล้ว’

แม้ว่ามันจะดีกว่าหากเขามีเลือดของลูกพวกมัน แต่มันจะใช้เวลาของเขามากเกินไปในการค้นหาลูกที่ถูกซ่อนไว้

เมื่อพวกควาดราทัสจะมาในไม่ช้า

ฮันซูนำเลือดบนดาบไร้ลักษณ์ของเขาราดลงในวัตถุดิบที่เตรียมไว้ ก่อนจะใส่มันลงใน <เหยือกของคนรวยผู้เห็นแก่ตัว> ที่อยู่ข้างเอว

‘มันจะยุ่งยากถ้ากลิ่นฟุ้งไปทั่ว’

ฮันซูรีบเคลื่อนร่างของเขากลับไปยังร่างหมดสติของกยีซูหลังจากทำงานของเขาเสร็จแล้ว

กยีซูยังคงหมดสติอยู่

และเหนือร่างของหมอนั่นก็ปรากฏร่างของนกพิราบสื่อสารสีฟ้าจำนวนหนึ่งบินวนไปมา

พวกมันจะไปถึงถ้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้รับ ทว่าเมื่อพวกมันไม่ได้รับความช่วยเหลือ พวกมันจึงไปไม่ถึง

แต่ไม่ช้าพรรคพวกของหมอนั่นจะมาถึง

ฮันซูรีบเข้าใกล้ร่างโทรมๆ ของของอีกฝ่าย

ชายที่ทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือดจากการต่อสู้กับเขา

แต่อาการบาดเจ็บได้ถูกรักษาด้วยความเร็วที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ถ้าเวลาผ่านไปนานกว่านี้ และหมอนี่ใช้รูนฟื้นฟู เขาอาจจะถูกรักษาจนถึงจุดที่สามารถขยับตัวได้อีกครั้ง

ฮันซูเข้าใกล้ร่างหมดสติของกยีซู

และจากนั้นจึงรีบดึงส่วนผสมที่เขาสร้างขึ้น ใส่มันลงไปในบาดแผลเปิดที่ต้นขา จากนั้นจึงรีบปิดแผลอย่างรวดเร็ว

มันจะใช้เวลาอีกสักพักที่แผลนั้นจะถูกรักษาอย่างสมบูรณ์

และเขาไม่มีเวลาที่จะรอ

‘ไหนดูสิ’

ฮันซูคุ้ยหาในถุงข้างเอวก่อนจะดึงบางอย่างออกมา

‘ฉันขอคืนนามบัตรของนาย’

ขณะที่ฮันซูแปะนามบัตรที่สร้างขึ้นจากตัวอ่อนของพาโดรไปที่หน้าขาของอีกฝ่าย นามบัตรนั้นละลายลงพร้อมกับที่บาดแผลนั้นได้ปิดสนิท

ชายหนุ่มที่แสดงสีหน้าพึงพอใจกับบาดแผลที่ถูกรักษาโดยสมบูรณ์ผงกศีรษะก่อนจะหายไปในป่าหลังจากจัดการร่องรอยทั้งหมดของเขาแล้ว

ไม่ช้า เสียงฟาดฟันก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับที่เฉิง หนึ่งในผู้สั่งการและลูกน้องของเขาจะปรากฏตัวขึ้น

เฉิงแสดงสีหน้าตะลึงงันเมื่อมองไปยังร่างของกยีซูที่นอนอยู่บนพื้น

‘ไอ้โง่นี่… มันแพ้จริงๆ เหรอ?’

เฉิงมองไปยังกยีซูด้วยความสมเพชอย่างถึงขีดสุด แต่จากนั้นก็ทำเพียงส่ายศีรษะ

เขาต้องการจะโยนร่างของหมอนี่ลงไปในทะเลสาบคุคูลจาเมื่อคิดว่าแม้กยีซูจะพยายามถึงขนาดนั้นแต่ผลก็ยังคงกลายเป็นเช่นนี้ แต่หมอนี่ค่อนข้างพิเศษแม้แต่ในบรรดาผู้สั่งการด้วยกัน

เมื่อหมอนี่คือคนที่เคยเข้าไปในร่างของมัจฉาภัยพิบัติ

“เอาตัวหมอนี่กลับ!”

