บทที่ 57: การล่ามัจฉาภัยพิบัติ (2)

 

 

 

 

“ตอนนี้การเตรียมการเสร็จหรือยัง?”

หนึ่งในลูกกิลด์ของกิลด์ผู้ช่วยเหลือที่ได้มองไปยังทะเลเหนือกางเขนทั้ง 2,184 เอ่ยขึ้นหลังจากผ่อนคลายร่างกายของตนเองลงเมื่อเห็นว่าไม่มีเรือลำใดเข้ามาอีก

“เราทำเสร็จไปบางส่วนแล้ว เราได้ให้ตัวคั้นกับพวกโยฮานไปก่อนหน้าพร้อมกับคำอธิบายพื้นฐาน นับจากนี้พวกนั้นคงไม่เป็นไรแล้ว”

ช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดของพวกเขา <กิลด์ผู้ช่วยเหลือ> คือตอนนี้

เมื่อผู้คนจากพื้นที่ฝึกซ้อมมาที่นี่ พวกเขาต้องบอกคำเตือนพื้นฐานแก่พวกนั้น ก่อนจะแยกกันอีกครั้ง

และพวกเขาจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคนมาใหม่ของทุกปีและจัดระเบียบมัน

“มาตรฐานของคราวนี้เป็นยังไงบ้าง?”

เพื่อนของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ ยักไหล่เมื่อได้ยินเช่นนั้น

“นายก็รู้ว่ามันเป็นยังไง มันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยทุกปี”

“แฟรี่พวกนั้น พวกนั้นแค่ผ่านไอ้ของแบบนั้นมา”

แฟรี่ได้สร้างบทฝึกซ้อมขึ้นเพื่อให้มนุษย์มีชีวิตรอด แม้ว่าพวกเขาจะถูกส่งมาที่ปลายรากนี้

และเพราะแบบนั้น มาตรฐานของผู้ที่ผ่านบทฝึกซ้อมจึงได้เพิ่มขึ้นทุกปี

เหตุผลนั้นง่ายดาย

เมื่อสภาพแวดล้อมของปลายรากนั้นได้โหดร้ายขึ้นตามเวลาที่ผ่านพ้น

‘ชิ จำนวนของผู้รอดชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมากถ้ามัจฉาภัยพิบัติหายไป’

สถานที่ที่คนมาใหม่จะอยู่นั้นใกล้กับศูนย์กลางของต้นไม้โลกมากขึ้น เมื่อไอ้สิ่งนั้นยังคงกัดกินรากของต้นไม้อยู่ตลอด

ถ้านับรวมถึงการที่ระดับของสัตว์อสูรจะเพิ่มขึ้นตามระยะทางที่ใกล้กับต้นไม้โลกยักษ์นี้ มันก็หมายความว่าความยากของพื้นที่ที่เด็กใหม่มาหลังจากบทฝึกซ้อมนั้นจะเพิ่มขึ้นทุกปี

และเพราะแบบนั้น พวกมันจึงต้องกำหนดมาตรฐานที่เหมาะสมกับมัน ความยากของบทฝึกซ้อมเพิ่มขึ้น และอัตราการรอดชีวิตจึงลดลง

‘พวกเขาต้องอยู่บนเรือนานขึ้นด้วย’

ถ้าไอ้สิ่งนั้นหายไป เช่นนั้นจำนวนมนุษย์ถูกลากมายังที่แห่งนี้จะเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์

เมื่อรากจะเติบโต และความยากของบทฝึกซ้อมจะลดลงเพื่อให้เหมาะสมกับมัน

มันบอกว่าอัตราการรอดชีวิตของบทฝึกซ้อมครั้งแรกตอนที่ยังคงมีรากเหลืออยู่คือ 55% ซึ่งมากกว่าตอนนี้มาก

‘คน 14% มีชีวิตรอดเมื่อปีที่แล้ว แต่ว่ามันมีแค่ราว 11% ในปีนี้… คนอีกราวๆ 3 พันล้านจะมาที่นี่ แต่การที่อัตราการรอดชีวิตเป็นแบบนนี้…’

