บทที่ 56 นักล่าสมบัติ จูไป๋เหนี่ยว

หลินหงชวน ออกจากที่นั้นพร้อมกับหลานชายของเขา แต่อาการตกตะลึงจากการปรากฎตัวของชายชราผู้นี้ ไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย

“คุณเย่ ฉันต้องกราบขอโทษคุณจริงๆ”

ท้ายที่สุด เซี่ยหมิน ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับเย่เฟิง เช่นนี้เป็นการเยาะเย้ยและเสียศักดิ์ศรีของผู้หญิง ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะยอมจำนน

เย่เฟิง มองไปยังใบหน้าของ เซี่ยหมิน ที่มีการแต่งอย่างจัดเต็ม เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นแสร้งทำของผู้ที่อ่อนแอและแกรงกลัวต่อผู้ที่แข็งแกร่ง ในโลกเทวะ เขาได้พบผู้คนมากหน้าหลายตา จนเขารู้สึกเบื่อ

“ผมไม่ต้องการคำขอโทษของคุณ ถ้าคุณต้องการขอโทษจริง ๆ เอาคำขอโทษของคุณไปบอก เหมิงหานเถอะ”

เย่เฟิงส่ายหัวแล้วเหลือบมองด้านข้างของซูเหมิงหาน เขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยเรื่องนี้ให้สาวน้อยได้ระบายความขัดข้องใจ ซึ่งเธอได้รับมาตลอดกว่า 10 ปี

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก อย่างไรซะความสัมพันธ์ของเรานั่น จากนี้ มันจะไม่มีอีกแล้ว”

ซูเหมิงหานส่ายหัวของเธอและกล่าวอย่างเย็นชากับเซี่ยหมิน ขณะที่ยื่นอยู่ด้านข้างของเย่เฟิง

มันเป็นความประสงค์หนักแน่นของเธอ ตั้งแต่บ่ายวันนี้ ที่ซูซินฉางตัดสินใจเลือกเซี่ยหมิน มากกว่าเธอ ตั้งแต่นั้นมาซูเหมิงหานตัดสินใจเด็ดขาด ว่าจะไม่กลับไปหาครอบครัวเธออีก

แม้ว่าพวกฝ่ายตรงข้ามจะเต็มใจขอโทษเธอในตอนนี้ แต่เธอไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน กว่า 10ปีที่เธอไม่ได้รับความเป็นธรรมและต้องทนอยู่อย่างเจ็บช้ำน้ำใจ มันเป็นไปได้หรือที่คำขอโทษเพียงเท่านี้จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น?

“เหมิงหาน……”

ซูซินฉาง อ่านสีหน้าและท่าทางที่แสดงออกมาของเธอและก็เข้าใจว่าตอนนี้มันสายเกินไปสำหรับเขาที่จะพูดขอร้องอะไรเธอ ใบหน้าของเขาถึงกับหมองลงทันที

“ถ้างั้น เล่าเรื่องยายของเธอมา ว่าอะไรเป็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ของยายเธอ ?”

เย่เฟิง ไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยของฝ่ายตรงข้าม เขาถามคำถามที่สำคัญที่สุด อย่างตรงไปตรงมา.

ถ้าเขามีเวลาพูดคุยไร้สาระกับพวกนั้น เช่นนี้เขาควรจะกลับไปเริ่มต้นการฝึกฝนพลังวรยุทธ์ของเขา เพื่อเพิ่มระดับความแข็งแกร่งมากกว่า ซึ่งนั้นเป็นไพ่ตายของเขาอย่างแท้จริง มากกว่าจะพึ่งตระกูลหลินหรือเย่เวิ่นเทียน ไพ่ตายของเขาคือสถานะผู้ฝึกยุทธ์ ตราบใดที่เขาเก็บความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นไว้ อนาคตเขาสามารถจัดการได้อย่างสบาย กับตระกูลหลินและตระกูลมังกร แม้พวกเขาจะร่วมมือกัน เย่เฟิงก็สามารถจัดการได้เช่นกัน

สำหรับผู้มีอิทธิพลทั้งหมด ต่อหน้าพลังอันมหาศาลแล้ว พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากกลุ่มควัน

ในที่สุด เขาได้สอบถามเกี่ยวกกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพียงเพื่อให้ซูเหมิงหานได้รับคำสารภาพ

แต่น่าเสียดาย ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพียงแต่เซี่ยหมินยังไม่พร้อมที่จะยอมรับ แม้ว่าเธอจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็ตาม ใครที่ไหนอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือในคุก เพราะการยุยงส่งเสริมของใครบ้างคน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่เฟิงถาม หล่อนตกใจและสั่นหัวด้วยความกลัว “ฉันพูดจริงนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา เราไม่ใช่คนอย่างนั้น ฉันไม่ทำเรื่องบ้า ๆ อย่างนั้นหรอก ”

“จริงรึ ?”