‘เวรเอ้ย’

เขาไม่อยากที่จะรายงานสถานการณ์นี้ให้กับเคาส์ โมเร็นฟัง…

เขาต้องปลุกไอ้หมอนี่ขึ้นมาไม่ว่าจะยังไงก็ตาม และต้องให้มันรายงานด้วยตัวเอง

อย่างไรยารักษาทั้งหมดก็อยู่บนเรือสำราญอยู่แล้ว

เฉิงนำร่างของกยีซูมุ่งหน้าไปทางเรือสำราญอย่างรวดเร็ว

 

 

“อืมม มันจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่”

เคาส์ โมเร็นมองไปยังทะเลที่ห่างไกลด้วยสีหน้าพึงพอใจ

มัจฉาภัยพิบัติยังคงอยู่ค่อนข้างห่างออกไป แต่หากนึกถึงสายตาที่สุดยอดของเขากับขนาดของมัน มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมองเห็น

‘พวกควาดราทัสนี่ไม่เลวเลย’

การหาเรือสำหรับ 2,000 คนก็ยากแล้ว แต่คนพวกนี้กลับใช้วิธีบางอย่างจอดมันข้างๆ รากได้

‘จะอะไรก็ตาม ทำไมนักท่องเที่ยวถึงได้เยอะนัก’

ถ้าพวกเขาคิดถึงความอันตรายตั้งแต่แรกเริ่ม พวกนักท่องเที่ยวคงไม่รวมตัวกันเช่นนี้

และเรือสำหรับ 2,000 คนนั้นอยู่ในระดับที่สามารถทนทานต่อคลื่นที่ถูกสร้างขึ้นจากมัจฉาภัยพิบัติได้

แต่ไม่เหมือนกับเคาส์ โมเร็น เด็กใหม่ที่ยืนอยู่ข้างเขา ไอเลนกำลังแสดงสีหน้าที่ค่อนข้างขมขื่นออกมา

เคาส์ โมเร็นหัวเราะ

‘ดูไอ้เด็กนี่สิ’

เด็กคนนี้คือคนที่เขาเลี้ยงดูขึ้นมาอย่างรักใคร่

และนั่นเป็นสาเหตุให้เขานำอีกฝ่ายมาด้วยหลังจากที่จ่ายค่าท่องเที่ยวแล้ว

เคาส์ โมเร็นรู้สาเหตุของสีหน้าเช่นนั้น

“นายเพิ่งเข้าร่วมกิลด์ของเราไม่นานใช่ไหม?”

ไอเลนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ราวๆ 27 วันแล้ว”

“แล้วนายมาที่อีกโลกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ไอเลนยักไหล่

“1 ปี เพราะผมผ่านบทฝึกซ้อมของปีที่แล้ว”

เคาส์ โมเร็นแย้มยิ้มพึงพอใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น

มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าร่วมอาคารแสง หนึ่งในหกขั้วอำนาจได้

แต่หมอนี่ได้เข้าร่วมอาคารแสงในเวลา 1 ปี และเข้าร่วมกองกำลังที่อันตรายที่สุดอย่างกองกำลังช็อค

ถ้าคิดถึงการที่คนส่วนมากในอาคารแสงนั้นอยู่มาแล้ว 3-4 ปี เช่นนั้นพรสวรรค์ของคนคนนี้ก็นับว่ามหัศจรรย์

และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลี้ยงดูเด็กคนนี้มาอย่างดี

‘มันอาจเป็นเพราะว่าเขายังคงเป้นพวกปีแรก…’

เรื่องแบบนี้อาจทำให้หมอนี่รู้สึกสกปรกเล็กๆ

ในการเทคนจำนวนมากลงในท้องของมัจฉาภัยพิบัติและเฝ้ามองมัน

เคาส์ โมเร็นเอ่ยขึ้นกับไอเลน

“นายอาจจะรู้แล้วในตอนนี้… นายคิดยังไงกับชีวิตทุดวันนี้?”

