บทที่ 40 องค์กรลึกลับ และไช่เชา

หลังจากที่รู้สถานะของเย่เฟิงแล้ว ชายในชุดสูทไม่อาจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตรงกันข้าม ชายหน้าเหลี่ยมกลับรู้ถึงวิธีในการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้เป็นอย่างดี เขาจึงรีบพูดว่า “พี่ใหญ่เย่และนายหญิงเย่ ก่อนหน้านี้ที่พวกเราล่วงเกินพวกท่านทั้งสอง ขอได้โปรดอภัยให้หลานชายของผมด้วย เขายังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนำความเดือดร้อนมาสู่พวกท่าน หลังจากนี้พวกเราจะกลับไปตักเตือนเขาเอง”

“ช่างมันเถอะ อยากไปไหนก็ไป”

เย่เฟิงโบกมือเหมือนคร้านจะพูดอะไรให้มากความ เรื่องการสั่งสอนหรือทำโทษก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ได้สนใจอะไรอีก

เวลานี้ เขากำลังคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า

เมื่อเห็นชายหน้าเหลี่ยมกับพรรคพวกเดินกลับไป เย่เฟิงจึงรีบหันมาพูดกับชายหน้าบากทันที “ตอนนี้มาคุยถึงเรื่องยากันดีกว่า”

หัวล้านๆของชายหน้าบากที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นอย่างดี ส่งผลให้เขาดูเป็นคนอาจหาญ

ชายหน้าบากรับฟังในสิ่งที่เย่เฟิงพูดอย่างตั้งใจ แต่ก่อนจะพูดอะไรออกมา เขามองไปยังซูเหมิงหานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ชายหน้าบากรู้สึกไม่ดีหากเด็กสาวคนนี้ได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน เพราะมันไม่เหมาะกับเธอเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกลังเลที่จะพูดออกไป

เมื่อซูเหมิงหานเห็นดังนั้นก็เข้าใจทันทีจึงพูดขึ้นมาว่า “เดียวฉันจะไปซื้อกระดาษทิชชู่สักหน่อย พวกนายพูดกันต่อได้เลย”

จากนั้น เด็กสาวจึงเดินจากไป ร่างบางอันงดงามของเธอดึงดูดสายตาของคนรอบข้างในบริเวณนี้อย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อพวกเขาเห็นว่าเธออยู่กับชายหน้าบาก และกลุ่มคนที่ใส่ชุดสูทเหมือนพวกแก๊งอันธพาล ทำให้ไม่มีใครกล้าจะเข้ามาใกล้เพื่อหวังล่วงเกิน หรือแม้แต่จะพูดคุยกับเธอเลยสักคน

เมื่อซูเหมิงหานเดินจากไปได้สักพักแล้ว ชายหน้าบากจึงเริ่มพูดกับเย่เฟิงด้วยน้ำเสียงสุภาพ “พี่เย่ หนึ่งปีที่แล้ว แก๊งอสรพิษสวรรค์ของเรา กับอีกสามแก๊งที่เหลือในเมืองเหยียนจิง มีความสัมพันธ์กันแค่เรื่องค้ายาเท่านั้น จึงไม่ได้มีการเจรจาพูดคุยกันมากนัก……”

“ว่าต่อไป”

เย่เฟิงพยักหน้า และให้ชายหน้าบากพูดต่อ เมื่อฟังจากที่หน้าบากพูดมาแล้ว ทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย สรุปคือเมื่อหนึ่งปีก่อน ในเมืองเหยียนจิงมีทั้งหมดสี่แก๊งงั้นหรือ?

“แต่เมื่อหนึ่งปีก่อนนั้นเอง ได้มีองค์กรลึกลับองค์กรหนึ่ง เข้ามามีอำนาจในเมืองนี้”

ชายหน้าบากหยุดพูดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เวลานั้น ขณะที่หัวหน้าของแต่ละแก๊งได้มารวมตัวกันอย่างลับๆ องค์กรนี้ต้องการให้พวกเราช่วยทดลองตัวยาชนิดใหม่ของพวกมัน แน่นอนว่าพวกเราต่างไม่พอใจ และในตอนนั้น หัวหน้าของ‘แก๊งประตูสวรรค์ใต้’ซึ่งเป็นแก๊งที่ใหญ่ที่สุดใน 4 แก๊งได้คว่ำโต๊ะ และยิงคนขององค์กรนั้นตายไปสองคน”

จากนั้น ชายหน้าบากจึงพูดต่อด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความกลัว “แต่หลังจากนั้นวันเดียว พวกเราก็พบว่าแก๊งประตูสวรรค์ใต้ ได้ถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก และหลังจากกำจัดแก๊งประตูสวรรค์ใต้ไปแล้ว พวกเราหัวหน้าแก๊งของอีก 3 แก๊งที่เหลือ ได้รับจดหมายเตือนว่าหากพวกเราไม่ยอมทดลองยาชนิดใหม่ของพวกมัน แก๊งของพวกเราจะต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกันกับแก๊งประตูสวรค์ใต้…..”