จำนวนที่ได้ข้ามมาโลกนี้ในเวลา 20 ปีที่ผ่านมานั้นราวๆ 3.5 พันล้าน

แต่ความถี่ในการมานั้นกำลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่รวดเร็ว

ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังฉุดกระชากโลกของพวกเขา

แม้ว่าอัตราการรอดชีวิตในปัจจุบันจะลดลง จำนวนของพวกมาใหม่กลับเพิ่มขึ้น

ในอัตราส่วนเช่นนี้ ในเวลาราว 5-6 ปีนับจากนี้ มนุษย์ทุกคนจะถูกลากมายังที่นี่ และจากนั้นจะถูกสังหารหมู่ในบทฝึกซ้อม

‘เวรเอ้ย’

ลูกกิลด์ผู้ช่วยเหลือแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา

เมื่อโอกาสที่ครอบครัวของเขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกสังหารหมู่นั้นสูงมาก

ถ้าความยากของบทฝึกซ้อมถูกรีเซ็ทเพราะมัจฉาภัยพิบัติหายไป และรากได้เติบโตกลับไป เช่นนั้นจำนวนของมนุษย์จะเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก แต่น่าเศร้าที่มัจฉาภัยพิบัติไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถรับมือได้

‘เอาเถอะ แม้ว่ามันดูเหมือนว่าจะมีคนแปลกๆ ปรากฏตัวขึ้นมาเพราะความยากที่เพิ่มขึ้น’

จากนั้นเขาจึงมองไปยังชายที่ต่อสู้กับคามิลลี โรวล์อยู่ไกลๆ

ชายที่ต่อสู้กับคามิลลี โรวล์อย่างสูสีแม้ว่าจะเป็นคนมาใหม่

ไม่สิ เขาไม่แม้แต่จะต่อสู้อย่างสูสี

เมื่อเด็กใหม่นั่นดูเหมือนจะเยือกเย็นมากกว่ากระทั่งในแววตา

หมอนั่นไม่มีสกิลหรืออาร์ติแฟคใดๆ

ทว่าเขาก็ยังคงอยู่ในระดับนั้น

ข่าวลือเกี่ยวกับชายคนนั้นจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

‘หืมมม พวกแมวมองอาจจะมา’

ชายที่ยืนอยู่เหนือกางเขนพึมพำอยู่ภายในขณะที่มองไปยังผู้ที่เดินตรงมายังเขา

 

 

คามิลลีหัวเราะอย่างไร้สติเมื่อได้ยินคำกล่าวของฮันซู

“เวรเอ้ย จะอะไรก็ช่าง ยังไงมันก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าจะล้มเหลวเป็นครั้งที่ 14”

ยังไงเธอก็จะพยายามอีกครั้งอยู่แล้ว

สิ่งที่แตกต่างคือการที่เธอจะต้องเอาคนคนนี้ไปกับเธอ

ฮันซูเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นจึงมองไปยังอีกฝ่าย

“เธอกำลังพูดอะไร การล้มเหลวนั่นน่ะ มันไม่มีเวลาแล้ว”

“…?”

“เราต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน ถ้าเธอพลาดมา 13 ครั้ง เช่นนั้นมันก็เป็นเวลาที่จะต้องสำเร็จสักครั้ง เธอเตรียมที่จะหลบหนีออกจากมันด้วยนี่ ยอดเยี่ยม”

“…”

“ไปเถอะ มันไม่มีเวลาแล้ว มีเวลาเหลืออีก 13 วันและ 18 ชั่วโมง”

ถ้าคำนวณถึงความเร็วในการเคลื่อนที่ของสิ่งนั้นด้วย มันก็คงเป็นเวลาราวๆ นั้น

แต่นั่นก็แค่เวลาที่มีเหลืออยู่

มันดีกว่าในการที่จะเตรียมตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และฆ่ามันในทะเลที่ห่างออกไป

เมื่อจำนวนของการสูญเสียจะพุ่งทะยานขึ้นเมื่อไอ้สิ่งนั้นเสียสติในชั่วระยะเวลาสุดท้าย

ฮันซูลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาเมื่อเอ่ยจบ

‘เขามั่นใจจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าน่าด่า หมอนั่นทำให้คนอื่นตกหลุมพราง เวรเอ้ย’

คามิลลีเดาะลิ้นก่อนจะเอ่ยถามขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่ม

“นายจะทำอะไรก่อน?”