ไอเลนยักไหล่ขณะเอ่ยตอบ

“แข็งแกร่งขึ้น”

เคาส์ โมเร็นหัวเราะ

“ใช่ไหม? การเอาชีวิตรอดไปวันๆ ไม่ใช่เป้าหมายของนายอีกต่อไปแล้วใช่ไหม? ในเมื่อนายไม่ได้อยู่ในระดับนั้นอีกต่อไปแล้ว”

“…”

“ฉันก็เป็นเหมือนนายตอนอยู่ในระดับนั้นเหมือนกัน แต่… นายจะเริ่มคิดแตกต่างออกไปเมื่อนายขึ้นไปข้างบน”

มันไม่มีอะไรที่เขาจะกลัวอีกต่อไปแล้ว

เมื่อพวกเขา ผู้ที่ปกครองเขตสีแดง แข็งแกร่งจริงๆ

พวกเขาได้มีคุณสมบัติที่จะขึ้นไปเขตสีส้มตั้งนานแล้ว

แต่มันมีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเขายังอยู่ที่นี่

<ถ้าเราขึ้นไป งั้นเราก็จะกลายเป็นเด็กใหม่ที่นั่น>

แน่นอน พวกเขาจะไม่เริ่มต้นที่จุดต่ำสุด

เมื่อมันยังคงมีช่องว่างระหว่างเหล่าที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแบบเฉียดฉิวในการขึ้นไปที่เขตสีส้ม และพวกเขา

และพวกเขาอาจจะสามารถเติบโตขึ้นเหนือกว่าผู้อื่นได้รวดเร็วกว่าพวกนั้น

แต่มันไม่ใช่ส่วนที่สำคัญ

<ถ้าฉันขึ้นไป งั้นฉันก็ไม่อาจที่จะมีชีวิตแบบนี้ต่อไปได้อีก>

มันจะไม่มีคนที่จะตัวสั่นสะท้านจากสายตาของพวกเขา และมันอาจมีผู้คนที่เขาต้องวิ่งหนีห่าง

เขาต้องดิ้นรนเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง และกลับไปยังสถานที่ที่อันตราย

“นายรู้ไหมว่าอะไรที่อยู่ในหัวของนายเมื่ออยู่ที่จุดนี้?”

“… อะไรอยู่ในหัวของคุณเหรอ?”

“นายจะเริ่มมีความคิดว่านายต้องควบคุมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ที่นี่ และจากนั้นจึงขึ้นไป”

มันยากที่จะอยู่ในสถานที่เดิมๆ ตลอดไปโดยที่ไม่ขึ้นไปด้วยโครงสร้างของต้นไม้โลก

และเมื่อกลายเป็นหนึ่งในลูกกิลด์ของหกขั้วอำนาจ และเป็นยอดฝีมือภายในกิลด์ พวกเขาก็จะเริ่มคิดเช่นนี้

<ถ้าเราขึ้นไป งั้นเราก็ต้องดิ้นรนที่จะแข็งแกร่งขึ้นและมีชีวิตรอด มีความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะขึ้นไป>

แต่มันไม่ได้ง่ายเช่นกัน

มันไม่มีทางที่จะเติมเต็มช่องว่างในท้องได้

เมื่อสิ่งที่สามารถกินได้ที่นี่มีเพียงน้ำแร่ธาตุ

มันไม่มีความจำเป็นให้นอนมากนัก และคนคนหนึ่งสามารถเบื่อหน่ายกับตัณหาได้ภายในเวลาหนึ่งหรือสองวัน

เขาต้องการสิ่งที่สนุกและรุนแรงกว่านั้น

สิ่งที่จะสามารถเติมเต็มความต้องการของคนที่จะขึ้นไปในไม่ช้าและเหนื่อยล้าอีกครั้ง

และการชมวิวของควาดราทัสคือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อคนเช่นนี้

<มองไฟจากอีกฝั่งของแม่น้ำในจุดปลอดภัยก่อนที่จะไป มันเป็นภาพที่คุ้มค่า คุณต้องมองภาพของเขตสีแดงและมัจฉาภัยพิบัติก่อนที่จะไป>

