บทที่ 38: ปราสาทจอมมาร (5)

 

 

แทจินแสดงสีหน้าแปลกประหลาดขณะที่มองไปยังฮันซูที่ได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาขณะที่เขากำลังมองไปยังปราสาทจอมมารที่อยู่ห่างออกไป

“กริชนั่นฉันไม่ได้เห็นมันก่อนหน้านี่”

ฮันซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“โอ้ ฉันเพิ่งซื้อของใหม่มา”

‘กริชกับเคียว…’

กริชส่องประกายที่ไม่ได้มีอยู่จนกระทั่งบัดนี้ได้ถูกเสียบอยู่ที่ข้างเอวของชายหนุ่ม

ใบมีดของมันนั้นยาวกว่า 30 เซนติเมตรซึ่งค่อนข้างยาวสำหรับกริช

แน่นอนว่ามันมีกริชจำนวนมากที่ห้อยอยู่ที่เอวของเขา ทว่ากริชเล่มนั้นแตกต่างตั้งแต่แวบแรกที่มอง

‘…อาร์ติเฟคแบบเซ็ท?’

เขาเห็นมันจากในแคตตาล็อค

<ความยุติธรรมแห่งดีคราดอส>

อาร์ติเฟคที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับคำพิพากษาแห่งดีคราดอส

เขาคิดว่าหมอนั่นเป็นคนที่จะใช้เพียงแค่อาวุธที่ซับซ้อนเช่นเคียวโซ่ แม้ว่ามันจะไม่มีอะไรให้พูดเหมือนหมอนั่นใช้พวกมันได้ดี

และหมอนั่นเองก็มีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย

‘ไอ้ถุงนั่นมันคืออะไร…’

ในขณะที่คนอื่นกำลังทำอาหารจากพืชแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นข้างถนน อาหารกลับออกมาจากถุงของหมอนั่นเรื่อยๆ

แต่พวกเขาไม่ได้อิจฉาจริงๆ เพราะอาหารที่ออกมาจากถุงนั่นก็เทียบเท่าได้กับพืชที่พวกเขาใช้ทำอาหาร

“เราจะไปด้วยกันข้างบนนั่นไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

แทจินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยขณะที่เขามองไปยังคริสตัลขนาดใหญ่ที่อยู่ค่อนข้างใกล้พวกเขา

ฮันซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ฉันบอกว่าให้ตามมาถ้าอยากจะตาม ฉันจะไม่พานายไปกับฉัน แต่ฉันก็จะไม่หยุดนายเหมือนกัน”

แทจินส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เขาต้องการที่จะติดตามอีกฝ่ายไป แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

พวกเขาได้สนิทกันมาขึ้นเล็กน้อยขณะที่สู้ร่วมกัน และเพราะแบบนั้นเขาจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับอีกฝ่าย

และเขาค้นพบมันหลังจากที่คุยกับหมอนั่นไปสักพัก

มันไม่มีเหตุผลมากมายให้หมอนี่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น

มีเพียงอย่างเดียว

เพื่อที่จะไปยังสถานที่ที่อันตรายยิ่งขึ้น

ลูกกิลด์ของเขาแข็งแกร่งเช่นกัน ทว่าหากพวกเขาติดตามอีกฝ่ายไป เช่นนั้นพวกเขาก็จะตายราวใบไม้ร่วง

เขาไม่ได้อยากจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนั้น

เหตุผลที่เขาอยากจะแข็งแกร่งขึ้นก็เพื่อที่จะปกป้องกิลด์ ทว่าสิ่งนั้นมีความหมายและเป้าหมายที่แตกต่าง

‘เป็นตัวเลือกที่ดี’

ฮันซูยิ้มขณะที่เขามองไปยังแทจิน

เมื่อถนนที่เขาจะก้าวเดินนับแต่บัดนี้จะกระทั่งอันตรายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่เขาต้องทำในบทฝึกซ้อมนั้นมีสองสิ่ง

เคลียร์ดันเจี้ยนสุดท้าย

และอีกอย่างหนึ่ง

‘จ้าวแห่งความชั่วร้ายที่ที่ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง’