ฮันซูยักไหล่

“ฉันจะไปที่กิลด์ช่วยเหลือ อย่างน้อยฉันควรไปเยี่ยมหน่อย”

‘ในเมื่อฉันต้องไปเอาตัวคั้น’

เขาไม่ได้มีข้อมูลใดๆ แต่ตัวคั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการที่จะไม่อดตาย

คามิลลีนึกถึงสิ่งที่เธอลืมไปได้เมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“อ่า…”

‘โอ้ใช่ เขาเป็นมือใหม่’

เธอไม่แม้แต่จะคิดถึงมันเพราะการกระทำของอีกฝ่ายมันไม่เหมือนเช่นนั้นเกินไป

‘เออ โอเค ฉันก็มีสิ่งที่ต้องทำเหมือนกัน’

คามิลลีลุกขึ้นจากที่นั่ง จากนั้นจึงเดินไปยังลูกกิลด์ผู้ช่วยเหลือที่ได้คุ้มกันกางเขนอยู่

‘ฉันหวังจริงๆ… ฉันหวังจริงๆ ว่าน้องชายของฉันจะยังไม่มา’

แต่น่าเศร้า โอกาสได้เพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านพ้นไป

เมื่อจำนวนของคนที่มาที่นี่ผ่านบทฝึกซ้อมได้เพิ่มขึ้น

หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นคนที่เหลือบนโลกจะข้ามมายังอีกโลกในเวลาอีกราว 5-6 ปี

มันเป็นสาเหตุให้เจ็ดเสี้ยววิญญาณและคนอื่นๆ อีกจำนวนมากที่มีคุณสมบัติในการขึ้นไปยังคงรั้งอยู่ที่เขตสีแดงเพื่อค้นหา

เพื่อที่จะรอครอบครัวของพวกเขาหรือบุคคลทรงคุณค่าที่สามารถมาได้ตลอดเวลา

เหตุผลที่กิลด์ผู้ช่วยเหลือนั้นสามารถที่จะคงอยู่ได้นั้นเรียบง่ายเช่นกัน

มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการรวมความคิดกันของคนที่ต้องการที่จะหยุดยั้งการตายของครอบครัวหรือคนใกล้ชิดของพวกเขา

กิลด์ผู้ช่วยเหลือนั้นคือสถานที่ที่ความคิดของคนเหล่านั้นที่อาจค้นหาครอบครัวของพวกเขาเพราะสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่พวกเขาเผชิญอยู่ แต่ต้องการที่จะหยุดบางสิ่งอย่างความตายที่จะเกิดขึ้นได้สนับสนุน

เมื่อพวกเขาจะสามารถพบกันได้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

‘คนคนนั้นที่ชื่อว่าแอรีสเป็นคนที่น่ามหัศจรรย์ เธอคิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อนได้ยังไงกัน?’