‘ฉันคาดหวังกับมัน’

มันค่อนข้างเป็นภาพที่น่าดูในการมองคนที่กำลังจะตายดิ้นรน

เพียงแค่นั้นคงไม่เพียงพอ แต่มันมีคนนับพัน และมันคงจะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเมื่อมีมัจฉาภัยพิบัติมาร่วมด้วย

จากคำพูดของคนที่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นภาพที่ดีจริงๆ

เขาไม่ควรที่จะมองภาพน่ามหัศจรรย์แบบนั้นก่อนที่จะขึ้นไปเหรอ

ในตอนนั้นเองที่เขารับรู้ได้ถึงบางอย่างที่เข้าใกล้ร่างของเขา

จากนั้นเคาส์ โมเร็นจึงเดาะลิ้นหลังจากเห็นว่าอะไรกำลังมา

“นายแพ้จริงๆ เหรอนี่?”

เขาได้บอกพวกควาดราทัสคนอื่นๆ เผื่อไว้ แต่การที่หมอนี่แพ้จริงๆ

ในขณะที่กยีซูกำลังแสดงสีหน้าอับอาย เคาส์ โมเร็นก็ย่นจมูกของเขากับกลิ่นที่เจือจางอย่างมาก

กลิ่นที่มนุษย์ปกติไม่อาจรับรู้ได้ แต่มีเพียงเขาที่ได้เรียนรู้ <นักไล่ล่าอโรนาน> ที่จะสามารถรับรู้ได้

จากนั้นเขาจึงมองไปยังที่มาของกลิ่นนั้น

ต้นขาของกยีซู

เคาส์ โมเร็นมุ่นคิ้วขณะที่มองไปยังกยีซูด้วยสีหน้าที่น่าหวาดกลัวถึงที่สุด

“ไอ้ไร้สมองนี่…”

“อะไรนะ?”

กยีซูตกใจกับความกระหายเลือดที่มุ่งตรงมายังเขากะทันหัน ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างไม่รู้ตัว

 

 

กร๊าซซซซ!

กลิ่นที่เจือจางอย่างมากได้ลอยผ่านจมูกของเกอร์ทาส

กลิ่นที่จะถูกสร้างขึ้นเมื่อฟีโรโมนของเกอร์ทาสที่ตื่นตะหนกอย่างมากและเลือดได้รวมกัน

มันชัดเจนว่ากลิ่นนี้หมายถึงสิ่งใด

ว่าคนที่ฆ่าหนึ่งในพวกมันได้ท่วมไปด้วยเลือดของพวกมัน

กลิ่นที่รุนแรง ที่ดูราวกับกำลังเรียกร้องหาการล้างแค้น ได้ถูกพัดพามาด้วยสายลม

และมันได้ขยายขึ้นนับพันเท่า

กร๊าซซซซ!

เกอร์ทาสนับพันที่ได้เดินไปมาใกล้ๆ ทะเลสาบคุคูลจาเริ่มที่จะพุ่งไปยังต้นกำเนิดของกลิ่นนั้นอย่างบ้าคลั่ง

ฮันซูหัวเราะเมื่อเห็นเช่นนั้น

เขาไม่อาจซื้อเวลาได้มาก แต่ตอนนี้มันเพียงพอแล้ว

‘ฉันควรจะทำมันให้เสร็จเร็วๆ และไปหาน้ำแร่ธาตุนั่นสักหน่อย ฉันสงสัยจริงว่าเจ้ากยีซูนั่นยังอยู่ดีไหม’

เขาไม่รู้ว่าใครคือเคาส์ โมเร็น แต่จากสิ่งที่เขาได้ยินเกี่ยวกับนิสัยของหมอนั่น มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับหมอนั่นในการเมินเฉยต่อความผิดพลาดเช่นนี้

ชายหนุ่มพุ่งตัวออกไปเพื่อทำสารสกัดให้ทันเวลาที่กยีซูนั่นได้มอบให้เขาอย่างใจดี

 


TL: ถ้าไม่ยุ่งกับปู่ก็ได้อยู่กันสบายๆ แล้วแท้ๆ//มองว์