จ้าวแห่งความชั่วร้าย

หนึ่งในผู้ที่ต้องถูกจำกัดแบบถอนรากถอนโคนเพื่อความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์

บุคคลอันตรายอย่างไร้ขีดจำกัด

ไม่สิ เหตุผลที่พวกเขานั้นมีชื่อเสียอย่างมากนั้นเป็นเพราะพวกเขามีความสามารถที่จะอันตรายแบบนั้นตั้งแต่เริ่ม

และมีอยู่คนหนึ่งในพื้นที่ฝึกซ้อมแห่งนี้เช่นกัน

‘ฉันจะปะทะกับเขาอย่างแน่นอน… ในหอคอย’

ไม่ว่าจะมาจากที่แห่งใด ทุกคนจะไปพบกันที่หอคอย

เมื่อการปะทะคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยโครงสร้างของมัน

ฮันซูพึมพำอยู่ภายในขณะที่เขาเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปภายในปราสาทจอมมาร

ภายในปราสาทนั้นว่างเปล่า

คริสตัลสีแดงปรากฏอยู่ภายในส่วนลึกของปราสาทจอมมาร

‘มันยัง… ไม่ทำงาน’

ออร่าของคริสตัลนั้นบางเบามากเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่ามันทำงานอยู่

เบื้องหน้าคริสตัลนั้นเป็นลานโล่งขนาดใหญ่ที่เพียงพอสำหรับผู้รอดชีวิตกว่าพันคน ใจกลางปรากฏรูปปั้นที่ดูคุกคามเพียงแค่แรกเห็น

‘นั่นคือจอมมาร?’

ในขณะที่เหล่าลอร์ดกำลังขมวดคิ้ว กั๊กแตก็ได้เข้าไปใกล้จากที่ไกลๆ

แทจินขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังอีกฝ่าย

‘ไอ้เวรน่ารังเกียจ’

แต่แม้กระนั้น เขาก็ทำได้เพียงยอมรับถึงความมีประโยชน์ของอีกฝ่าย

กั๊กแตเข้าไปหาเหล่าลอร์ดขณะที่เอ่ยขึ้น

“ฉันมีข้อเสนอ เราได้มาถึงประตูสุดท้ายด้วยกันแล้วในที่สุด มันดูเหมือนว่าคริสตัลจะทำงานก็หากเราทำลายรูปปั้นนั่น”

กั๊กแตมองไปยังรูปปั้นขนาดยักษ์ที่อยู่ห่างออกไปและเอ่ยขึ้นกับเหล่าลอร์ด

“พูดตามตรง พวกเราทุกคนต่างมีผลึกเล็กอยู่ 7-8 ผลึกใช่ไหม? มันไม่ใช่จำนวนที่มากมาย แต่มันมากกว่าพอในการรักษาพลังของพวกเราเอาไว้”

ทุกคนผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

จำนวนของผลึกนั้นแตกต่างไปตามการมีส่วนร่วมของแต่ล่ะคน แต่มันเป็นจำนวนที่พวกเขาสามารถนำคนอย่างน้อย 40 คนขึ้นไปกับพวกเขาได้

หากมากถึงเพียงนี้ มันย่อมไม่ขาดเหลือในการเริ่มต้นในสถานที่แห่งใหม่

สถานที่ที่พวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบอย่างมากเพียงแค่รวบรวมคนสิบคน ไม่ต้องพูดถึงสี่สิบคนเลย

เมื่อมันเป็นจำนวนที่สร้างความกดดันได้อย่างมากหากจะต่อต้านหากอีกฝ่ายไม่ใช่ลอร์ดแบบพวกเขา

ทว่ากั๊กแตได้พูดออกมาอย่างเถรตรงอย่างมากขณะที่เขามองไปยังทุกคน

“มาพูดกันแบบตรงๆ เถอะ ในสถานการณ์ของฉัน ฉันอยากที่จะฆ่าคนอื่นๆ ทั้งหมด มันอาจจะเหมือนกับคนอื่นๆ เช่นกัน”