เย่เฟิงถาม  แล้วเขาหันไปและมองไปยังทั้ง 4 คน เซี่ยผิงฮุย,เซี่ยหมิน, เซี่ยเฉิงเย่ และซูซินฉาง นอกจาก เซี่ยผิงฮุย ที่มีสีหน้าปกติแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 3 คน พวกเขามีลักษณะที่แสดงออกถึงความกังวล และความน่าสงสัยที่จะทำผิดต่อหน้าเย่เฟิง
เนื่องจากคนเหล่านี้ ปากแข็งปฎิเสธที่จะยอมรับเรื่องนี้ ดังนั้นเย่เฟิงมีวิธีการติดตามถึงที่สุด เขาเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่เดิมเรื่องนี้ควรถูกจัดการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แต่หากกฏหมายของโลกใบนี้ยังคงเป็นแบบนี้ เย่เฟิงตั้งใจว่าจะปล่อยให้ซูเหมิงหานสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และในการสอบสวนนี้จะมีแก๊งอสรพิษสวรรค์คอยช่วยเหลือเธอ เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะได้รับความจริงในเรื่องดังกล่าว

แต่ถ้าพวกเขาทำไม่สำเร็จ ไว้เย่เฟิงสามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับ 5 ปี หลังจากนั้นเขาจะสามารถใช้ “วิชาสะกดจิต”ใส่ ซูซินฉางและเซี่ยหมิน เพื่อดึงเอาความจริงออกมา นี่เป็นหนึ่งในวิชาที่โลกเทวะใช้กันทั่วไป โดยจะใช้กับคนธรรมดา เพื่อให้มั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามพูดความจริง

“ไปกันเถอะ หน้าบาก พวกนายด้วย ”

เย่เฟิงพยักหน้าให้ ซูเหมิงหาน จากนั้นเรียกชายหน้าบาก เพราะเขาอยากจะบอกให้แก๊งอสรพิษช่วยซูเหมิงหาน สอบสวนความจริงที่อยู่เบื้องหลังการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ของยายเธอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อชายหน้าบากเรียกคนของเขามา ในขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ของเย่เฟิงก็ดังขึ้น

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

เขาก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเห็นว่าเป็นอู๋บีโทรมา ดังนั้นเขาให้ชายหน้าบากและซูเหมิงหานยืนอยู่ตรงนั้น และรับโทรศัพท์

“ว่าไงพี่อู๋ มีเรื่องอะไรหรือ”

เย่เฟิง ถามแซวเขา

“เรื่องใหญ่มาก ผึ้งน้อย รีบมาที่ร้านด่วนเลย นักล่าสมบัติ จูไป๋เหนียว อยู่ที่นี้แล้ว…….”

เสียงของอู๋บีร้อนร้นมาก

“ว่าไงนะ?”

ทันทีที่เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ความรู้สึกอื่นๆที่เคยมีในใจหายไปอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มหวนนึกถึงรูปภาพเจ็ดรูปอันเรือนลางที่มีแผ่นหลังของอาจารย์ของเขา ก่อนหน้านี้อาจารย์ของเขาเคยปรากฎตัวอยู่ที่สุสานราชวงศ์ชางที่ภูเขาฉางไป่

อาจารย์ นั่นคือท่านจริงๆใช่หรือไม่?

เย่เฟิงรู้สึกว้าวุ่นใจไปหมด เขาตะโกนใส่โทรศัพท์ “ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้แหละ!”

“รีบๆเลย ได้ยินว่าเขากำลังจะกลับไปที่ภูเขาฉางไป่คืนนี้อีกครั้งด้วยนะ!”

อู่บีเตือนอย่างร้อนรน

“เข้าใจแล้ว ทำยังไงก็ได้รั้งเขาไว้ก่อนนะ!”

กล่าวจบเย่เฟิงรีบวางสายทันที

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

ซูเหมิงหานเริ่มสงสัยเช่นกัน สีหน้าของเย่เฟิงตอนนี้ราวกับสีหน้าของชายหนุ่มเมื่อยามบ่ายไม่มีผิด อะไรที่ทำให้เขากังวลได้ถึงขนาดนี้กันนะ?

“มีเรื่องด่วนเข้ามาน่ะ…”

เย่เฟิงตกอยู่ในห้วงความคิดของเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกซูเหมิงหานและชายหน้าบาก “ฉันจะต้องออกจากเมืองเหยียนจิงตอนนี้ไปสักพักนึง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนเหมือนกัน หน้าบากแล้วก็เจ้าอี้เปยให้ไปกับฉันด้วย แล้วช่วยหาใครสักคนมาช่วยซูเหมิงหานสืบสวนเรื่องที่เธอต้องการ”

“อะไรนะ?”

คำพูดของเย่เฟิงทำให้ชายหน้าบากตกใจ เขายังคงทำอะไรไม่ถูก มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?