แอรีสได้ขึ้นไปแล้ว แต่กิลด์ของเธอยังคงอยู่เบื้องหลังเพื่อที่จะรับคนมาใหม่และดูแลพวกเขาไปพร้อมๆ กับการสนับสนุนของคนอื่นๆ ในเขตสีแดงส่วนอื่น

แน่นอนว่ามันเป็นแค่เรื่องพื้นฐานที่สุดเท่านั้น

เมื่อไม่มีใครจะดูแลสิ่งที่นอกเหนือไปกว่านั้น

พวกเขาช่วยเหลือในเรื่องของวิธีการรอดชีวิตที่เป็นพื้นฐานที่สุดรวมทั้งการเตรียมพร้อม แต่การมีชีวิตรอดหลังจากต่อสู้กับสัตว์อสูรหรือคนอื่นๆ นั้นล้วนขึ้นอยู่กับคนพวกนั้น

คามิลลีทักทายหนึ่งในคนของกิลด์ผู้ช่วยเหลือหลังจากที่ไปถึง

“มันก็สักพักแล้ว ฉันขอดูแคตตาล็อคหน่อยได้ไหม? แล้วก็ดูแลเด็กใหม่นี่ด้วย”

“คุณเป็น VIP ได้แน่นอน ไหนดูสิ…”

จากนั้นลูกกิลด์คนนั้นจึงเริ่มตรวจสอบแคตตาล็อค

โดยปกติแล้วพวกเขาจะทำเพียงแค่บอกคำเตือนพื้นฐานและให้ตัวคั้น

แต่สำหรับผู้ที่สนับสนุนพวกเขาอย่างมาก มันก็จะมีบริการพิเศษเล็กน้อย

<การค้นหาคน>

ถ้าอธิบายถึงรูปลักษณ์พื้นฐานหรือชื่อเอาไว้ จากนั้นเด็กใหม่ของกิลด์ผู้ช่วยเหลือจะกระจายไปทั่วปลายรากนับพันเพื่อที่จะค้นหาคนที่ VIP ต้องการ

คนที่ถูกค้นหาโดย VVIP ที่มีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งกว่าจะถูกตรวจสอบว่าพวกเขาอยู่ในบทฝึกซ้อมหรือไม่

ลูกกิลด์ผู้ช่วยเหลือที่ได้ค้นหาภายในแคตตาล็อคส่ายศีรษะ

“มันไม่ได้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ที่รากนี้ แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถตรวจสอบในบทฝึกซ้อมได้ด้วยจำนวนชการสนับสนุนของคุณ ฉันก็ไม่รู้เกี่ยวกับรากอื่นๆ แต่ข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมภายในสองวัน ดังนั้นค่อยมาหาพวกเราอีกครั้งในตอนนั้น”

ชายคนนั้นเอ่ยจบก็ขึ้นไปด้านบน

พร้อมด้วยคนจำนวนหนึ่งด้านหลัง

คามิลลีรู้ถึงตัวตนของคนเหล่านั้น

คนพวกนั้นคือคนที่ VIP หรือ VVIP ถามหา

“เฮ้ออ…”

เธอได้รับการยืนยันแล้วว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่มันค่อนข้างกวนใจอยู่ด้วยตัวมันเอง

เมื่อมันไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าพวกเขาได้ถูกลากมายังโลกนี้หรือว่าได้ตายไปแล้วในบทฝึกซ้อม

แต่คามิลลีส่ายศีรษะ

‘ตั้งสมาธิไปที่มัจฉาภัยพิบัติ’

อย่างไรการค้นหาน้องชายของเธอไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถทำได้อยู่แล้ว

คามิลลีเอ่ยกับฮันซูที่กำลังรวบรวมตัวคั้นและของอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง

“โอเค ไหนขอฟังแผนของนายหน่อย”

ฮันซูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างมาก

“ง่ายมาก เธอจะต้องนำทางฉันไปภายในตัวมัน จากนั้นฉันจะเทไพ่ลับที่ฉันได้เตรียมเอาไว้ในจุดตายภายในร่างของมัน”

“…”

‘ฉันควรจะกระทืบเขาไหม?’