“…มันไม่ตรงเกินไปหน่อยเหรอ”

“มาเปิดเผยทุกสิ่งและคุยกันเถอะ”

ทุกคนครุ่นคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น การมีความสุขกับการที่กิลด์อื่นมีพลังลดลงนั้นเป็นเรื่องที่ชัดเจน

ใครจะชอบคู่แข่งที่แข็งแกร่งในโลกที่แฟรี่ได้วางกับดักไว้เพื่อให้พวกเขาแข่งขันกัน

พวกเจาอาจจะกระทั่งฆ่ากันเองทันทีที่ขึ้นไป

และอีก 11 กิลด์เองต่างก็เป็นคู่แข่งที่อันตราย และเมื่อยามที่พวกเขาเสียใจในการตัดสินใจที่จะสู้ มันก็จะสายเกินไป

ทุกคนต้องการมัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เอ่ยมันออกมาตรงๆ เช่นที่อีกฝ่ายเอ่ย

ในการที่จะลดพลังของคนอื่นๆ ลง

เมื่อกั๊กแตเห็นสีหน้าที่เหมือนกันของคนอื่นๆ เขาก็ได้เอ่ยเพิ่มขึ้น

“แต่ฉันไม่คิดว่าเราควรจะทำแบบนั้น เหตุผลที่พวกเรามาถึงที่นี่ด้วยกันแม้ว่าจะเกลียดกันมากนั้นเป็นเพราะเราอยู่ในเรือลำเดียวกัน เราต้องการกันและกันมากขนาดนั้น เราต้องรวมพลังกันเพื่อที่จะทะลวงประตูและขึ้นไปข้างบน”

“นายต้องการจะพูดอะไร?”

กั๊กแตหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของแทจิน

“ง่ายมาก พวกเราทุกคนมาลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการชนะกันเถอะ”

“…?”

“ฉันรู้ว่าพวกนายทุกคนยังไม่ได้แลกเปลี่ยนผลึกกับอาร์ติเฟคเพื่อในสถานการณ์ฉุกเฉิน ฉันเองก็เหมือนกัน”

“…”

“แต่ลองคิดดู แบบนี้มันกระจอกไปรึเปล่า หากเราเพียงแค่แลกผลึกของพวกเราไปเป็นอาร์ติเฟค งั้นพลังของสหพันธ์กิลด์ของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในทางกลับกัน ผลึกก็เป็นสิ่งที่เพียงแค่ตัดกำลังของพวกเราแม้ว่าพวกเราจะมีมันไว้ เพราะพวกนายจะไม่สามารถตั้งใจต่อสู้ได้เมื่อนายไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนข้างๆ นายจะแทงนายที่ข้างหลังแล้วเอาผลึกหนีไป หากมันกลายเป็นแบบนั้นเราก็จะตายกันหมด เป็นการสังหารหมู่”

“อืมมม…”

แทจินครุ่นคิด

กั๊กแตเป็นคนที่เขาไม่ชอบ แต่ว่ามันไม่มีสิ่งใดผิดพลาดในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย

พูดตามตรง พวกเขาต้องเปลี่ยนผลึกทั้งหมดที่พวกเขาครอบครองเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับรูปปั้นยักษ์เบื้องหน้าพวกเขา จอมมาร

จากนั้นจำนวนผู้รอดชีวิตก็จะเพิ่มมากขึ้น

แต่เหตุผลที่พวกเขายังคงเก็บผลึกไว้นั้นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ

เมื่อผลึกเหล่านี้เป็นหนทางในการหลบหนีที่แน่นอน

กั๊กแตมองไปยังทั้งหมดและตะโกนแนะนำออกไป

“ดังนั้นแล้วฉันจึงมีข้อเสนอ เรามาเปลี่ยนผลึกทั้งหมดที่พวกเรามีให้กลายเป็นอาร์ติเฟคเถอะ ไม่ว่าจะเป็นอาร์ติเฟคอะไรก็ตามที่พวกนายจะแลก ก็แค่ใช้พวกมันให้หมดไม่เหลือสักอันก็พอ”

