บทที่ 36 ตระกูลเย่ในอดีต

เมื่อเย่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองหวงเหล่า ในเวลาเดียวกันชายชราก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นเดียวกัน

“จะให้ฉันเรียกเธอว่าเย่เฟิงหรือโม่จิ่วดี?”

หวงเหล่าถามอย่างไม่แยแส พร้อมกับเพ่งมองมายังเย่เฟิง

“คุณลุง พวกเราไม่น่าจะเคยเจอกันมาก่อนนะครับ”

เย่เฟิงยิ้มขณะพูด เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยพบกับชายชราคนนี้มาก่อน

“หึ งั้นรึ?”

หวงเหล่าเปล่งเสียงทางจมูก “ฉันคือเพื่อนของเจ้าอู๋ หวงเผยหรง เธออาจหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถหลบซ่อนตัวตนที่แท้จริงจากฉันได้ เธอคือโม่จิ่วใช่ไหม?”

“ขอโทษนะครับ โม่จิ่วเป็นเพื่อนของผมที่เจอกันนานๆครั้ง คุณอยากพบเขาหรอ?”

เย่เฟิงยังคงยืนอยู่หน้าประตูในสภาพตื่นตัวตลอดเวลา เหมือนกับเขาพร้อมรับการจู่โจมจากชายชราทุกเมื่อ หวงเหล่ามีวรยุทธ์ระดับ 30 ปี ชัดเจนว่าเย่เฟิงไม่อาจต่อกรกับเขาได้ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็อยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของชายชราคนนี้เช่นกัน

หวงเหล่าจ้องมองเย่เฟิงอย่างจับผิด แต่ท่าทางของชายหนุ่มดูเหมือนไม่ได้พูดโกหก เขาจึงเริ่มลังเล “เธอไม่ใช่โม่จิ่วจริงรึ?”

“ครับ ผมไม่ใช่เขา”

เย่เฟิงส่ายหัว

“นั่นสินะ เจ้าเฒ่าประหลาดนั่นจะไปสอนวรยุทธ์ให้เธอได้อย่างไร…….”

หวงเหล่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันจะหาโม่จิ่วได้ที่ไหน?”

“ผมไม่รู้หรอกครับ เขาเป็นคนเข้าใจยาก อยู่ๆก็โพล่มาอยู่ๆก็หายไป ปกติเขาจะเป็นคนเข้ามาหาผมเอง”

เย่เฟิงยักไหล่ และในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็คิดว่าเฒ่าประหลาดที่อีกฝ่ายพูดถึงน่าจะหมายถึงปู่ของเขาใช่ไหม? ปู่ของเขามีสถานะแบบไหนกันถึงเป็นที่รู้จักของคนบางกลุ่มในโลกยุทธภพด้วย?

แต่อย่างน้อยเย่เฟิงก็รู้ว่า ปู่ของเขาไม่ใช่ตาแก่ธรรมดาแน่นอน

“เอาละ ถ้าเขามาหาเธอเมื่อไหร่ ก็ฝากข้อความของฉันถึงเขาด้วยละกัน”

หวงเหล่ายืนขึ้นและพูดด้วยเสียงโทนต่ำ “การสังหารดาบหมาป่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และถ้าอยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเจียงหู ก็ให้มาหาฉันที่เขาเทียนจู่ ไม่เช่นนั้นเธอก็จะโดนตระกูลมังกรไล่ล่า และดูเหมือนว่าตระกูลมังกรเองก็จะไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆด้วย ลาก่อน”
หลังจากที่หวงเหล่าพูดจบ ร่างของชายชราได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วดั่งสายลมมายังประตูห้องราวกับเขาไม่ใช่คนแก่อายุ 60 ปี และได้เคลื่อนที่ผ่านเย่เฟิงที่ยืนอยู่ จากนั้นก็หายตัวไปในพริบตา

แต่ในชั่วขณะนั้นก่อนที่ที่หวงเหล่าจะจากไป ชายชราได้ยื่นมือมาจับแขนของเย่เฟิง!

ถึงอย่างนั้น เย่เฟิงไม่ลังเลเช่นกันที่จะใช้ทักษะแฝงตัวลอบสังหารในทันที

ทักษะแฝงตัวลอบสังหาร เป็นทักษะแห่งเซียนที่ไม่เพียงใช้ในการลอบสังหารเท่านั้น มันยังช่วยอำพรางผู้ใช้ให้เหมือนกลายเป็นคนธรรมดา และสามารถแฝงตัวร่วมกับผู้คนเพื่อหาโอกาสในการลงมือ ซึ่งขณะที่ใช้งานทักษะนี้ กระแสพลังที่ไหลเวียนในเส้นลมปราณจะหยุดชะงักลง และจุดตันเถียนของคนๆนั้นจะขุ่นมัว จึงสามารถอำพรางวรยุทธ์ของตนเองได้

“เธอเป็น……”