คามิลลีถอนหายใจ ส่ายหัว ก่อนจะเอ่ยขึ้น

เอาเถอะ นั่นก็เป็นการสรุปแบบง่ายๆ ของมัน

เมื่อพวกเขาไม่อาจฆ่ามันได้จากด้านนอก

แม้ว่าปัญหาจะอยู่ที่การที่หมอนั่นเอ่ยวิธีการออกมาได้สั้นสุดๆ ก็ตาม

“เออ โอเค มันมีหลายสิ่งที่จะต้องเตรียม ฉันได้เตรียมเรือไว้แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเรือสำหรับคน 30 คนก็เถอะ”

ถ้าไอ้สิ่งนั้นมาถึงที่พื้นและเริ่มที่จะกิน เช่นนั้นมันก็จะไม่มีแม้แต่เวลาในการเข้าไปในตัวมัน

เมื่อสวรรค์จะร่วงหล่นแหลกสลาย

พวกเขาจำเป็นต้องเข้าไปใกล้ๆ มันอย่างเงียบๆ ขณะที่มันว่ายอยู่ จากนั้นจึงเข้าไปภายในตัวของมัน

แน่นอนว่าความเงียบคือสิ่งที่สัมพันธ์กับสิ่งที่ควรเป็น

เมื่อทอร์นาโดขนาดยักษ์ได้ปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวมัน

ฮันซูส่ายศีรษะ

“เธอจะทำอะไรได้กับเรือสำหรับ 30 คน มากับของฉันแล้วกัน”

“อะไรนะ?”

“ฉันเตรียมเรือสำหรับ 500 คนไว้”

“เฮ้! ไอ้คนเสียสติ… นายแค่ทิ้งมันไว้เฉยๆ รึไง?”

คามิลลีตะโกนออกไปอย่างตกจ

ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้นเมื่อมีคนจำนวนมากต้องการเรือแบบนี้

ฮันซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“อย่ากังวล ฉันซ่อนมันไว้อย่างดี ไปที่หัวข้อต่อไปเถอะ”

“…”

ในขณะที่คามิลลีกำลังสั่นศีรษะ ฮันซูก็ตรวจสอบสิ่งที่อีกฝ่ายเตรียมเอาไว้

เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่ชายหนุ่มมาหาอีกฝ่าย

เมื่อเธอได้เตรียมของที่จะสามารถหาได้จากต้นรากหรือลำต้นเท่านั้นเอาไว้

มันมีหลายสิ่งที่ต้องเตรียมการก่อนที่จะเข้าไปภายในร่างของมัน แต่จะสามารถประหยัดเวลาได้อย่างมากหากเป็นเช่นนี้

คามิลลีแสยะยิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น

‘ถึงนายจะเห็นมันนายจะไปรู้อะไร’

สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจพบเห็นได้แม้จะอยู่ในบทฝึกซ้อม

ในตอนนั้นเองที่ฮันซูมองไปยังคามิลลีและเอ่ยถาม

“เธอได้เตรียมของเหลวของอาพอนไว้รึเปล่า? เราต้องใช้มัน”

มันเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในการสร้าง <น้ำยาหิน> ที่นักวิจัยทั้ง 127 คนได้ค้นคว้ามาและสามารถร้างขึ้นได้ในที่สุดด้วยข้อมูลที่ได้มาจากเอลวินไฮล์มที่เขาได้พบในอบิสเป็นพื้นฐาน

“… นายรู้จักมันด้วยเหรอ?”

‘… เขาเป็นเด็กใหม่จริงๆ เหรอ?’

แข็งแกร่งก็ส่วนแข็งแกร่ง ข้อมูลมันเป็นเรื่องที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“ฉันมีพลังจิต เลิกสนใจเรื่องไร้สาระเถอะ มันไม่มีเวลาแล้ว”

“…”

ฮันซุเอ่ยตอบอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์อย่างละเอียดอีกครั้ง

คามิลลีมองไปยังชายหนุ่ม

‘… เขามีลักษณะพิเศษห้องสมุดรึไง?’