“อึก…”

“หืมมม…”

“นั่นหมายความว่าทางหลบหนีจะหายไป เมื่อพวกเราไม่รู้ว่าจะมีคำสั่งบ้าบออะไรจากลอร์ดหลังจากที่หนีออกไปถ้ามันเหลืออยู่สักอัน เมื่อมันอาจมีใครบางคนคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ในการสังหารหมู่คนพันคนที่นี่และมีชีวิตรอดคนเดียว”

“…”

“โอ้ อย่างไรก็ตามฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกนายจะสามารถเชื่อใจกิลด์ของฉันและสู้ไปทั้งๆ แบบนี้ได้ไหมล่ะ?”

มันไม่ใช่การร่วมมือที่เป็นไปไม่ได้

พวกเขาไม่รู้ว่ารูปปั้นนั่นแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หากทั้งพันคนสู้ด้วยความตั้งใจทั้งหมด ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง มันย่อมเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างมาก

พวกเขาสามารถกลบฝังทุกคนที่นี่ได้ยกเว้นคนห้าคนที่หนีไปด้วยผลึกเล็ก

“… ตรงเกินไปแล้ว”

“ขอบคุณสำหรับคำชม ในทางกลับกัน หากมันไม่เหลือผลึกแม้แต่ผลึกเดียวในมือของฉัน ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมันแค่หมายความว่าแค่ตายด้วยกันทั้งหมด ฉันไม่ต้องการที่จะตายแบบนั้น หากเราแบ่งเขตกันและให้กิลด์ของพวกเราสู้อยู่ภายในขอบเขตนั้นด้วยพลังทั้งหมด งั้นมันก็ย่อมไม่มีสถานการณ์ที่จะถูกแทงจากข้างหลัง พวกนายแค่ต้องทำในส่วนของพวกนายให้ดีที่สุด”

“จะไม่มีใครซ่อนผลึกไว้เหรอ?”

กั๊กแตส่ายศีรษะ

“เราไม่สามารถซ่อนผลึกไว้ได้เพราะเรารู้จำนวนผลึกที่แต่ล่ะคนครอบครองไว้ดีเกินไป เมื่อเราตกลงกันได้ก็แค่แลกเปลี่ยนและแสดงมันให้คนอื่นดู หากเราเทียบจำนวนผลึกที่แบ่งกันและราคาของของในแคตตาล็อค นายก็จะไม่สามารถซ่อนผลึกไว้ได้แม้ว่านายจะต้องการทำแบบนั้น”

“หืมมม…”

ทุกคนเริ่มที่จะครุ่นคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น

มันไม่ใช่ว่าจำนวนปีศาจนั้นมากจนไม่อาจนับได้ และเพราะพวกเขาได้ล่ามันโดยการใช้กองกำลังพิเศษของพวกเราร่วมกัน จำนวนของผลึกจึงชัดเจน

สถานการณ์ที่พวกเขารู้จำนวนผลึกของแต่ล่ะคนเป็นอย่างดีเพราะมันเป็นไปไม่ได้ในการที่พวกเขาจะแอบเคลื่อนไหวกองกำลังพิเศษไปล่าอย่างลับๆ

จากคำพูดเหล่านั้น เช่นนั้นมันก็เป็นไปได้ที่จะรู้จำนวนรวมของผลึกโดยที่ไม่เหลือแม้แต่ผลึกเดียว

พูดตามตรง มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนในการลดจำนวนสิ่งที่จะทำให้เกิดความกระวนกระวายและเพิ่มพลังต่อสู้ของพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

กั๊กแตเอ่ยเพิ่มขึ้นขณะที่เขามองไปยังเหล่าลอร์ด

“ลองคิดดู แฟรี่จะกำหนดความยากแบบที่ไม่มีทางชนะได้ไว้เหรอ? ไม่ว่าแฟรี่จะชอบให้เราตายแค่ไหนก็ตาม งั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องพยายามมากขนาดนี้หากมันต้องการที่จะฆ่าเราทุกคน พวกมันก็แค่ต้องฆ่าพวกเรา ก็แค่นั้น”