ในที่สุดหวงเหล่าจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าเย่เฟิงกับโม่จิ่วไม่ใช่คนๆเดียวกัน

การสังหารดาบหมาป่าในดาบเดียว ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้อย่างแน่นอน

หลังจากแน่ใจ หวงเหล่าจึงพลิวกายจากไปอย่างรวดเร็ว

“บัดซบ”

เย่เฟิงสบถเสียงดัง เขาจำเป็นต้องใช้ทักษะแฝงตัวลอบสังหารอย่างไม่มีทางเลือก แต่ด้วยที่ระดับวรยุทธ์ของเขายังต่ำเกินไป ส่งผลให้เส้นลมปราณของชายหนุ่มต้องรับภาระอย่างหนักและเกิดความเสียหาย หากเย่เฟิงยังคงใช้ทักษะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกไม่นานมันต้องเกิดผลร้ายแรงต่อร่างกายของเขาแน่นอน

แต่หากชายหนุ่มไม่ใช้มันในเวลาก่อนหน้านี้ เขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่จะตามมาอีกในอนาคต….

“หากมีวรยุทธ์ระดับ 5 ปีเมื่อไหร่ เราจะสามารถใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงา และทักษะแฝงตัวลอบสังหารอย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรดีเพื่อให้สามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ได้เร็วกว่านี้?”

เย่เฟิงได้แค่กัดฟันยอมรับ ถึงแม้ว่าเขาจะได้หญ้าใบทองและหินจิตวิญญาณครึ่งก้อนมา

แต่มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เย่เฟิงยอมรับว่าเขานั้นเป็นคนที่ไม่มีโชค แม้แต่ในโลกเทวะก็ตาม

การฝึกอย่างเป็นลำดับขั้นตอนเป็นเรื่องที่เสียเวลาเป็นอย่างมาก เขาจะต้องรอจนจบมหาลัยกว่าเขาจะมีวรยุทธระดับ 5 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปและตัวเขาเองไม่คิดจะรอนานขนาดนั้น

“หลังจากที่เรากลับไปแล้ว เราจะไปถามอู๋บีเกี่ยวกับสถานที่ ที่เขาได้หินจิตวิญญาณครึ่งก้อนมา

ดูจากแล้วน่าจะเป็นที่ที่เหมือนกับสวรรค์ของเหล่าเซียน ถ้าหากเราไปเจอแหล่งพลังงานลับนั่นล่ะก็ เราก็จะสามารถฝึกวรยุทธได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าแต่เสียแรงแค่ครึ่งเดียว….”

เย่เฟิงรู้สึกโล่งใจและได้ปลดทักษะแฝงตัวลอบสังหารออกไป

แต่ขณะที่เขากำลังคิดจะไปที่เคาน์เตอร์ติดต่อของโรงแรมเพื่อขอเปิดห้อง ทันใดนั้นก็มีสายลมที่รุนแรงพัดเข้ามา

สายลมนี้เป็นสายลมที่รุนแรงยิ่งกว่าของหวงเหล่า เย่เฟิงไม่มีเวลามากพอที่จะตอบสนองต่อพลังที่มากมายมหาศาลที่เข้ามาจับแขนของเขา

ความรู้สึกนี้ เหมือนเคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน…

เย่เฟิงคิดว่า คนที่เข้ามานั้นน่าจะเป็นปู่ของเขา

หากการลอบจู่โจมนี้ไม่ได้มาจากปู่ของเย่เฟิง มันจะเป็นใครไปได้อีกเล่า?

เย่เฟิงไม่สามารถใช้ทักษะแฝงตัวลอบสังหารได้ทันเวลา ทำให้พลังวรยุทธ 1ปีครึ่งของเขา ถูก

อีกฝ่ายรับรู้เข้าแล้ว

“ไอ้เด็กเวร!! ใครสอนทักษะนี้ให้แกกัน?”

เสียงของชายชราที่ส่งผ่านเข้าไปในหูของเย่เฟิง ตามด้วยแรงผลักที่จู่ๆก็ผลักชายหนุ่มเข้าไปในห้อง

เย่เฟิงปลิวเข้าไปในห้องก่อนจะตั้งหลักได้ เขาหันมามองและเห็นชายแก่ในชุดสีเทายืนอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนทำท่าทางจะขวางไม่ใครออกไป ชายชรามีคิ้วและสายตาที่แหลมคมเหมือนกับเหยี่ยว จากท่าทางของเขา หากใครได้เห็นเขาในเวลานี้ คงจะคิดว่าชายชราที่ยืนอยู่ตรงนี้เหมือนกับป้อมปราการที่ไม่ไหวติ่งอายุราวหมื่นปี!

เวลานี้ เย่เฟิงได้เห็นสีหน้าที่แท้จริงของปู่เขาสักที

“แก ทำลายดันเถียนของตัวเองทิ้งซะ ไม่เช่นนั้น เย่เหวินเทียนคนนี้จะทำลายให้เอง!!”