ลักษณะพิเศษ <ห้องสมุด>

มันจะเติมเต็มข้อมูลที่คนคนหนึ่งไม่รู้ และเมื่อระดับของมันเพิ่มขึ้น มันจะให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ

‘ฉันคดว่าเขาจะมีลักษณะพิเศษที่เกี่ยวกับการต่อสู้… แต่การที่มันเป็นห้องสมุด’

เธอคิดว่ามันเป็นลักษณะพิเศษที่เกี่ยวกับห้องสมุดเพราะเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งแบบนั้น แต่ห้องสมุดเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายไปเล็กน้อย

‘บางทีเขาอาจจะมีลักษณะพิเศษสองอย่าง?’

มันอาจเป็นไปได้เมื่อหมอนั่นปกปิดไว้หลายสิ่ง

ในขณะที่คามิลลีกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่พร้อมกับมองไปยังชายหนุ่ม ฮันซูที่ได้ตรวจสอบการเตรียมการของอีกฝ่ายเตรียมร้อยก็ตัดสินใจ

‘เควรแยกกันหาเพื่อที่จะประหยัดเวลา’

คามิลลีเตรียมของไว้ของข้างดี แต่มันไม่พอ

‘สิ่งแรกที่เราต้องสร้างคือ <น้ำยาหิน>’

<น้ำยาหิน>

ของเหลวที่นักวิจัยได้ค้นคว้าเพื่อที่จะสร้างอาการบาดเจ็บถึงตายให้กับมันหลังจากที่เข้าไปภายในร่างของมัจฉาภัยพิบัติแล้ว

สิ่งอื่นๆ อาจไม่ แต่สิ่งนี้จำเป็น

“แยกกันเคลื่อนไหวเถอะ มันมีหลายสิ่งที่เราต้องไปเอา”

ฮันซูเอ่ยถึงสิ่งที่จำเป็นต้องใช้แก่คามิลลี

วัตถุดิบที่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน แต่คามิลลี โรวล์ที่ได้เดินทางไปทั่วรากเป็นระยะเวลา 3 ปีย่อมรู้

คามิลลีจะสามารถนำพวกมันมาได้ทันเวลาอย่างแน่นอน

สำหรับสิ่งที่จะยากเกินไปในระดับของอีกฝ่าย เขาต้องเป็นคนไป

ในขณะที่ฮันซูกำลังวางแผนสำหรับอนาคต คามิลลีได้ผงกศีรษะหลังจากที่ตรวจสอบรายการที่ชายหนุ่มได้บอกเธอ

‘มันชัดเจนว่าคนคนนี้ต้องมีดีบางอย่าง’

ของ 17 อย่างที่อีกฝ่ายบอกมานั้นคือสิ่งที่เธอไม่ได้เตรียมเพราะเธอไม่มั่นใจ แต่มันล้วนเป็นสิ่งที่เธอคิดว่าน่าจะได้ผลในจุดหนึ่ง

‘ฉันจะเชื่อเขาสักครั้ง’

คามิลลีที่คิดเสร็จได้แยกตัวกับฮันซูและเริ่มที่จะมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่แตกต่างกับอีกฝ่าย

 

 

‘ถึงมันอาจจะลำบากไปหน่อย… ฉันก็ยังสามารถหาได้หมดทุกอย่างตราบเท่าที่ไม่มีปัญหาระหว่างทาง’

ปัญหาเพียงอย่างเดียวนั้นคือระยะทางที่เธอต้องเดินทาง และวัตถุดิบหลายชนิดที่เธอต้องหา เธอรู้สถานที่หาของทั้ง 17 อย่างนั้น และมันไม่ได้ยากสำหรับนักผจญภัยปีสามอย่างเธอ เพราะส่วนมากนั้นเป็นสัตว์อสูรที่ปลายราก

ในขณะที่คามิลลีกำลังกระโดดด้วยทวงท่าคล่องแคล่ว เสียงดังลั่นก็ได้ดังขึ้นจากสถานที่แห่งหนึ่ง

“เฮ้ คามิลลี รูปร่างของเธอยังยอดเยี่ยมเหมือนเคย มันจะระเบิดออกมาอยู่แล้วนั่น มันมีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างพวกตะวันตกกับพวกตะวันออกจริงๆ”