“อืมม…”

“มันหมายความว่ามันเป็นไปได้หากเรารวมพลังกัน มันหมายความว่าคนอีกจำนวนมากจะสามารถมีชีวิตรอดได้มากกว่าการที่พวกนายหนีไปด้วยผลึก ถ้าพวกนายตกลง ฉันก็จะแลกก่อน”

ทุกคนคิดถึงคำพูดเหล่านั้น ทว่าก็ผงกศีรษะหลังจากนั้น

และพวกเขาต่างก็เริ่มแลกเปลี่ยนอาร์ติเฟคกันทีล่ะคนและแสดงมันให้คนอื่นๆ เห็น

“ฉันเลือกโลงศพไม้หนาม”

“ฉันเอาแก่นของอาแรเนีย…”

กั๊กแตแสดงสีหน้าพึงพอใจขณะที่เขาตรวจสอบทั้งหมดทีล่ะอัน

“ดี ฉันเลือกผ้าคลุมไหล่ของจ้าวแห่งความป่าเถื่อน มันราคา 8 ผลึก ทุกคนคงรู้ว่าฉันมีอยู่ 8 ผลึก… ฮันซู นายมีทั้งหมด 59 ผลึก นายใช้พวกมันทั้งหมดกับอะไรล่ะ?”

“… 59 ผลึก”

ทุกคนครุ่นคิดอย่างเงียบงัน

หากรวมคำพิพากษาแห่งดีคราดอสที่อีกฝ่ายได้แลกมาก่อนหน้า ทั้งหมดก็จะรวมกันเป็น 119 ผลึก

พวกเขารู้ แต่หลังจากที่ได้รับการยืนยันอีกทีก็ได้ทำให้พวกเขาประหลาดใจ

ฮันซูหัวเราะขณะที่เขายืนขึ้นและแสดงกริชที่ห้อยอยู่ข้างเอวของเขาออกไป

“ฉันแลกกับไอ้นี่มา ความยุติธรรมแห่งดีคราดอส”

กั๊กแตจ้องไปยังกริชของอีกฝ่ายก่อนจะผงกศีรษะด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เหลืออยู่สี่ผลึก… มีอะไรที่นายจะแลกหรือเปล่า?”

ฮันซูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายศีรษะ

กั๊กแตหัวเราะใส่ฮันซู

“นายอาจจะไม่มีเหตุผลในการขึ้นไป เก็บไว้ให้ดีแล้วกัน”

‘เอาเถอะ นายอาจจะอยู่ที่นี่เพราะนายมีเรื่องที่ต้องทำเหลืออยู่’

กั๊กแตครุ่นคิดอยู่ในใจ

หากหมอนั่นเป็นคนที่จะขึ้นไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง หมอนั่นก็คงจากไปแล้ว

การที่หมอนั่นยังอยู่จนกระทั่งตอนนี้หมายความว่าหมอนั่นยังเหลือสิ่งที่ต้องทำ

อย่างไรก็ตาม หากเขาตัดสินใจที่จะไม่สู้และสร้างความวุ่นวายขึ้นหรือขึ้นไปก็ไม่มีใครสามารถหยุดหมอนั่นได้

มันเป็นเรื่องดีกว่าในการบอกให้หมอนั่นเก็บหนทางหลบหนีเอาไว้และสู้อย่างตั้งใจ

“เอาเถอะ มันไม่เหลือผลึกในมือของลอร์ดแล้ว ในที่สุดเราก็สามารถเพ่งความสนใจไปยังศัตรูเบื้องหน้าได้”

ทันทีที่กั๊กแตเอ่ยจบ รูปปั้นขนาดยักษ์ก็ได้ส่งเสียงแหลมออกมาพร้อมกับที่มันยันตัวลุกขึ้น

ไม่สิ มันไม่ใช่รูปปั้น

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้ถูกทำให้กลายเป็นหินราวกับรูปปั้น

‘มันก็สักพักแล้วสินะ หืม’