เย่เหวินเทียนคือปู่ของเย่เฟิง หลังจากที่พูดจบ เขาก็จ้องมาที่เย่เฟิงทันที

“ผมไม่เข้าใจ ผมเป็นหลานของปู่นะ ทำไมล่ะ?”

เย่เฟิงแสดงท่าทางเย็นชาและถามด้วยความสงสัย

จะให้เขาทำลายตันเถียนตัวเองงั้นหรอ เขาไม่มีวันทำอย่างงั้นแน่ เพราะลึกๆในใจ ชายหนุ่มคิดอยู่เสมอว่าจะมีสักวันที่เขาจะได้กลับไปยังโลกเทวะ เย่เฟิงไม่สามารถปล่อยวางความทรงจำที่เขาได้อยู่กับอาจารย์แสนสวยของเขามาตลอดมากกว่า 10ปีได้หรอก……..

“แกอยากรู้จริงๆรึ ได้! ฉันจะเล่าให้ฟัง!”

เย่เหวนเทียนพูดเสียงดังก่อนจะหันไปล๊อคประตู

“ในอดีต ตระกูลเย่เคยเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่มากในโลกแห่งยุทธภพ แต่แล้วคืนแห่งภัยพิบัติก็ได้มาถึงและทำลายทุกสื่งอย่าง ฉันคนนี้ ได้ทำการรักษาตระกูลของเราไว้จนถึงทุกวันนี้ โดยมีข้อตกลงกับคนกลุ่มอื่น ว่าหากแกไม่ฝึกวรยุทธ์ คนพวกนั้นจะไม่มาตามล่าแก….”

สิ่งที่เย่เฟิงได้ยินนั้นทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ดูเหมือนว่าเย่เฟิงในโลกใบนี้จะอยู่ในตระกูลที่ในอดีตเคยเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในโลกยุทธภพมาก่อน

ส่วนเหตุผลที่ตระกูลของเขาถูกทำลายล้างนั้น ชายหนุ่มได้ถามปู่ของเขาไปแล้วแต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา แต่เขาก็พอจะเดาได้อยู่ และในที่สุดก็เข้าใจว่า ทำไมหวงเหลาถึงพูดเช่นนั้นและทำไมปู่จึงคิดจะทำลายดันเถียนของเขา

การที่เย่เฟิงเริ่มฝึกวรยุทธ จะทำให้กลุ่มคนฝั่งตรงข้ามหันมาเพ่งเล็งเขา ดังนั้น การที่ปู่ของเขาไม่ให้ชายหนุ่มฝึกวรยุทธ์จึงเป็นการทำเพื่อความปลอดภัยของเย่เฟิง

“นี่แกคิดว่าฉันคนนี้เป็นพวกขี้ขลาดตาขาวที่ยอมแพ้เรื่องล้างแค้นให้กับตระกูลหรือไง!”

เย่เหวินเทียนแค่นเสียงและพูดว่า “พวกเจียงหูเป็นพวกเชื่อถือไม่ได้ พวกมันเขาหากับทุกฝ่ายและเรื่องราวก็ซับซ้อนเกินไป แกไม่จำเป็นต้องรู้ แต่สิ่งเดียวที่แกต้องรู้คือ ฉันทำเพื่อแก เพราะฉะนั้น…..”

“เดี๋ยวก่อน”

เย่เฟิงชูมือขึ้นแล้วพูดว่า “ผมมีวิธีปิดบังวรยุทธ์ในร่างอยู่ เพราะงั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำลายตันเถียนอีกแล้วใช่ไหม?”

“อืม ข้าเห็นตอนที่เจ้าหวงเหล่าตรวจสอบร่างกายแกแล้ว”

เย่เหวินเทียนพูดอย่างไม่เต็มใจ “ถึงหวงเหล่ามองไม่ออกว่าแกกำลังใช้ทักษะหลอกมัน แต่ฉันมองทักษะของแกออก เพราะฉะนั้นเผื่อกรณีฉุกเฉิน ฉันจะทำลายวรยุทธ์แก”

“ไปทำให้น้องสาวปู่เองเถอะ”

เย่เฟิงตอบอย่างไม่ลังเล “ถ้าปู่บังคับผม ผมจะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่า ปู่อยากจะปกป้องตระกูลหรอกงั้นหรอ ถ้าผมอยากจะตาย ปู่ก็ห้ามผมไว้ไม่ได้ตลอดหรอกจริงไหม?”

“นี่แก!!”

เย่เหวนเทียนจ้องเย่เฟิงอย่างโกรธเคือง “ไอ้เด็กเวร นับวันความกล้าของแกชักจะมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว!”

“ขอบคุณสำหรับคำชม”

สายตาของเย่เฟิง ไม่ขยับแม้แต่น้อยระหว่างที่ทั้งสองกำลังจ้องหน้ากันอย่างดุเดือด

……………………………

แปลโดยทีมงาน GSI