ผู้ถูกเรียกชื่อหมุนตัวกลับไปยังต้นเสียง

“คังกยีซู… ไอ้เวร”

“โว้ว โว้ว อย่ามองฉันแบบนั้น เรามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างพิเศษระหว่างกันนี่ เราได้เข้าไปและออกมาจากภายในมัจฉาภัยพิบัติด้วยกัน”

“… ฉันไม่ควรพาไอ้ฉิบหายแบบแกไปในความพยายามครั้งที่สอง”

สำหรับคนที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดและออกมาจากภายในร่างมัจฉาภัยพิบัติเพื่อที่จะกลายเป็นควาดราทัส

คามิลลีขบฟันแน่น

“ฉันยังใช้รีลิคที่ได้มาจากภายในท้องของมันเป็นอย่างดี คุคุ ขอบใจเธอ เมื่อทั้งหมดมันเป็นเพราะเธอ ฉันถึงได้ตำแหน่งค่อนข้างสูง”

จากนั้นกยีซูจึงเหวี่ยงดาบของเขาไปรอบๆ

สกิลแปลกประหลาดที่มาพร้อมกับดาบที่ทำให้อากาศที่มันวาดผ่านสั่นกระเพื่อม

“…แกจะขัดขวางฉันอีกแล้วเหรอ?”

ขณะที่คามิลลีกัดฟันกรอด กยีซูก็หัวเราะเสียงดัง

“อุวะฮะฮะฮะฮะ! เธอเข้าใจผิดแบบไหนกันเนี่ย ถ้าเราขัดขวางเธอจริงๆ เธอคิดเหรอว่าเธอจะสามารถเข้าใกล้มัจฉาภัยพิบัติได้? ถ้าเราทำมันอย่างตั้งใจ งั้นเธอก็คงตายไปแล้ว เราเก็บเธอไว้เพียงแค่เพราะมิตรภาพเก่าๆ”

“อะไรนะ?”

ขณะที่คามิลลีหงุดหงิด กยีซูก็หัวเราะคิกคักก่อนจะพูดขึ้น

“การขัดขวางเธอมันก็เหมือน… เอาเถอะ เราเป็นแค่ผู้ติดตาม ดังนั้นแล้วเราจึงแตะต้องเธอแค่ไม่กี่ครั้งเพราะเราไม่อาจปล่อยให้คนที่พยายามฆ่าเทพเจ้าของพวกเราไว้เฉยๆ ได้ เธอก็เห็นนี่ ภายในของมัจฉาภัยพิบัติน่ะ”

“…”

“คนอื่นไม่รู้ แต่เธอกับฉันรู้ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ได้เห็นของแบบนั้นแล้วถึงได้ไม่เข้าร่วมกับควาดราทัสของเรา”

“… ดังนั้นนายเลยมาที่นี่เพื่อที่จะขอให้ฉันเข้าร่วมควาดราทัสของนายอีกครั้ง?”

กยีซูสั่นศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ไม่ เราไม่ได้สนใจอีกแล้ว”

“อะไรนะ?”

“มันไม่ไร้ยางอายไปหน่อยเหรอในการถามหาความสนใจหลังจากล้มเหลวไป 13 ครั้ง? มันไม่แม้แต่จะสนุกอีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ”

“…”

“ฉันมาที่นี่เพราะมีธุระนิดหน่อยกับเด็กใหม่ เขาชื่อคังฮันซูรึเปล่านะ?”

ขณะที่สีหน้าของคามิลลีแข็งค้าง กยีซูก็โบกมือของเขาก่อนจะเอ่ย

“โว้ว อย่ามองฉันแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเขาเหมือนกัน เธอก็เห็น พวกแมวมองมาจากด้านบน”

คามิลลีมองไปยังอีกฝ่ายด้วยอาการมุ่นคิ้วเล็กๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น

 


TL: ปู่ยิ่งรีบๆ อยู่ นี่ก็วุ่นวายกันจัง