บทที่ 49 การมาถึงของตระกูลเซี่ย

ถึงแม้หลิวลี่ฮุยจะเป็นเพียงผู้กำกับจากสถานีตำรวจสาขาย่อยทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่ได้มีตำแหน่งสูงมากนักในเมืองเหยียนจิง แต่เขาก็ถือว่ามีอิทธิพลอยู่พอตัวเหมือนกัน

สถานะทางสังคมของซูซินฉางถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับหลิวลี่ฮุย แล้วคนที่มีสถานะระดับนี้กลับเรียกเย่เฟิงว่า ‘คุณเย่’อย่างนั้นหรือ?

เมื่อเห็นดังนั้น ซูซินฉางก็พลันร้อนรุ่มในใจ เย่เฟิงก็เป็นเพียงแค่ญาติของหัวหน้าแก๊งอสรพิษสวรรค์ หลิวลี่ฮุยไม่น่าจะถึงขั้นใช้คำว่า“คุณ”หรอกจริงไหม? หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างอื่นอีก?

“อืม….”

เย่เฟิงพยักหน้า เขามองไปที่ชายลงพุงวัยกลางคนแล้วจึงคิดกับตัวเองในใจว่าครั้งล่าสุดที่เจอกันที่โรงพัก ใครเป็นคนโทรศัพท์หาชายคนนี้กัน ถึงทำให้เขาต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นขนาดนั้น?

อาจจะเป็นตระกูลหลิน แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดของเย่เฟิงก็เป็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น

“เออ อีกเรื่องหนึ่ง ใครเป็นคนออกคำสั่งให้คุณค้นหาต้นหญ้าทั้งสามต้นนั้นกัน?”

เย่เฟิงถามคำถามนี้ออกไป เพราะเขาอยากรู้ว่าหลงหวางเอ๋อมีอิทธิพลมากแค่ไหนในเมืองนี้

“อ่อครับ เขาคือผู้กำกับโหมว”

ทันทีที่หลิวลี่ฮุยได้ยินคำถามของเย่เฟิง เขาก็เริ่มเหงื่อแตกและรีบบอกชื่อของคนที่มีสถานะสูงกว่าเขาไป หลิวลี่ฮุยไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยสักนิด

“ผู้กำกับโหมวงั้นหรอ?”

เย่เฟิงขมวดคิ้ว

ขณะที่พวกเขาทั้งคู่พูดคุยกัน ซูซินฉางฟังการสนทนานี้อย่างตั้งใจ แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน แต่เมื่อได้ยินคำว่า“ผู้กำกับโหมว” ทันใดนั้นเขาก็พลันตื่นตกใจ

หลิวลี่ฮุยเป็นเพียงแค่ผู้กำกับจากสถานีตำรวจสาขาย่อยทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่สำหรับผู้กำกับโหมวแล้ว เขาไม่เพียงพึ่งได้เลื่อนเป็นผู้กำกับการสำนักงานตำรวจเมืองเหยียนจิง เขายังเป็นสมาชิกของคณะกรรมการตำรวจนครบาลระดับมณฑล ทุกๆที่ในเมืองเหยียนจิง ผู้คนต่างก็รู้จักเขา เพราะเขามีสถานะทางสังคมที่สูงมาก

เมื่อเห็นเย่เฟิงที่ดูเหมือนไม่เข้าใจสถานะของผู้กำกับโหมวอย่างชัดเจน ซูเหมิงหานจึงเข้าไปใกล้เขาแล้วกระซิบด้วยเสียงที่นุ่มนวล “เขาเป็นผู้กำกับการสำนักงานตำรวจเมืองเหยียนจิง โหมวจิ้นเฉียง ฉันเห็นเขาบ่อยๆในข่าวทางทีวีและหนังสือพิมพ์”

“เข้าใจล่ะ”

เมื่อเย่เฟิงได้ยังคำอธิบายของเธอ เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้า ชายหนุ่มคิดว่าสาวน้อยคนนี้ช่างมีความรู้รอบด้าน เวลานี้ เขาอยากจะดึงเธอเข้ามากอดแล้วหอมแก้มเธอสักฟอดจริงๆ น่าเสียดายที่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่

โหมวจิ้นเฉียง…..ตระกูลมังกรก็มีอิทธิพลในเมืองนี้ด้วยอย่างงั้นหรอ?