จอมมาร บาร์บาทอย

แม้ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่อ่อนแอกว่า ความทรงจำเก่าๆ ก็ได้ผุดขึ้นมาเมื่อเขามองเห็นสิ่งที่เขาได้ต่อสู้กับมันจนเอาชนะได้ด้วยระยะเวลายาวนาน

แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความทรงจำที่ดีก็ตาม

เพียงแค่จำนวนมนุษย์ที่ตายด้วยการถูกฉีกเป็นชิ้นด้วยน้ำมือของมันก็มากกว่าหมื่นอย่างง่ายดาย

ในขณะที่ฮันซูกำลังพึมพำอยู่ในใจ แทจินก็ตะโกนเสียงดังไปยังจอมมาร

“ลูกกิลด์ทั่วไปถอยหลัง กองกำลังพิเศษ พวกโจมตีระยะไกล และพวกที่มีสกิลฮีล…”

ความคิดที่ได้ถูกตัดสินใจเพราะมันย่อมเป็นการสังหารหมู่หากลูกกิลด์ทั่วไปที่ไม่อาจแม้แต่จะต่อสู้กับผู้เฝ้าประตูได้ถูกกวาดทิ้งเมื่อเผชิญหน้ากับจอมมาร

หากพวกเขาไม่อาจแม้แต่จะสู้ก่อนหน้าได้ เช่นนั้นพวกนั้นก็ย่อมไร้ประโยชน์

แต่แทจินที่กำลังตะโกนอยู่นั้นก็ตระหนักได้ว่ามันไม่จำเป็น

เมื่อผีดิบจำนวนมหาศาลได้เริ่มลุกออกจากพื้นดินด้วยความเร็วอันบ้าคลั่ง

“ฉิบหายเอ้ย… ไม่ต้องถอยแล้วมาปกป้องพวกเราแทน!”

มันดูเหมือนว่าพวกเขาไม่อาจแม้แต่จะเข้าใกล้จอมมารได้โดยไม่มีลูกกิลด์ทั่วไป

และทันทีที่ผีดิบได้พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง ความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้น

และในตอนนั้นเอง แฟรี่ได้ปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะของพวกเขา

“ว้าว! มีคนหนึ่งพันคนมีชีวิตรอด! ยอดเยี่ยม! พวกคุณก็แค่ต้องจัดการมัน อย่างแรก จุดเกิด แม้ว่าพวกคุณจะเลือกเกาะเดียวกัน มันก็จะเป็นจุดแตกด่างกันระหว่างผลึกเล็กและคริสตัลใหญ่นั่น ดังนั้นแล้วพวกคุณไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวว่าจะถูกล้างแค้น ฮี่ฮี่”

“…”

มันฟังราวกับว่าพวกเขาควรที่จะโจมตีผู้อื่นจากเบื้องหลังและจากไปได้โดยไร้ซึ่งแรงกดดันใดๆ เมื่อพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกไล่ล่าหลังจากที่หนีไปด้วยผลึกเล็ก

แต่ทุกคนทำเพียงเค้นเสียงในลำคอ

เมื่อพวกเขาไม่เหลือผลึกเล็กแล้ว

แต่คำกล่าวของแฟรี่นั้นยังไม่จบ

“อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ว่าคริสตัลใหญ่นั่นจะทำงานเมื่อพวกคุณฆ่าจอมมารนะ!”

“…?”

“มันจะทำงานหลังจากสามสิบนาที ดังนั้นแล้วพวกคุณก็แค่ต้องมีชีวิตรอดจนถึงตอนนั้น ใช่ไหม?”

แฟรี่หายไปพร้อมกับคำพูดนั้นพร้อมกับที่ทุกคนสะดุ้งขึ้น

มันคือการมีชีวิตรอด ไม่ใช่การฆ่า

ซึ่งหมายความว่าใครที่ต่อสู้มากที่สุดจะสูญเสียมากที่สุด

‘มันสมบูรณ์แบบจริงๆ’

และกั๊กแตหัวเราะขณะที่เขามองทุกคนที่สะดุ้งขึ้นในสนามรบ

 


TL: ปู่เอ้ย ออกมาถึง 10 บรรทัดไหมนั่น