“ถึงผ่านไปแล้วเกือบหนึ่งปี พวกนายก็ยังไม่รู้ว่าองค์กรนั้นเป็นพวกไหนงั้นหรือ?”

เย่เฟิงขมวดคิ้วและถาม

“ด้วยความบังเอิญ ผมได้ยินจากคนส่งยาว่า หัวหน้าขององค์กรนั้นรู้สึกจะมีชื่อว่า “ไช่เชา” แต่ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเขายังคงมืดมน และไม่สามารถค้นหาได้เลยว่าเขาคือใคร แม้แต่ตระกูลไช่ ก็ไม่มีเบาะแสเลยแม้แต่น้อย”

ชายหน้าบากส่ายหัว “ในทุกๆต้นเดือน พวกเราจะนัดสถานที่รับยาตัวใหม่นี่ตลอด อย่างเช่นของเดือนนี้ก็เพิ่งรับไป พี่เย่ แก๊งของเราสามารถไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาชนิดอื่นได้ แต่สำหรับยาตัวใหม่นี้ หากพวกเราหยุดทำธุรกิจ ปัญหาที่ตามมาย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเป็นแน่”

แก๊งอสรพิษสวรรค์คงต้องเจอกับปัญหาใหญ่ หากหยุดธุรกิจค้ายาตัวใหม่นี้ และสุดท้ายชะตากรรมของพวกเขา อาจต้องเป็นเหมือนกับแก๊งประตูสวรรค์ใต้ก็เป็นได้

เมื่อเย่เฟิงได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าแสดงความเข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ “อืม ความคิดของนายคือ นายไม่อยากสร้างความสงสัยให้แก่พวกมัน ถ้าเช่นนั้น นายต้องห้ามไม่ให้มีเหยื่อของตัวยานี้เพิ่มมากขึ้นอีก”

ชายหน้าบากฟังคำพูดเย่เฟิงแล้วก็พยักหน้า

เย่เฟิงคิดได้เรื่องหนึ่งจึงถามออกไปว่า “คุณสมบัติของยาตัวใหม่นี้คืออะไร? ทำไมมันถึงดึงดูดความสนใจได้?”

“เมื่อเปรียบเทียบกับยาตัวอื่น นอกจากเรื่องความรุนแรง และระยะเวลาของยาที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ที่เหลือก็เหมือนเดิมครับ”

แต่ถึงอย่างนั้น ชายหน้าบากก็ขมวดคิ้วและพูดต่อไปว่า “พวกเป้าหมายแรกๆสามารถต่อต้านการติดยาได้เป็นปี แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนว่าจู่ๆ พวกเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”

“หายตัวไป?”

เย่เฟิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

ยาตัวใหม่นี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ๆ เมื่อดูจากอาการของญาติซูเหมิงหานแล้ว สถานการณ์ของเขาช่างน่าเป็นห่วงอย่างมาก ลักษณะอาการก็ถือว่าน่ากลัว กระทั่งอยากตายก็ตายไม่ได้ ฤทธิ์ของยาเสพติดชนิดนี้ช่างเป็นสิ่งโหดร้ายทารุณเสียจริงๆ

โดยปกติแล้ว เย่เฟิงไม่ใช่คนที่จิตใจดีอะไร เขารู้สึกเกียจคร้านจะเข้าไปจัดการกับเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำไป แต่ในเมื่อตอนนี้แก๊งอสรพิษสวรรค์อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาแทรกแซงแก๊งของเขาได้

องค์กรลึกลับนั่น มีอำนาจถึงขนาดสั่งการชายหน้าบากได้อย่างงั้นหรือ? เรื่องแบบนี้จะให้เขาทนอยู่เฉยๆได้อย่างไร ชายหน้าบากคนนี้คือหุ่นเชิดของเขา และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เย่เฟิงไม่ยอมให้หุ่นเชิดของเขาต้องโดนองค์กรลึกลับนั่นแย่งชิงไปแน่ หากเมื่อไหร่ที่เขาแข็งแกร่งมากพอ เมื่อนั้นเขาจะสั่งสอนพวกมัน และแย่งชิงทุกสิ่งของพวกมันมา นี่เป็นหนึ่งในกฏของโลกเทวะ ‘หากเจ้าไม่เข้าไปแย่งของผู้อื่น คนอื่นนั้นก็จะเข้ามาแย่งของไปจากเจ้า’

และแน่นอนว่ามันไม่เว้นแม้แต่โลกนี้

หลังจากที่เย่เฟิงได้สังเกตเมืองนี้มาสักพัก เขาพบว่าผู้คนในเมืองนี้ต่างถูกปล้นชิงในหลายๆทางเกือบทุกวัน และไม่มีทางไหนเลยที่พวกเขาจะไม่ต้องเสียเงิน แม้แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่บางแห่งในประเทศจีนก็กำลังปล้นชิงจากคนไข้ของพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง

ทุกคนได้พูดไว้ว่า คุณจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ปกติสุข แต่ไม่มีใครบอกคุณเลยว่าคุณจะถูกปล้นชิงอยู่เรื่อยๆจนเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องทำงานหนักขึ้นไปอีก สุดท้าย คุณก็จะเป็นเหยื่อให้ถูกปล้นชิงไปอีกเรื่อยๆ ตลอดชีวิต

“ไช่เชางั้นหรอ?……ดี ถ้าถึงว่ารับยาในเดือนหน้า นายพาฉันไปด้วย ฉันอยากรู้จริงๆว่ามันเป็นใครกัน”

เย่เฟิงได้ตัดสินใจแล้ว

“เข้าใจแล้วครับ”

สีหน้าของชายหน้าบากเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกดีใจเพราะดูเหมือนพี่ใหญ่ของเขาได้เวลาออกโรงด้วยตัวเองแล้ว”

นั่นมันเยี่ยมมาก!

ชายหน้าบากไม่รู้เลยว่า เหตุใดแก๊งที่ยิ่งใหญ่อย่างแก๊งประตูสวรรค์ถึงถูกลบล้างออกไปอย่างง่ายดาย แต่วิธีการที่พวกมันใช้นั้น ช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่แน่ใจว่าระหว่างผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างพี่ใหญ่เขา กับพวกองค์กรลึกลับนั่นใครจะเหนือกว่ากัน?

“เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดตัวใหม่นี้ พวกหน่อยงานรัฐรู้เรื่องพวกนี้ไหม?”

ก่อนที่เย่เฟิงจะจากไป เขาได้ถามคำถามสุดท้ายออกมา

“พวกเขาไม่รู้ครับ”

ชายหน้าบากส่ายหัว “การพัฒนายาตัวใหม่นี้ พวกเราจะเป็นผู้ควบคุมเองทั้งหมด ส่วนเรื่องที่ผู้เสพบางกลุ่มหายตัวไปนั้น ไม่ได้มีจำนวนมากพอจนทำให้พวกหน่วยงานรัฐสงสัยได้ แต่ถึงอย่างนั้น พี่เย่ คุณอย่าได้บอกเรื่องนี้กับพวกหน่วยงานรัฐนะครับ พวกเขาไม่มีอำนาจที่จะจัดการกับเรื่องนี้ และยิ่งไปกว่านั้น……”

“ฉันรู้ นายไม่ต้องกังวลไปหรอก”

“เออใช่ ฉันได้ยินมาว่า แก๊งอสรพิษสวรรค์มีการติดต่อกับใครบางคนในหน่อยงานรัฐบาลนี่ เขาเป็นใคร”

“เรื่องนี้……ถ้าจะให้พูดกันตามตรง พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบเล็กน้อยเท่านั้นครับ”

ชายหน้าบากรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย เขาไม่อยากจะพูดชื่อคนคนนั้นให้เย่เฟิงได้รู้ แต่หลังจากมองสีหน้าของพี่ใหญ่เขาแล้ว เขาจึงยอมแพ้ และบอกออกไป “พวกเรามีความสัมพันธ์กับผู้กำกับหลิวของสำนักงานย่อยทางตะวันตกเฉียงเหนือ และอีกคนคือรองอธิบดีกรมตำรวจนครบาลสำนักงานใหญ่ หากผู้กำกับลิ่วล้มเหลวในการจัดการเรื่องราวต่างๆให้กับเรา รองอธิบดีกรมตำรวจก็จะออกมาจัดการด้วยตัวเอง”

“สำนักงานย่อย? ผู้กำกับลิ่ว?”

เมื่อเย่เฟิงได้ยินชื่อนั้น เขาก็นึกออกได้ทันทีถึงครั้งล่าสุดที่เขาถูกจับกุม ทีแรก ผู้กำกับคนนี้ต้องการจะแย่งหญ้าใบทองไปจากเขา ชายคนนั้นมีลักษณะเหมือนชายขี้ขลาดวัยกลางคนที่มีหน้าตาแบบคนจีน

แต่ถึงอย่างไร ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะมีอำนาจไม่น้อยเช่นกัน ถึงขนาดสามารถจัดการเรื่องราวต่างๆให้แก๊งอสรพิษสวรรค์ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เย่เฟิงก็คิดว่าเขาเป็นผู้กำกับที่ดูโง่เง่าอยู่ดี

“อืม ถ้าเช่นนั้น ดูเหมือนว่าสายโทรศัพท์ครั้งนั้นที่บอกให้ปล่อยตัวเรา คงจะเป็นคนของตระกูลหลินเป็นแน่ แสดงว่าตระกูลหลินต้องมีอำนาจมากขนาดที่ทำให้ผู้กำกับหลิวต้องกลัวจนเหงื่อแตกเลยทีเดียว”

เวลานี้ เย่เฟิงเข้าใจแล้วว่า ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิงนั้นมีอิทธิพลมากแค่ไหน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมครั้งล่าสุดที่เจอ ลูกชายคนที่สามของตระกูลหลินถึงได้ทำตัวกร่างจริงๆ หรือเขาควรเข้าไปประจบประแจงคนเหล่านี้ดี?

…………………….

แปลโดยทีมงาน GSI