เย่เฟิงแกว่งแก้ววายในมือเล่น แล้วลอบแค่นเสียงในใจ ถ้าไม่ได้มีเรื่องกันอีกก็คงดี เพราะตามวิธีการของเขาแล้ว เขาคงจะใช้ดาบจัดการอีกฝ่ายจนเหี้ยน รับรองว่าพวกนั้นคงจบไม่สวยแน่

เมื่อซูซินฉางเห็นเย่เฟิงแสดงท่าทีเย้ยยัน เขาก็พลันตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีกในใจ จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้จากเย่เฟิง เขาดูไม่ให้ความสนใจกับโหมวจิ้นเฉียงเลยแม้แต่น้อย

หลิวลี่ฮุยไม่กล้าจะพูดถึงหัวข้อนี้ต่อไปอีก เขาจึงเลี่ยงไปพูดหัวข้ออื่น เพราะรู้ว่าเวลานี้ ที่ฝั่งตรงข้ามกำลังมีงานฉลองครบรอบวันเกิด 70 ปีของผู้อาวุโสตระกูลหลิน ถ้าเย่เฟิงไม่ได้ที่ความสัมพันธ์อันใดกับตระกูลหลินแล้วละก็ เขาจะไม่ไปได้อย่างไร?

ขณะที่วางแผนในใจ ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรงจากใครสักคน “ปัง” มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องนี้ด้วยท่าทีคุกคาม

ทุกคนในห้องรวมทั้งซูซินฉางล้วนตกใจ เย่เฟิงขมวดคิ้วและหันหน้ากลับไปมอง เขาเห็นคนประมาณห้าถึงหกคนซึ่งนำโดยเซี่ยหมินที่กำลังมองซูซินฉางด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว

“ซูซินฉาง คุณมีอะไรจะพูดไหม?”

บรรยากาศรอบตัวเซี่ยหมินให้ความรู้สึกว่าอีกไม่นานเธอต้องอาละวาดแน่ๆ เธอเดินเข้ามาและชี้นิ้วไปยังซูซินฉางพร้อมกับด่าว่าด้วยเสียงอันดัง “คุณบอกว่าจะมาคุยเรื่องธุรกิจ แล้วนี้มันอะไร? คุณกลับมานั่งกินข้าวกับลูกสาวแบบนี้ ดีมาก ถ้าอย่างนั้นเราหย่ากัน!”

ด้านหลังของเซี่ยหมินคือคนจากตระกูลเซี่ย ซึ่งดูเป็นผู้นำและมีภูมิฐานมากที่สุด เขาคือพ่อของเซี่ยหมิน และเป็นเจ้าของธุรกิจของตระกูลเซี่ยในปัจจุบัน ‘เซี่ยผิงฮุย’

ส่วนคนที่เหลือก็เป็นคนจากตระกูลเซี่ยเช่นกัน พวกเขามีทั้งหญิงและชาย ซึ่งตอนนี้ทุกคนต่างจองไปยังซูซินฉางรวมทั้งซูเหมิงหานด้วยใบหน้าที่แสดงความไ่พอใจ

เมื่อซูซินฉางเห็นเซี่ยหมินเข้าก็ทำให้เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันจะยิ่งจัดการได้ชายขึ้นไปอีก ชายวัยกลางคนรู้สึกปวดหัว และคิดว่าทำไมวันนี้เขาถึงดวงซวยแบบนี้กันว่ะ?

ซูซินฉางรีบเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการแก้สถานการณ์วิกฤตในตอนนี้ หัวของเขารีบคิดหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลิวลี่ฮุยมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับคิดว่าเวลานี้ดูเหมือนเขาจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทะเลาะระหว่างครอบครัวเสียแล้ว ระดับของเขาเทียบกับเซี่ยผิงฮุยแล้วยังถือว่าเหนือกว่า เขาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่นัก แต่ถ้ามองในอีกแง่มุม เขาคือตัวคนเดียว ส่วนฝั่งนั้นคือตระกูลเซี่ยทั้งตระกูล

นอกจากเซี่ยผิงฮุยแล้ว คนอื่นๆของตระกูลเซี่ยก็ล้วนมีความสำคัญในตำแหน่งต่างๆมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนมีอิทธิพลมากมายทั้งในด้านรัฐบาลและด้านธุรกิจ ถึงแม้ตระกูลเซี่ยจะเป็นเพียงตระกูลชั้นสองของเมือง แต่พวกเขาทั้งหมด ก็จัดว่ามีอิทธิพลเหนือว่าหลิวลี่ฮุยที่มีตัวคนเดียว

“ซินฉาง ฉันไม่เชื่อคนหลอกลวงอย่างเธอเลย ฉันไม่คิดว่าเธอจะกล้าหลอกลวงลูกสาวฉันได้”

เซี่ยผิงฮุยเดินไปยังซูซินฉางด้วยสายตาแสดงความผิดหวัง จากนั้นจึงกวาดตามองที่ยังที่นั่งด้านข้าง เขาเห็นหลิวลี่ฮุยแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อทักทาย ในเมื่อหลิวลี่ฮุยก็มีอิทธิพลไม่น้อย เซี่ยผิงฮุยจึงไม่อยากลวงเกินเขาเช่นกัน แต่ถึงอย่างไร เซี่ยผิงฮุยก็อยากจะพูดนัยว่านี้คือเรื่องภายในของตระกูลเซี่ย พวกเขาไม่อยากให้คนภายนอกเข้ามายุ่งด้วย

หากเป็นหลิวลี่ฮุยในยามปกติแล้ว เมื่อเห็นดังนี้เขาคงจะรีบถอนตัวออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม เวลานี้ เขาตัดสินใจจะเสี่ยงอันตรายเพื่อผลตอบแทนที่สูงค่า!

หลิวลี่ฮุยแกล้งปั้นหน้ายิ้มทักทายเซี่ยผิงฮุย จากนั้น เขาจึงย้ายไปนั่งอยู่ข้างๆเย่เฟิง การกระทำของเขาสื่อความหมายได้สองเรื่องคือ หนึ่ง เขาไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของซูซินฉางและตระกูลเซี่ย สอง เขาต้องการจะสื่อความหมายไปให้ฝั่งตรงข้ามโดยปราศจากคำพูดว่า พวกคุณอยากจะทำอะไรก็ได้ แต่ห้ามมาสร้างปัญหาให้แก่เย่เฟิง

เซี่ยผิงฮุยเข้าใจความนัยที่หลิวลี่ฮุยต้องการจะสื่ออย่างชัดเจน เขายิ้มและพยักหน้า แต่โชคไม่ดี เซี่ยหมินกลับไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เมื่อเห็นซูเหมิงหาน เธอก็เลือดเดือนไปทั้งตัว เซี่ยมุ่งตรงเข้าไปหาเด็กสาวทันที

“นังแพศยา! ยังกล้านั่งเฉยอยู่อีก ไม่รู้จักการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่หรือไง?”

ด้วยความหยิ่งยโส เซี่ยหมินพูดกับซูเหมิงหานด้วยน้ำเสียงคุกคาม

เพี๊ยะ!

เย่เฟิงยืนขึ้นแล้วตบเข้าไปที่หน้าเธออย่างจัง พร้อมกับกล่าวเสียงเย็นว่า “ผมแนะนำให้คุณพูดจาอะไรก็หัดระวังปากเอาไว้ซะบ้าง!”