“ฉันวางแผนว่าจะไปที่ๆหนึ่งที่ไกลจากที่นี่มาก นายไม่คิดเหรอว่านายจะตายจากยาพิษไปก่อนน่ะ เพราะฉะนั้นตามฉันไปดีกว่านะ”

“เย่เฟิงกระซิบบอกชายหน้าบาก”

“โอเคครับ เข้าใจแล้ว”

ชายหน้าบากหนึ่งในสามผู้ใหญ่แห่งแก๊งมาเฟียของเมืองเหยียนจิงเข้าใจทุกอย่างที่เย่เฟิงพูดได้ในทันที เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีเรื่องด่วนบางอย่างเข้ามาทำให้เย่เฟิงต้องไปจัดการทันทีตอนนี้ แล้วดูเหมือนว่าที่ๆจะไปจะไม่อยู่บริเวณเมืองเหยียนจิงอีกด้วย สถานการณ์เริ่มดูซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

“นายต้องไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วโรงเรียนล่ะ นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันใกล้เข้ามาแล้วนะ…”

ซูเหมิงหานกังวลอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่ค่อยพอใจนักกับการตัดสินใจในฉับพลันของเย่เฟิง นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาก็เริ่มต้นพัฒนาอีกด้วย หญิงสาวยังไม่อยากแยกจากเย่เฟิงไปเร็วขนาดนี้

“ขอโทษนะ แต่ว่าเรื่องนี้สำคัญกับฉันมากกว่าเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก”

เย่เฟิงมองใบหน้าเศร้าหมองของซูเหมิงหาน ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซูเฟยหยิ่งอาจารย์เขา ชายหนุ่มไม่สามารถนิ่งนอนใจอย่างนี้ต่อไปได้หรอก

ชายหนุ่มมั่นใจว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อซูเหมิงหานแตกต่างกับความรู้สึกที่เขามีให้กับซูเฟยหยิ่งอาจารย์ของเขาอย่างสิ้นเชิง สำหรับซูเหมิงหานแล้วเขาชอบเธอ อยากอยู่ใกล้เธอ อยากจะปกป้องเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับอาจารย์คนสวยของเขาแล้ว ชายหนุ่มชื่นชมเธอและให้ความเคารพเธอ และในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็กังวลเพราะเธออีกด้วย

ในโลกเทวะช่องว่างระหว่างเย่เฟิงและซูเฟยหยิ่งนั้นมหึมามาก ชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่เปิดเผยความรู้สึกของเขาให้แก่อาจารย์ของเขาเลย ได้แต่ชื่นชมเธออย่างลับๆในใจของเขาเอง

“ซ่งหู่ ฉันต้องไปทำธุระกับญาติผู้น้องของฉันตอนนี้เลย จนกว่าฉันจะกลับมาให้นายอยู่เฝ้ารักษาการณ์ไปก่อน”

ชายหน้าบากกล่าวอย่างหนักแน่นและเฉียบขาด เขารู้ว่าเย่เฟิงรีบมากในตอนนี้จึงทำการมอบหมายธุระให้คนที่เขาเลือกในทันที “ในเมื่อนายอยู่ข้างฉันมาตลอด นายคงรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง”

“ไม่ต้องห่วงครับพี่ใหญ่”

ชายหน้าเหลี่ยมตอบกลับด้วยเสียงทุ้มลึก “เราจะดำเนินงานของแก๊งเราไปตามปกติ และเราจะคุ้มครองนายหญิงเย่ให้ปลอดภัยเอง”

ชายหน้าเหลี่ยมคนนี้คือซ่งหู่ คนที่เย่เฟิงเคยพบที่สถานีรถไฟมาก่อน ตอนนั้นเขามาในฐานะลุงของชายหนุ่มเสื้อสูทสไตล์ตะวันตก เขามองมาทางเย่เฟิงและซูเหมิงหานอย่างนอบน้อม

“ดีมาก”

ชายหน้าบากกล่าวเช่นนั้นเสร็จแล้วจึงขยับตัวเข้าไปใกล้ๆซ่งหู่พร้อมกับกระซิบ “ถ้าสมมติว่าพวกฉันไม่ได้กลับมาก่อนต้นเดือนหน้า ให้นายจัดการเรื่องนั้นต่อไปเลยนะ”

“ได้เลยครับ”

ซ่งหู่เข้าใจว่าชายหน้าบากหมายถึงเรื่องยาเสพติดชนิดใหม่ เขาผงกหัวอย่างไม่ลังเล

“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว”

เย่เฟิงหันหลังเดินออกไป

“เย่เฟิง!”

สีหน้าของซูเหมิงหานเต็มไปด้วยความกังวลและตื่นตระหนก เธอรู้สึกว่าครั้งนี้เย่เฟิงจะไปต้องเผชิญอะไรบางอย่างที่ยุ่งยากและซับซ้อน แล้วหลังจากที่ชายหนุ่มกลับมา ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจะยังคงมีความสัมพันธ์กันแบบนี้อยู่หรือไม่?

………………………

แปลโดยทีมงานGSI

Solar Spark: ไปเลยเย่เฟิง ออกเดินทางสู่แกรนไลน์ เอ้ย ผิดเรื่อง