ครึ่งหน้าของเซี่ยหมินแดงเถือกขึ้นทันที เธอไม่อยากเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เซี่ยหมินใช้มือข้างหนึ่งกุมใบหน้าด้านที่โดนตบและชี้นิ้วด้วยความสั่นเทาไปยังเย่เฟิงพร้อมกับพูดว่า “แก แกกล้าตบฉัน!”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนที่อยู่ทีนี่ทันที เย่เฟิงตบเซี่ยหมินอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ทั้งซูซินฉาง เซี่ยผิงฮุย และคนตระกูลเซี่ย ไม่มีใครคิดเลยว่าเย่เฟิงจะกล้าลงมือแบบนี้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่เกรงกลัวตระกูลเซี่ยเลยหรือไง?

ถึงแม้จะมีหลิวลี่ฮุยคอยให้ท้าย แต่นั้นก็ยังไม่พอที่จะลวงเกินตระกูลเซี่ยได้ ส่วนแก๊งอสรพิษสวรรค์ก็เป็นเพียงกลุ่มแก๊งอันธพาล มันจะมีอิทธิพลมาแค่ไหนกันเชียว

มีเพียงซูเหมิงหานที่มองท่าทีโกรธเกรี้ยวของเย่เฟิงด้วยความเป็นห่วง

ส่วนหลิงลี่ฮุยคอยมองความโชคร้ายของคนเหล่านั้น เขาคิดว่าตระกูลเซี่ยคงถึงคราวซวยแล้วที่ได้ล่วงเกินคุณเย่ และเขาคงไม่โง่พอจะเอ่ยปากเตือนฝั่งตรงข้ามเรื่องเบื้องหลังของเย่เฟิง เพราะดูแล้วคุณเย่คงตั้งใจจะใช้แผนหมูกินเสือ
เซี่ยหมินเดินไปยืนอยู่ข้างหลังชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งในชุดทหาร ซึ่งดูแล้วอายุประมาณ 27-28 ปี เหตุการณ์นี้สร้างความโมโหให้ชายคนนั้นทันที เขาจึงยืนขึ้นและเดินเข้ามาหาเย่เฟิง ชายหนุ่มคนนี้คือน้องชายของเซี่ยหมิน ชื่อว่า เซี่ยเฉิงเย่ เขาถูกเลี้ยงดูในตระกูลเซี่ยเพื่อให้เข้ามามีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ในด้านการทหาร แต่ตอนนี้ เขายังคงเป็นเพียงรองผู้บังคับกองพัน ซึ่งยังถือว่าห่างไกลกับที่หวังไว้

“ไอ้หนู ที่บ้านไม่เคยสอนแกหรือไงว่าคนนอกไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคนอื่น และอย่าอวดดีให้มันมากนัก”

ถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ก็มากพอในการจัดการกับเย่เฟิง และนี่ก็ถือเป็นความผิดตามกฏหมาย ดังนั้น เขาจึงเดินเข้าไปหาเย่เฟิงเพื่อจะเข้าไปตบหน้าอย่างรุนแรง ในเมื่อมันมาลงมือกับพี่สาวของเขาอย่างนี้ มันคงเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วงั้นสิ?

เมื่อเซี่ยหมินเห็นน้องชายของเธอกำลังจะตบหน้าเย่เฟิง ก็ปรากฏความพึงพอใจขึ้นบนใบหน้าของเธอ อีกไม่นานเธอคงจะได้เห็นใบหน้าปูดโปนของเย่เฟิง ตั้งแต่ยังเด็ก น้องชายคนนี้คอยช่วยเหลือเธอมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สนใจว่าใครถูกผิด ไม่ว่าใครก็ตามที่พยายามจะลวงเกินพี่น้องของเขา มันไม่เคยมีจุดจบที่สวยงามเลยสักรายเดียว!

…………………………

แปลโดยทีมงาน GSI